ตอนที่ 171-3
เดินทางสู่อาณาจักรเซิ่งหยวน!
เดินตามเส้นทางขาไป มู่ชิงเกอก็มาถึงอาณาเขตของชนเผ่าหู
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางเข้าไปในเมืองของชนเผ่าหู ฟู่เทียนหลงที่ได้รับข่าวตั้งแต่แรกก็มาปรากฏตรงหน้านางแล้ว
“มู่เกอเป็นเจ้าจริงๆ น่ะหรือ? ข้าไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง?” ฟู่เทียนหลงมองไปยังมู่ชิงเกอที่อยู่ด้านหน้าตน ด้วยแววตาที่ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ใช้มือขยี้ตาแรงๆ ต่อจากนั้น สายตาก็ร่วงลงไปที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ ตกไปยังหยวนหยวนที่มีความสูงขนาดประมาณน่องขาของนาง
“นี่ ผู้นี้คือ…” ฟู่เทียนหลงกะพริบตาปริบๆ จ้องมองไปทางใบหน้าของทั้งสองคนอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง “เขาคงเป็นน้องชายของเจ้ากระมัง? แต่ว่าน้องชายของเจ้าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
มู่ชิงเกอก็รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่ฟู่เทียนหลงยังอยู่ที่ชนเผ่าหู ยิ้มขึ้นน้อยๆ นางไม่ได้อธิบายที่มาของหยวนหยวน เพียงแต่กล่าวว่า “ข้าครั้งนี้ที่มาก็เพราะต้องการ มาบอกลาท่านผู้เฒ่า แล้วก็จะกล่าวขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อตอนก่อนหน้า”
นางก็ไม่ได้อธิบายว่าช่วงก่อนหน้าตนเองไปที่ไหนมา ฟู่เทียนหลงที่คบหากับนางมาได้ช่วงเวลาหนึ่งก็รู้ถึงนิสัยนี้ของนางดี ดังนั้นก็เลยไม่ได้ถามต่อแต่อย่างใด
กลับกันตอนนี้คนก็กลับมาโดยปลอดภัย ก็ถือว่าดียิ่งแล้ว!
พอได้ฟังมู่ชิงเกอกล่าวถึงท่านผู้เฒ่า ท่าทางของฟู่เทียนหลงก็กลายเป็นนิ่งขรึมลง กล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าสิ้นแล้ว”
มู่ชิงเกอแววตาทั้งสองข้างหดเล็กลง คำตอบนี้ก็ทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึง แต่พอนึกถึงครั้งก่อนตอนที่พบหน้ากัน ท่านผู้เฒ่าก็ชัดเจนว่าได้ล่วงเลยมาถึงขีดจำกัดของอายุขัยแล้ว นี่ก็ถือเป็นสัจธรรม นางกล่าวอย่างเสียดาย “เสียดายที่ข้าไม่อาจกลับมาส่งท่านผู้เฒ่าได้ทัน”
การตายของท่านผู้เฒ่าคือหมดสิ้นอายุไข ไม่ได้เจ็บปวดทรมาน นางเองก็ยังไม่สามารถหลอมโอสถที่สามารถยืมอายุขัยฝืนกฎฟ้าได้ สำหรับบทสรุปเช่นนี้ก็ไม่อาจทำอันใดได้ อยู่ค้างคืนที่ชนเผ่าหูหนึ่งคืน พอวันที่สอง มู่ชิงเกอกับฟู่เทียนหลงก็เดินทางออกจากชนเผ่าหูไปด้วยกัน
ฟู่เทียนหลงที่รั้งอยู่ก็เพราะต้องการตามหามู่ชิงเกอ ตอนนี้คนกลับมาแล้ว เขาแน่นอนว่าจะต้องกลับไปที่แคว้นอวี๋อยู่เป็นเพื่อนสุ่ยหลิง
