Skip to content

พลิกปฐพี 171-4

ตอนที่ 171-4

เดินทางสู่อาณาจักรเซิ่งหยวน!

เหมิงเหมิงพยักหน้าขึ้นอย่างจริงจัง กล่าวกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้านาย คำพูดต่อจากนี้ของข้า ท่านก็ต้องตั้งใจฟังมันให้ดี ขั้นสีม่วงก็ถือเป็นขั้นสูงสุดของหลินชวน แต่ว่า มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของสถานที่อื่นๆ หลังจากเข้าสู่ขั้นสีม่วงแล้ว ชาวหลินชวนก็จะไม่สามารถเลื่อนระดับขั้นได้อีก แต่ว่ากลับมีการเรียกขั้นกักเก็บอยู่อีกขั้นหนึ่ง ในขอบเขตนี้ก็จะไม่มีลักษณะของการทะลวงระดับขั้น เป็นเพียงแค่ช่วงที่สามารถเก็บสะสมพลังจิตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใครกักเก็บไว้มาก พลังก็ยิ่งกล้าแกร่ง แต่ไม่ว่าจะกักเก็บไว้มากมายเพียงใดในสายตาของคนภายนอก ท่านก็แค่อยู่ในระดับพลังขั้นสีม่วงเพียงเท่านั้น นอกเสียจากว่าจะมีวันหนึ่งที่ท่านเดินทางออกไปด้านนอกของหลินชวนแล้วจริงๆ ขอเพียงออกจากหลินชวน ขั้นกักเก็บก็จะทะลวงระดับขั้นขึ้นในทันที ท่านในช่วงกักเก็บพลังสามารถสะสมพลังจิตเอาไว้ได้บริสุทธิ์และหนาแน่นเท่าไร ตอนที่ทะลวงระดับชั้นก็จะยิ่งรวดเร็วและแข็งแกร่งได้เท่านั้น ดังนั้นท่านก็ห้ามละเลยการฝึกฝนเป็นอันขาด จากตอนนี้เป็นต้นไป ท่านก็จะต้องใช้เวลาที่มีทั้งหมดสะสมพลังจิต”

มู่ชิงเกอก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ หลังจาก นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ พยักหน้าขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากออกจากช่องว่างแล้ว ในใจของมู่ชิงเกอก็ยังไม่ได้สงบลงทั้งหมด

คำพูดของเหมิงเหมิงก็เหมือนกับเปิดประตูบานใหญ่ขึ้นตรงหน้านาง ทำให้นางสัมผัสได้ถึงเขตแดนที่นางยังไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อน นางแต่เดิมนึกว่าหลังจากเข้าส่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุดแล้วก็จะมีความพร้อมในการจากไป

แต่กลับคาดไม่ถึงว่านี่ก็ยังคงไม่เพียงพอ!

“เฮ้อ การพัฒนาก็ยังไม่สำเร็จ ตัวเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องขยันและมุ่งมั่นต่อไป!” ทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เดินออกจากหุบเขา

 

มู่ชิงเกอเพิ่งจะกลับถึงจวนตระกูลมู่ได้ไม่ทันไร ก็มองเห็นเข้ากับคนผู้หนึ่งในห้องโถงใหญ่จนต้องนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง

“อา คุณชาย ท่านในที่สุดก็กลับมาเสียที ข้าน้อยรอท่าน ก็รอจนร้อนรนใจไปหมดแล้ว” เสียงแหลมเล็กที่ดัดให้ดูเหมือนผู้หญิงดังลอยเข้ามา พร้อมกันนั้นมู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนของผงชาดลอยเข้ามากระทบจมูก

“เจ้าทำไมมาอยู่ที่จวนตระกูลมู่?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่คุ้นชิน หลบเลี่ยงการทักทายอันกระตือรือร้น เดินไปทางเก้าอี้ประธานของห้องโถงใหญ่

“ข้าน้อยก็มาตามรับสั่งของฝ่าบาท ที่สั่งให้ข้าน้อยรอคุณชายกลับมาอยู่ที่นี่” ขันทีบิดร่างกายขวยเขินเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองไปทางมู่ชิงเกออย่างเย้ายวน

มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นมา หรุบตาลงหยิบถ้วยชาขึ้น หลังจากจิบไปอึกหนึ่ง ถึงค่อยกล่าวว่าอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ฉินจิ่นเฉินเรียกหาข้ามีธุระรึ?”

