Skip to content

พลิกปฐพี 172-1

ตอนที่ 172-1

ดวงตาสุนัข มักมองคนต่ำต้อย!

กลางแผ่นดินหลินชวน มีอาณาจักรที่กว้างขวางผืนหนึ่ง แผ่นดินเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล แผ่ไปทั่วทิศกว่าพันลี้ ใจกลางแคว้นยังมีเมืองหลวงที่ขนานนามว่า “เทียนตู”

ความยิ่งใหญ่ของเทียนตูนั้นก็เท่ากับดินแดนของแคว้นเล็กๆ ทั้งแคว้น

เมืองหลวงมีประตูอยู่หกประตู เหนือใต้ทิศละหนึ่งประตู ตะวันออกตะวันตกทิศละสองประตู ถนนตัดตรง มุ่งสู่ดินแดนต่างๆ ในแคว้น

ตัวเมืองวางผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เส้นขวางตั้งตรงดิ่ง แบ่งเป็นชั้นเป็นแนว ตัวเมืองรุ่งเรืองโอ่อ่า ชาวบ้านรํ่ารวยมั่งคง…

“เทียนตู” กำแพงเมืองผนึกแน่นแข็งแรงสูงตระหง่านกว่าร้อยจ้าง ใช้แผ่นทองก่อร่างเป็นป้ายเมือง ดึงดูดความสนใจของมู่ชิงเกอไม่น้อย

นางเชิดคางขึ้น มองจ้องป้ายประตูเมืองนิ่ง ดวงตากวาดมองทั่วป้ายประตูเมือง

กำแพงเมืองสูงกว่าร้อยจ้าง สูงตระหง่านโดดเด่น โอ่อ่ามั่นคง เพียงแค่กำแพงเมืองยังถึงเพียงนี้ ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากค้อมกายเข้าไปเป็นชาวเมือง

บนกำแพงเมืองหลังคาป้อมปราการตั้งเรียงราย ธงทิวโบกพลิ้ว ทหารยืนยามสวมเกราะสีทอง ขึงขังองอาจ สายตามองตรงทอดยาวไม่วอกแวก

บนประตูเมืองยังใช้ไม้เหนียวจินมู่เนื้อดีตีประกบไว้แล้วยังผนึกแน่นด้วยโลหะหลอมอีกชั้น บนประตูเมือง เป็นเลื่อมวับวาวหลายสี เมื่อมองให้ละเอียดอีกครั้งก็เห็นว่ามีการใช้เลื่อมเกล็ดของอสูรชั้นสูงมาฝังประดับ เพียงแค่ งานในส่วนนี้ ก็ยากที่จะประเมินค่าด้วยเงินทองแล้ว ความมั่งคงของอาณาจักรเซิ่งหยวน ปรากฏให้เห็นประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คน

จ้าวหนานซิงขี่ม้ามาถึงด้านข้างมู่ชิงเกอ ในเสียงหัวเราะมีแววทอดถอนใจ “เกล็ดของอสูรชั้นสูง ในแคว้นระดับสามนั้นเป็นของแพงจนไม่มีที่จะซื้อหาได้ เป็นของลํ้าค่า หายาก แต่ในเมืองหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวนแห่งนี้ กลับเป็นเพียงเครื่องประดับบนกำแพงเมือง การเปรียบเทียบนี้ชวนให้เจ็บปวดเสียจริง!”

เมื่อเขาพูดขาดคำ ฟ่งอวี๋เฟยก็บังคับม้ามาที่อีกข้างของมู่ชิงเกอ กวาดตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะมองมู่ชิงเกอพลางเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมาแคว้นระดับสามก็เป็น เพียงยาจกในสายตาแคว้นระดับหนึ่ง ระดับสองมาตลอด การเข้ามาเทียนตูครั้งนี้ เห็นทีคงไม่ได้ราบรื่นนัก”

คำพูดของทั้งสองคนแว่ววนเข้ามาในหูมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง นางเบะปากยกยิ้มจางๆ สายตามองกวาดผ่านจากป้ายประตูเมือง ก่อนจะหันไปมองทั้งสองคน “ไม่เป็นไร พวกเราไม่หาเรื่องใครแต่ก็ไม่กลัวที่จะมีเรื่อง”

จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้าหนักแน่นจริงจัง

“ไปเถอะ พวกเราเข้าไปดูกันว่าเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของหลินชวนแห่งนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่!” มู่ชิงเกอออกคำสั่ง ขบวนของทั้งสามแคว้นก็ตามมาติดๆ ก่อน จะค่อยๆเคลื่อนไปใกล้สะพานหยกขาวที่พาดข้ามคูเมือง เดินเข้าใกล้ประตูเมืองเข้าไปเรื่อยๆ

แคว้นฉิน แคว้นลี่ แคว้นอวี๋ เป็นตัวแทนของแคว้นระดับสามในครั้งนี้

นี่เป็นการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ผู้นำทัพแห่งแคว้นระดับสามแบ่งเป็นมู่ชิงเกอ จ้าวหนานซิงแล้วยังมีฟ่งอวี๋เฟย เพียงมองจากจุดนี้ ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องความแตกแยกภายในออกไปได้แล้ว

ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องประมาณว่าในขณะที่เจ้ากำลังยุ่งวุ่นวายจนแทบจะล้มตายอยู่ด้านหน้า จะมีคนลอบแทงข้างหลัง

ส่วนแคว้นถูและแคว้นปา ฝ่ายแรกนั้นมู่ชิงเกอไม่มีความ รู้สึกดีกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย และนางเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับเหล่าผู้นำทัพแห่งแคว้นถู ส่วนฝ่ายหลังนั้น เป็นเพราะสังกัดความสัมพันธ์ของแต่ละเผ่าในแคว้นปานั้น ก็สับสนซับซ้อน หากร่วมเดินทางมาด้วย เกรงว่าจะเป็นชนวนให้ก่อเรื่องขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้น การให้แคว้นลี่และแคว้นอวี๋มานั้นเป็นตัวเลือกย่อมดีที่สุด

จากข้อกำหนด ทุกแคว้นต้องส่งตัวแทนมาไม่เกินสองพันคน สามแคว้นรวมกันก็ไม่เกินหกพันคน ขบวนแถวของคนหกพันคน เมื่อต่อแถวอยู่นอกกำแพงเมืองแล้วก็ นับเป็นภาพสะดุดตาเช่นกัน คนที่เดินสัญจรไปมาก็อดจะมองตามอย่างแปลกใจหรืออดวิจารณ์ขึ้นไม่ได้

“หยุด!” ใต้ประตูเมือง เสียงเข้มงวดดุดันตวาดดังขึ้น

กระบี่คมวาวไร้ที่เปรียบ แผ่รังสีสังหารซ่านออกมา ขวางอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ สกัดกั้นนางไว้ไม่ให้เดินทางไปต่อ

ดวงตามู่ชิงเกอจับจ้องที่กระบี่เล่มนั้น ดวงตาเป็นประกายวาวจ้า มีเสียงเบาๆ ที่ไม่อาจได้ยินดังว่า “ยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ”

เพียงแค่ทหารยามที่ประตูเมืองธรรมดาๆ อาวุธที่ใช้ล้วนเป็น “ยุทธภัณฑ์ชั้นจิต วิญญาณ” อาณาจักรเซิ่งหยวนนั้นรํ่ารวยเพียงใดกัน?

“พวกเจ้าเป็นใคร กล้ายกทัพเข้าเทียนตู!” คนที่มาขวางห้ามมู่ชิงเกอ สวมชุดเกราะสีทอง ดูลักษณะท่าทางเป็นแม่ทัพที่รับผิดชอบดูแลกำแพงเมือง

สีหน้าแววตาเขาเย็นเยียบ นํ้าแสงสะท้อนแววทะนงตน ท่าทางหาเรื่องของเขาเช่นนั้น ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาเพ่งมอง

จ้าวหนานซิงรีบเดินขึ้นหน้ามา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ พวกเราเป็นตัวแทนของแคว้นระดับสามมาร่วมงานชุมนุมใหญ่ของหลินชวนให้พวกเราเข้าเมืองไปเถอะ”

เขาออกมาพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อมเพื่อเลี่ยงการมีเรื่อง แต่แม่ทัพท่านนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น

เมื่อฟังการแนะนำของจ้าวหนานซิงแล้ว สีหน้าแววตาของเขาก็ยิ่งเพิ่มความดูแคลนยิ่งขึ้น เขาเชิดคางขึ้นพลางเอ่ยขึ้นอย่างผู้เหนือกว่า “ที่แท้ก็มาจาก แคว้นระดับสาม นี่เอง!”