หลังจากออกจากแคว้นปา มู่ชิงเกอก็กล่าวอำลากับฟู่เทียนหลง เดินทางกลับไปที่แคว้นฉินคนเดียวเพียงลำพัง นางทุกๆ วันก็จะใช้พลังจิตในการเร่งเดินทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืนในตอนที่พลังจิตหมดก็ให้หยินเฉินพานางเดิน
ทาง
ในที่สุด หลังจากเดินทางไปได้หนึ่งเดือน ก็เดินทางกลับมาถึงที่แคว้นฉิน
พอกลับมาถึงแคว้นฉินมู่ชิงเกอถึงได้รู้ว่าเซวียเฉียวพามู่เหลียนหรงออกเดินทางไปแล้ว บอกว่าจะท่องเที่ยวไปพร้อมกับเดินทางกลับตระกูลเซวียที่แคว้นอวี่ ในตระกูลมู่ก็เหลือแค่มู่ซงเพียงคนเดียว
อยู่เป็นเพื่อนมู่ซงหลายวัน ก่อนที่มู่ชิงเกอจะประกาศเก็บตัวฝึกฝน
นางก็เดินทางเพียงลำพังมาที่ค่ายทหารนอกเมืองลั่วตูของกองทัพตระกูลมู่ ไปยังหุบเขาที่ใช้ฝึกฝนองครักษ์เขี้ยวมังกรในตอนนั้น ก่อนจะเข้าไปในช่องว่างโดยไม่มีใครพบเห็น เข้าสู่การฝึกฝนอย่างสบายใจ ในช่วงชีวิตของมู่ชิงเกอไม่กี่ปีมานี้ การฝึกฝนโดยไม่มีอะไรมากวนใจเช่นนี้ก็เหมือนกับว่าจะมีน้อยนัก
นางมักจะยุ่งวุ่นวายอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่ต้องดูแลตัวเอง แต่ยังต้องดูแลคนอื่นๆ ด้วย
ตอนนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรก็บรรลุผลสำเร็จในขั้นต้นแล้ว สามารถออกไปฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง เรื่องวุ่นวายที่รายล้อมรอบตัว นางก็จัดการไปจนเกือบหมด นางในที่สุดก็สามารถตั้งมั่นฝึกฝนได้อย่างสบายใจสักรอบ
ตามที่เหมิงเหมิงกล่าวมา นางก็เลยจัดการเวลาในช่องว่างเสียใหม่ เวลาสี่เดือนในช่องว่าง เท่ากับเวลาหนึ่งเดือนในโลกภายนอก ความสามารถที่ฝืนกฎฟ้าเช่นนี้มู่ชิงเกอก็รู้สึกพึงพอใจนัก
แต่ว่าเหมิงเหมิงก็บอกเอาไว้แล้วว่า เพื่อที่จะไม่ทำให้เวลาด้านในช่องว่างกับเวลาด้านนอกแตกต่างกันมาก เปลี่ยนกลายเป็นเร็วเกินไป วิธีการเช่นนี้ก็ไม่อาจใช้ได้ นานนัก รอหลังจากมู่ชิงเกอฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว ดีที่สุดก็ควรจะเปลี่ยนเวลาเท่ากันหนึ่งต่อหนึ่งดังเดิม
สำหรับข้อนี้มู่ชิงเกอแน่นอนว่าไม่มีความคิดเห็นขัดแย้งอันใด
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย มู่ชิงเกอก็เริ่มต้นฝึกฝน
การฝึกฝนนี้ ก็คือเวลาด้านนอกสามเดือน ส่วนในช่องว่างก็เป็นระยะเวลาหนึ่งปี
ในช่วงระยะเวลานี้ไม่ว่าภายนอกจะเกิดเรื่องราวอันใด ล้วนแต่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอ และก็ไม่มีทางมารบกวนนางได้