บนใบหน้าที่ผลัดเต็มไปด้วยผงชาดอันหนาเตอะ ทอแววทุกข์ยากขึ้นมาสายหนึ่ง

ในแคว้นฉินคนที่กล้าเรียกชื่อของฝ่าบาทองค์ปัจจุบันตรงๆ ก็คงมีเพียงคุณชายของจวนตระกูลมู่แล้ว!

เขาพุ่งไปที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ไม่ได้เข้าใกล้ไปมากอีก โค้งกายลง กล่าวด้วยท่าทางของบ่าวรับใช้ “ใช่แล้ว ฝ่าบาทรอคุณชายมาได้หลายวันแล้ว” ระหว่างที่กล่าว แววตาของเขาก็กลิ้งกลอกไปมา ก่อนจะกล่าวเสียงกดตํ่า “เหมือนกับว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรสักอย่างที่ฝ่าบาทต้องการให้คุณชายเป็นคนตัดสินใจ”

เรื่องใหญ่?

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น มือลูบไล้ไปตามถ้วยชา พลิกหมุนไปมา

ขันทีพยักหน้าขึ้นท่าทางจริงจัง จ้องมองไปทางนาง ตากะพริบสักนิดก็ไม่มี ความรู้สึกบนใบหน้าก็เต็มไปการรอคอย

มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่เล็กลง มุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี หลังจากปล่อยให้ขันทีรอไปได้ช่วงหนึ่ง ถึงค่อยวางถ้วยชาลง ลุกยืนขึ้นมา “ไปเถอะ”

ฉินจิ่นเฉินแต่ไหนแต่ไรมาก็รบกวนนางเพราะเรื่องของแคว้นฉินน้อยมาก ครั้งนี้ถึงกับตั้งใจรอนางอยู่หลายวัน ดูท่าคงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ

เพียงแต่ ตอนนี้แคว้นระดับสามก็ยังนับว่าสงบสุข จะสามารถเกิดเรื่องใหญ่อันใดได้?

‘หรือว่าเรื่องที่ตนถูกประกาศจับที่แคว้นหรง จะลือมาถึงแคว้นฉินแล้ว? หรือว่าสถานะชาวแคว้นฉินของนางจะเล็ดรอดออกไป คนของแคว้นหรงจะมาทวงถามความผิด?’ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังวังหลวง มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็นึกถึงความน่าจะเป็นข้อนี้ได้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง ประกายแสงอันเย็นยะเยือกปรากฏวูบขึ้นสายหนึ่ง

หลังจากมาถึงด้านนอกวังหลวง มู่ชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องรายงานและถูกตรวจสอบแต่อย่างไร เข้าไปในวังหลวงได้โดยตรง ตลอดทางเดินที่เดินไปยังด้านนอกของประตูห้องทรงงานก็ไม่ได้รับการขัดขวางแต่อย่างใด

ปากประตูก็ยืนอยู่ด้วยหัวหน้าขันทีของฉินจิ่นเฉิน

เขาหลังจากมองเห็นมู่ชิงเกอแล้ว ก็เร่งรีบทำความเคารพ “คุณชายท่านมาถึงแล้ว ข้าน้อยเปิดประตูให้ท่าน” ระหว่างที่กล่าวก็หมุนกายไปเตรียมจะประตูใหญ่ของ ห้องทรงงานออก

“ช้าก่อน” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็เปิดปากขึ้นมา ทำเอาท่วงท่าของหัวหน้าขันทีหยุดชะงักลง หันกายไปหานาง

กวาดสายตามองเขาหนหนึ่ง มู่ชิงเกอถึงกล่าววาจาขึ้น “จะไม่รายงานสักหน่อยรึ?”

หัวหน้าขันทียิ้มขึ้นน้อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูนอบน้อมขึ้นกว่าเดิม “ฝ่าบาทมีรับสั่งเอาไว้แต่แรกแล้วว่าในวังหลวงไม่ว่าคุณชายจะไปที่ใด ทำอันใด ก็ไม่จำ เป็นต้องกล่าวรายงานและก็ห้ามไปขัดขวาง”

เอ๋ ช่างมีสิทธิพิเศษยิ่งนัก!