เขาเน้นคำ ‘แคว้นระดับสาม’ จนฟังแล้วขัดหู เพียงครู่เดียวก็ดึงดูดคนที่ห้อมล้อมและเหล่าทหารที่คอยเฝ้าประตูเมืองให้หัวเราะดังลั่น

หัวเราะเฮฮาดังลั่น ไม่ใช่การป้องปากหัวเราะเบาๆ

พวกเขาไม่ได้ระวังหรือใส่ใจคณะทูตที่มาจากแคว้นระดับสาม เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ดังขึ้นพร้อมๆ กัน ดังเสียจนทำให้คนแคว้นระดับสามหลายพันคนนึกอายจนหน้าแดงใบหูซีด ยังดีที่พวกเขาล้วนเป็นนักรบชั้นเลิศที่ดีที่สุดของทั้งสาม แคว้น แม้จะได้รับการดูถูกที่หน้าประตูเมือง แต่พวกเขาก็ยังยืดตัวตรง สายตามองตรงไม่วอกแวก เพียงแต่มือที่กุมจับอาวุธนั้นออกแรงเกร็งจนเส้นเอ็นขึ้นหลังฝ่ามือ เปลี่ยนเป็นซีดขาว

“นี่คือกิริยามารยาทของทหารรักษาประตูเมืองเทียนตูหรือ?” นํ้าเสียงเยือกเย็นแฝงแววเยาะเย้ย แว่วดังมาเรื่อยๆ

แต่กลับทำให้กลุ่มคนที่หัวเราะเฮฮาหยุดชะงักลงได้

พลัน บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบลงมา สายตาของทุกคนเคลื่อนไปมองคนที่เอ่ยปากทันที

“บังอาจ! เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า!” แม่ทัพสวมเกราะทองสีหน้าเคร่งเครียด ดาบที่ชี้หน้ามู่ชิงเกอบีบใกล้เข้ามาอีกหลายส่วน

การเคลื่อนไหวของเขา เป็นเหตุให้ทหารรักษาประตูเมืองคนอื่นๆ ต่างก็ยื่นอาวุธในมือออกมาชี้จ่อที่มู่ชิงเกอ

“ใส่ร้าย?” ดวงตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอ กวาดมองผ่านกระบี่คมวาวในมือเขา นํ้าเสียงยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย แต่กลับมีแววเย้ยหยันแฝงอยู่ “เพียงแค่สุนัขเฝ้า ประตูตัวหนึ่ง มีค่าให้คุณชายเยี่ยงข้าลดตัวลงไปใส่ร้ายเลยหรือ?”

“เจ้า!” แม่ทัพเกราะทองอ้าปากค้างตาเบิกกว้าง ประกายแสงวับวาวสะท้อนออกจากดาบคม ก่อนพุ่งแทงแรงๆ มาที่มู่ชิงเกอ “รนหาที่!”

การเคลื่อนไหวนี้กะทันหันเกินไป ในขบวนทัพของทั้งสามแคว้น คนที่อยู่ใกล้มู่ชิงเกอที่สุดอย่างจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยล้วนตกใจจนเบิกตากว้างแต่กลับไม่มีท่าว่าจะยื่นมือออกมา

ชาวเมืองของอาณาจักเซิ่งหยวนที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองแม่ทัพผู้นั้นอย่างตกตะลึง สีหน้าแววตาเช่นนั้น ราวกับว่าวินาทีต่อไป ก็จะเห็นเจ้าคนปากดีนี้หลั่งเลือดนองพื้น ร่วงหล่นจากบนหลังม้า

หากไม่ตายเพื่อชดใช้โทษก็คงต้องคุกเข่าวิงวอนขออภัย!

ชาวบ้านในอาณาจักเซิ่งหยวนคิดเช่นนี้ แม่ทัพเกราะทองผู้นั้นก็นึกว่าจะเป็นเช่นนั้น

ตอนที่เขาแทงดาบนี้ออกไปนั้น มุมปากและดวงตาล้วนแสดงความเยือกเย็นออกมา ราวกับว่าในสายตาเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง

อ้อ สิ่งที่แตกต่างก็คือ สุนัขตัวนี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ หากเอาไปขายในโรงน้ำชา ก็น่าจะได้เงินก้อนโต!