วันนี้มู่ชิงเกอก็นั่งฝึกฝนอยู่ในช่องว่าง ทวั่ทั้งตัวคนจมอยู่ในบ่อสายฟ้า สายฟ้าสีม่วงอมนํ้าเงินพวกนั้นก็เหมือนกับอสรพิษขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น รุมล้อมรอบตัวนาง ถูกนางดูดซับพวกมันผ่านทางผิวหนัง
ทันใดนั้นเองบนหัวของนางก็เกิดลมกรรโชกขึ้นอย่างรุนแรง เกิดเป็นหลุมพายุดุดันบนหัวของนาง ไอพลังจิตในช่องว่างชั่วขณะนั้นก็เหมือนกับมันถูกนางดูดซับก็ไม่ปาน ทั้งหมดถูกดูดไปในวังวนพายุก่อนจะส่งตรงเข้าสู่ศีรษะของนาง
มู่ชิงเกอทั่วทั้งตัวคนก็เหมือนกับกลายเป็นสีม่วงก็ไม่ปาน จากผิวหนังของนางเปล่งแสงสีม่วงเข้มออกมา ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งบ่อสายฟ้า
สายนํ้าในบ่อสายฟ้าก็กลายเป็นสั่นกระเพื่อมขึ้นมา พลังสายฟ้าก็พลันกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้น
พลังสายฟ้าที่มากกว่าเดิมก็ถูกนางดูดซับเข้าไปในร่างกาย ในจิตใจส่วนลึกของนาง แสงสีม่วงอมนํ้าเงินที่เป็นส่วนของความสามารถพิเศษธาตุสายฟ้ายิ่งมาก็ยิ่ง เข้มมากขึ้น ยิ่งมายิ่งขยายใหญ่ขึ้น
ด้านบนของบ่อสายฟ้า ก็มีเสียงสายฟ้าดังขึ้นไม่หยุด สั่นสะท้านไปทั่วทั้งช่องว่าง
หยวนหยวนที่มาตามเสียง พอเห็นเข้ากับสภาพของมู่ชิงเกอ เขาก็อดที่จะกล่าวอย่างประหลาดใจไม่ได้ “ลูกพี่ท่านแม่จะทะลวงชั้นรึ?”
เหมิงเหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงกดตํ่า “เจ้านายยังดีที่เลื่อนชั้นเป็นระดับสีม่วงชั้นสูงสุดในช่องว่าง ถ้าหากอยู่ที่ด้านนอก ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบใหญ่โตเพียงใด แต่ข้าก็ยังไม่คาดคิด คิดไม่ถึงว่ารากวิญญาณสายฟ้าของเจ้านายจะเกิดวิวัฒนาการขึ้นมา กลายเป็นบริสุทธิ์และกล้าแกร่งขึ้น!”
“เจ้าว่าอะไรนะ? รากวิญญาณสายฟ้าอันใด?” หยวนหยวนมองไปทางเหมิงเหมิงอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีอะไร” เหมิงเหมิงหลบสายตาด้วยท่าทางพะวักพะวง ก่อนจะแสร้งทำท่าทางรำคาญกล่าวกับหยวนหยวน “เด็กน้อยตัวกะเปี๊ยกเช่นเจ้า จะถามอันใดมาก มายกัน?”
หยวนหยวนที่อยู่ๆ ก็ถูกเหมิงเหมิงต่อว่าใส่ มือทั้งสองข้างก็พลันเท้าไปที่เอว ก่อนจะยกคิ้วดกดำทั้งสองขึ้น ย่นโครงหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาตะโกนสวนกลับไปว่า “เจ้า มีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า? เจ้าก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกเช่นกัน? รอข้าหาพญาเพลิงเจอแล้วกลืนมันลงไป ก็จะสามารถเติบโตได้แล้ว แต่เจ้าเล่า? หึ ก็คงจะตัวกะเปี๊ยกเช่นนี้ไปตลอดกระมัง!”