มู่ชิงเกอทอดถอนใจขึ้นในใจประโยคหนึ่ง

พยักหน้าขึ้น หัวหน้าขันทีถึงค่อยหมุนกายหันไปเปิด พอมู่ชิงเกอยกเท้าก้าวเข้าไปในห้องทรงงาน ประตูห้องด้านหลังก็ถูกปิดลง

ด้านหลังโต๊ะหนังสือในห้องทรงงาน ฉินจิ่นเฉินนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้มังกร กำลังตั้งใจอ่านฎีกาที่ถืออยู่ในมือ

พอได้ยินเสียงคนเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้น แววตาปราดเปรื่องคู่นั้นก็เหมือนกับว่าจะสามารถส่องสะท้อนจิตใจของผู้คนได้ก็ไม่ปาน แต่ในนัยน์ตาปราดเปรื่องนั้นกลับปรากฏความราบเรียบและมีการเว้นระยะขึ้นตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

“เจ้ามาแล้วหรือ นั่งก่อนเถอะ” ฉินจิ่นเฉินกล่าวเสียงเรียบ

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ ไม่ได้ไปรบกวนฉินจิ่นเฉินปฏิบัติราชกิจ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง

ผ่านไปอึดใจก็มีนางกำนัลยกของว่างเลิศรสชนิดต่างๆ ของในวังพร้อมชาชั้นดีเข้ามาวางที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

ของว่างกับนํ้าชาของในวัง หลังจากมู่ชิงเกอมองไปหนหนึ่ง ก็เริ่มหยิบมันขึ้นมาชิม

ระหว่างที่นางกินของว่างอย่างเงียบๆ ฉินจิ่นเฉินก็อ่านฎีกาไปอย่างเรียบเรื่อยนิ่งสงบ

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ฉินจิ่นเฉินถึงค่อยวางพู่กันในมือลง เงยหน้ามองไปที่นาง

พอเห็นเข้ากับนางที่กำลังกินของว่าง ฉินจิ่นเฉินก็นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นตั้งใจมอง จนกลายเป็นหลงใหลขึ้นมาเล็กน้อย

เหมือนกับว่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมอง มู่ชิงเกอที่ในปากยังเคี้ยวของว่างอยู่เงยหน้าขึ้นไปมองเขา สายตาของทั้งสองคนสบปะทะกันที่กลางทาง ฉินจิ่นเฉินรีบร้อนดึงสายตากลับ หลุบตาก้มหน้าลง

มู่ชิงเกอหลังจากกลืนของว่างลงไปในคอแล้ว ก็เปิดปากกล่าวว่า “เจ้าเรียกข้ามามีเรื่องอันใดรึ?”

พอกล่าวถึงเรื่องเป็นการเป็นงาน สีหน้าของฉินจิ่นเฉินก็กลายเป็นนิ่งสงบลง เขาหยิบจดหมายหลายฉบับขึ้นมาจากโต๊ะหนังสือ เดินลงมา ก่อนจะเดินมาทางมู่ชิงเกอ

“งานชุมนุมใหญ่ของหลินชวนจะเริ่มขึ้นแล้ว ทุกครั้งที่จะจัดงาน พวกเราแคว้นระดับสามก็จะได้สามสิทธิ์ในการไปร่วมงานที่อาณาจักรเซิ่งหยวน ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ในอดีตทุกครั้งที่จัดงานพวกเราเหล่าแคว้นระดับสาม เพื่อที่จะแย่งชิงสามสิทธิ์นี้ก็จะประลองกันก่อนรอบหนึ่ง หลังจากนั้นคนที่ชนะก็จะได้สิทธิ์นั้นไป”

มู่ชิงเกอรับเอาจดหมายที่ฉินจิ่นเฉินยื่นมาให้พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนทำเช่นไรก็ควรทำไปเช่นนั้น ทำไมจะต้องเรียกข้ามาด้วย?”

แต่หลังจากนั้นนางก็กะพริบตาปริบๆ พลางถามว่า “แต่ว่า งานชุมนุมใหญ่หลินชวนคือสิ่งใดกัน?”