ความเปลี่ยนแปลงหลายประการ เกิดขึ้นในชั่วพริบตา

ดาบคมที่แฝงแววเย็นเยียบ พุ่งปราดมาถึงดวงตามู่ชิงเกอ

แต่ว่านางกลับไม่ได้หลบหรือเลี่ยง ในสายตาคนอื่นๆ ราวกับนางตกใจจนไม่ได้สติ

แกร๊ง!

เสียงกังวานก้องราวเสียงระฆัง ดังขึ้นที่นอกประตูเมือง และที่ตามมาติดๆ กันก็คือ กลุ่มคนมองเห็นแม่ทัพเกราะทองที่วางท่ายโสโอหังเมื่อครู่ ล้มถลาลงไปด้านหลัง ทะลุกระแทกประตูเมือง ก่อนจะล้มกระแทกลงที่พื้นถนน ด้านในประตูเมืองเต็มแรงฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว ก่อนจะอาเจียนเป็นเลือดดัง‘อั๊ก’

ซี๊ด!

เกิดอะไรขึ้น?! ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างก็เบิกตากว้าง แต่สีหน้ากลับเหมือนกัน นั่นคือตกตะลึงนิ่งอึ้งไร้ที่เปรียบ เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ พวกเขายืนนิ่งอยู่กับที่ มองท่าทางน่าอนาถของแม่ทัพเกราะทองที่กองกับพื้น จนลืมเคลื่อนไหว พวกเขาไม่ทันได้มองให้ชัดเจนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นว่าแม่ทัพผู้นี้ถลาลอยออกไป ดูท่าทางน่าจะบาดเจ็บสาหัสเสียด้วย และในตอนนี้ก็มีคนสังเกตเห็นมู่ชิงเกอ นางยังคงนั่งหลังตรงท่าทางเอ้อระเหยบนหลังม้า สีหน้าสงบเยือกเย็น ใบหน้าหล่อเหลางามสง่า ยากจะหาคนเทียบเคียง ดวงตาเป็นประกายวาวจ้า

และใต้ร่างม้าที่นางขี่อยู่ มีปลายดาบคมวาวท่อนหนึ่ง ร่วงอยู่ที่พื้น เมื่อเห็นเช่นนี้ชาวบ้านของอาณาจักเซิ่งหยวน ก็สูดหายใจลึกๆ อย่างตกตะลึงอีกครั้ง แม่ทัพรักษาเมืองผู้นี้ คงไม่ได้โดนซ้อมจนหมดรูปเสียกระมัง แม้แต่ดาบพกติดตัวของเขาก็ยังโดนทำลายไปด้วย?!

แต่ว่า แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เหล่าชาวเมืองต่างมองไม่ถนัด ทหารที่อยู่นอกประตูเมืองเหล่านั้นก็มีสีหน้าอึ้งตะลึง พวกเขาเองก็มองไม่ชัดเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เห็นว่าหัวหน้าของพวกเขา ลอยถลันออกไปแล้วคุกเข่าอาเจียนอยู่ที่พื้นไม่หยุด เกรงว่าชีวิตก็คงหายไปด้วยครึ่งหนึ่ง

ส่วนคนที่หัวหน้าพวกเขาต้องการสั่งสอนกลับนั่งอยู่บนหลังม้าไร้รอยขีดข่วน ราวกับไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย

จ้าวหนานซิงมองพลางถอนใจส่ายหน้า ใช้นํ้าเสียงที่ได้ยินเพียงสามคนเอ่ยว่า “คนอยากจะตายก็ห้ามไม่ได้จริงๆ กล้าลงมือกับคุณชายของเรา? ก็เหมือนเอาดวง อายุไปแขวนทิ้งแท้ๆ!”

สีหน้าของเขาเหมือนกับว่าจะสงสารสิ่งที่แม่ทัพเกราะทองต้องประสบ แต่นํ้าเสียงกลับแฝงแววสาแก่ใจที่เห็นคนตกทุกข์ได้อย่างชัดเจน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version