“เจ้า!” เหมิงเหมิงก็โกรธเสียจนต้องชี้นิ้วมือสีอมชมพูไปทางหยวนหยวน นางมองไปทางมู่ชิงเกอหนหนึ่ง ก่อนจะเร่งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “รอเจ้านายทะลวงชั้นครั้งนี้เสร็จ ข้าก็จะเติบโตแล้ว แต่เจ้าคงยังต้องรอพญาเพลิง ฮ่า ฮ่า ข้าก็ขออวยพรให้เจ้าหามันไม่เจอไปตลอดกาล!”
คำพูดทำร้ายจิตใจพอกล่าวจบ เหมิงเหมิงก็หมุนกายจากไปด้วยความโมโห
หยวนหยวนสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม โกรธจนแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งตามไป “เจ้าเด็กหน้าเหม็นเจ้าพูดอะไร! เจ้าแน่จริงพูดมันออกมาอีกรอบ!”
“ข้าก็บอกว่าขอให้เจ้าหาพญาเพลิงไม่เจอไปตลอดกาล! ขอให้เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกเช่นนี้ไปตลอดกาล!” เสียงของเหมิงเหมิงลอยมาจากที่ไกลๆ
“เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ ข้าจะตีเจ้า!” เสียงร้องโมโหของหยวนหยวนก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป
เสียงทะเลาะของทั้งสองคนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อมู่ชิงเกอ พอเห็นพวกเขาจากไปไกลแล้ว หยินเฉินก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามามองมู่ชิงเกออยู่ไกลๆ พลางกล่าวว่า “เจ้านาย ครั้งนี้หากท่านเลื่อนชั้นสำเร็จ ก็คงจะนำผลดีมาให้ข้าไม่น้อย ขอเพียงข้ามผ่านเคราะห์เป็นตายไปได้ ข้าก็จะสามารถกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะที่แท้จริงได้ สามารถจำแลงกายเป็นร่างมนุษย์เพียงแต่…เคราะห์เป็นตายนี้…”
สายตาของหยินเฉินดูค่อนข้างมืดมน
ในความทรงจำที่สืบทอดกันมาตามสายเลือดก็บอกมันเอาไว้ว่าการจะทะลวงผ่านความเป็นความตาย แล้วกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะนั้น มีความน่าหวาดกลัวมากเพียงใด
ถ้าหากผิดผลาด เขาก็จะไม่อาจคงอยู่ได้อีก
มองไปทางมู่ชิงเกอ หยินเฉินก็ค่อยๆ หมอบลงอย่างเงียบเชียบ รอคอยอย่างเงียบสงบ
ครืน ครืน—–!
ช่องว่างอยู่ๆ ก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา เหมือนกับเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน
การสั่นสะเทือนที่มาอย่างกะทันหันนี้ ก็ทำให้เหมิงเหมิงกับหยวนหยวนที่กำลังวุ่นวายใส่กันหยุดชะงักลง หยินเฉินก็พลันลุกยืนขึ้นมา แววตาสีหน้าขึงขัง
เขามองไปทางมู่ชิงเกอ วังวนสายลมบนหัวของนางก็กลายเป็นหมุนเร็วยิ่งขึ้น ก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในกายของนาง ในขณะที่วังวนสายลมหายไปนั้น ก็พลันมีพลังจิตอันกล้าแกร่งถูกปล่อยออกมาจากตัวของมู่ชิงเกอ
พลังบนร่างของเหมิงเหมิงและหยินเฉินก็ถูกปล่อยออกมาเช่นกัน
“ว้าว! เจ้าเปล่งแสงแล้ว!” หยวนหยวนก็ตกใจจนต้องกระโดดถอยไปก้าวหนึ่ง ชี้นิ้วร้องเรียกไปทางเหมิงเหมิง
ไม่รอให้เหมิงเหมิงกล่าววาจา นางก็เหมือนกับถูกเปลือกไข่ยักษ์ห่อหุ้มเอาไว้ก็ไม่ปาน