ฉินจิ่นเฉินมองไปที่นางสายตาหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงแพขนยาวบดบังอารมณ์ในแววตาของเขา แล้วเอ่ยว่า “เจ้าลองดูเนื้อความในจดหมายก่อน แล้วข้าค่อยอธิบายมันกับเจ้า”

มู่ชิงเกอมองไปที่จดหมายในมือตามที่เขากล่าว จดหมายมีทั้งหมดสี่ฉบับ ที่แปลกก็คือ ทั้งห้าแคว้นในแคว้นระดับสามนอกจากแคว้นฉินแล้ว ทั้งสี่ฉบับนี้ก็แยกกันเป็นสี่แคว้นที่เหลือที่ส่งมา

นางรู้สึกแปลกใจขึ้นไม่น้อย ก่อนจะเปิดจดหมายออก

หลังจากอ่านจบอย่างรวดเร็ว สีหน้าของมู่ชิงเกอก็ฉายแววแปลกประหลาดปนขบขันขึ้นสายหนึ่ง

ฉินจิ่นเฉินหันมองไปทางนาง “แคว้นถู แคว้นลี่ แคว้นอวี๋ ไปจนถึงแคว้นปาล้วนแต่ส่งจดหมายเรื่องงานชุมนุมใหญ่หลินชวนมาโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ว่าครั้งนี้พวกเขาก็เหมือนกับหารือกันมาเรียบร้อยแล้วก็ไม่ปาน เอาทั้งสามสิทธิ์ที่จะไปยังอาณาจักรเซิ่งหยวนมอบให้เจ้า ให้เจ้าเป็นคนตัดสินว่าในสามแคว้นจะเป็นแคว้นไหนที่จะออกไปเป็นตัวแทนของแคว้นระดับสาม”

มู่ชิงเกอเอาจดหมายทั้งสี่ฉบับส่งกลับไปให้ฉินจิ่นเฉิน เลิกคิ้วกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าที่เรียกข้ามา ก็เพราะต้องการยืนยันเรื่องสิทธิ์เรื่องนี้?”

ฉินจิ่นเฉินพยักหน้า “ในเมื่อพวกเขากล่าวมาเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่ต้องไปเกรงใจอันใดอีก หลังจากเจ้ากำหนดสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะได้ตอบกลับพวกเขาไปโดยเร็ว งานชุมนุมใหญ่หลินชวนก็ใกล้เข้ามาแล้ว”

“พูดมาตั้งมากมายเช่นนี้ จริงๆ แล้วงานชุมนุมใหญ่หลินชวนคืออันใดกันแน่” มู่ชิงเกอถาม

ฉินจิ่นเฉินนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ถึงค่อยกล่าวว่า “งานชุมนุมใหญ่หลินชวนก็ถือเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์งานหนึ่ง สำหรับคนภายนอกก็จะบอกเพียงว่าเป็นการพบปะและประลองฝีมือกันของแต่ละแคว้น แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็มีเพียงผู้กุมอำนาจของแต่ละแคว้นเท่านั้นที่ถึงจะทราบว่างานชุมนุมใหญ่หลินชวน จริงๆ แล้วก็จัดขึ้นเพื่อการเตรียมการในการเข้าไปในเศษซากของโบราณสถานแห่งหนึ่ง”

“อะไรนะ!” มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้น ชั่วขณะนั้นกลายเป็นรู้สึกสนใจขึ้นมา

เศษซากโบราณ เช่นนั้นก็หมายถึงขุมสมบัติ ‘สมบัติ’ สำหรับนางแล้วแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยปล่อยมันให้หลุดมือมาก่อน!

ท่าทางตื่นเต้นสนอกสนใจของมู่ชิงเกอนนก็ทำเอามุมปากของฉินจิ่นเฉินยกขึ้นมาบางๆ อย่างเงียบเชียบ “บนหลินชวนก็มีเศษซากโบราณสถานของยุคโบราณหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ด้านในก็มีสมบัติอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นทักษะสงคราม อาวุธ ไปจนถึงเม็ดโอสถและสูตรในการปรุงยา ทุกครั้งที่ผนึกคลายออกก็จะมีทั้งอันตราย และโชคลาภอันมั่งคั่ง ดังนั้นสิทธิ์ของคนที่จะได้เข้าไปในแต่ละครั้งก็จะแย่งชิงกันดุเดือดมาก อีกทั้งทุกครั้งที่เข้าไปก็จะจำกัดจำนวนคนแค่แปดสิบคน ดังนั้นสิทธิ์ทั้งแปดสิบคนนี้ก็เป็นสิ่งที่แต่ละแคว้นและแต่ละขุมกำลังแย่งชิงกัน”

“แปดสิบคน…” มู่ชิงเกอกล่าวยํ้าขึ้นเสียงเรียบ

ฉินจิ่นเฉินก็พลันกล่าวต่อ “ในแปดสิบคนนี้ก็แบ่งเป็นสิบคนต่อหนึ่งกลุ่ม ก็หมายความว่าจะมีเพียงแปดขั้วอำนาจที่สามารถเข้าไปได้ หนึ่งในนั้นอาณาจักรเซิ่งหยวนก็ยึดครองเอาไว้แล้วสิทธิ์หนึ่ง แคว้นกู่วู่เพราะว่าความพิเศษก็ได้ครอบครองเอาไว้แล้วอีกสิทธิ์หนึ่ง นี่ก็ถูกตัดทิ้งไปแล้วสองสิทธิ์ และที่เหลืออีกหก หนึ่งในนั้นก็เป็นของโรงโอสถ ส่วนหอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรเพราะว่าล้วนอยู่ในแคว้นหรง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้แคว้นหรงเติบโตมากเกินไป อาณาจักรเซิ่งหยวนในงานชุมนุมใหญ่หลินชวนเมื่อสองครั้งก่อนก็ได้ประกาศออกมาว่า ให้ทั้งสองขุมกำลังนี้เข้าร่วมเป็นกลุ่มเดียวกัน ที่เหลืออีกสี่สิทธิ์ก็เลยเหลือไว้ให้แคว้นระดับสองกับแคว้นระดับสามแย่งชิงกัน”

“สี่สิทธิ์ แคว้นระดับสองมีสามแคว้น แคว้นระดับสามถึงจะตัดออกไปแล้วสองแคว้นก็ยังเหลืออีกสามแคว้น พอนับรวมไว้ด้วยกันก็เป็นหกแคว้นแย่งชิงสี่รายชื่อ ฟังดูแล้วก็เหมือนจะไม่เลวนัก แต่นี่ก็ถือเป็นการฆ่าล้างฉากหนึ่ง เผชิญหน้ากับแคว้นระดับสอง อัตราที่จะชนะของแคว้นระดับสามก็มีน้อยมาก” มู่ชิงเกอเปิดปากหัวเราะเสียงเย็น

ฉินจิ่นเฉินก็พยักหน้าขึ้นเห็นด้วย “ไม่ผิด เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะไม่เป็นการส่งตัวเองไปตาย แคว้นระดับสามก็ล้วนแต่จะประลองกันไปก่อนรอบหนึ่ง แล้วค่อยให้ตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นระดับสามเดินทางไปเข้าร่วม สามารถรักษาเอาไว้ได้หนึ่งสิทธิ์ก็ยังดี ไม่เช่นนั้นก็จะต้องขายหน้าแล้ว”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา กล่าวอย่างหยอกเย้าว่า “ตอนนี้พวกเขาที่มอบอำนาจตัดสินใจมาให้ข้า จากมุมมองของคนภายนอกก็คงเหมือนกับว่าข้านั้นได้เปรียบ มีเกียรติอย่างถึงที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมข้ากลับรู้สึกว่าได้รับภาระหนักหนามาแบกไว้ก็ไม่ปาน”

ฉินจิ่นเฉินอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ใครให้ชื่อเสียงคุณชายมู่ของเจ้าโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นระดับสามเล่า?”

“เอาเถอะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ภาระหนักหนาครั้งนี้ข้าก็จะแบกรับมันเอาไว้!” บนใบหน้างามลํ้าของมู่ชิงเกอ ก็พลันเปล่งแสงเจิดจ้าดึงดูดสายตาออกมา ทำเอาผู้คนจิตใจสั่นไหว ถึงอย่างไรนางก็วางแผนที่จะไปอาณาจักรเซิ่งหยวนสักรอบอยู่แล้วมิใช่รึ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version