หยินเฉินก็นอนลงไปกับพื้นอีกครั้ง ราวกับว่ากำลังซึมซับพลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากมู่ชิงเกอทะลวงระดับชั้นได้สำเร็จ
ครั้งนี้เหมิงเหมิงก็ไม่ได้อยู่ในเปลือกไข่นานเท่าไร ในตอนที่มู่ชิงเกอตื่นขึ้นแล้วเดินออกจากบ่อสายฟ้า ณ ตอนนั้น นางก็กะเทาะเปลือกไข่กระโดดออกมาเช่นกัน
เหมิงเหมิงก็ยังคงเป็นเหมิงเหมิงคนเดิม เพียงแต่ตัวสูงขึ้นมากกว่าตอนก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย
เหมิงเหมิงยืนมือเท้าสะเอวอยู่ด้านหน้าของหยวนหยวนอย่างได้ใจ ยกมือขึ้นตบตบไปที่หัวของเขา หยอกเย้าว่า “หยวนหยวนน้อย ยังไม่เรียกพี่สาวอีก”
หยวนหยวนสีหน้าดำทะมึน กล่าวพลางแยกเขี้ยวออกมา “หึ เด็กสาวก็เป็นได้เพียงเด็กสาว ต่อให้สูงขึ้นก็ไม่อาจเป็นพี่สาวได้”
พอกล่าวจบ เขาก็พลันหายวับไปที่ข้างกายของมู่ชิงเกอพลางกล่าวอย่างออดอ้อน “ลูกพี่ท่านแม่ ทำไมเหมิงเหมึงเจ้าเด็กหัวเหม็นนั่นกับพี่ใหญ่หยินเฉินล้วนมีความ เปลี่ยนแปลง แต่กลับมีเพียงหยวนหยวนที่ไม่มี”
คำถามข้อนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอเบ้ปากขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไง
นางก็ไม่เชื่อว่าหยวนหยวนจะไม่รู้สาเหตุที่อยู่ภายในการถามเช่นนี้ ก็คงเพราะแค่ต้องการออดอ้อนนางต่อหน้าของเหมิงเหมิง คิดอยากได้รับการปลอบโยนของ นาง จะได้เอาไปโอ้อวดต่อหน้าของเหมิงเหมิงก็เท่านั้น
และตรงจุดนี้ก็เป็นจุดที่ไม่ถนัดของนางพอดี
“แค่ก แค่ก เอ่อ ข้าเก็บตัวฝึกฝนมานานก็คงต้องออกไปก่อนแล้ว ปัญหาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็แก้ไขเองแล้วกัน” มู่ชิงเกอกล่าวโยนปัญหาออกไป
เพิ่งเดินออกไปได้ก้าวหนึ่ง นางก็เหมือนนึกอะไรออกมาได้ มองไปทางเหมิงเหมิงพลางถามว่า “ครั้งนี้ช่องว่างมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่?” นางจำได้ว่าครั้งก่อนหลังจากเหมิงเหมิงเกิดวิวัฒนาการ ช่องว่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
แต่มาครั้งนี้เหมิงเหมิงกลับส่ายหน้า “นี่ก็เพียงแค่การทะลวงระดับชั้นช่วงเล็กๆ ครั้งต่อไปหากคิดจะปลดผนึกของช่องว่างออก ก็มีแต่จะยากขึ้นเรื่อยๆ” นางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับมู่ชิงเกอ “เจ้านายก็มาถึงจุดสูงสุดของชั้นสีม่วงแล้ว ท่านสัมผัสถึงอะไรได้บ้างไหม?”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นมา นึกคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า
“หลังข้าเข้าสู่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุดแล้ว ข้าก็สัมผัสได้ว่า ต่อจากนี้ยังมีเขตแดนว่างเปล่าอันเวิ้งว้างที่เหมือนกับมีขอบเขตที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ ที่ยังใช้สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้” นางตอนนี้ก็เหมือนกับจะสัมผัสได้อย่างแท้จริง ถึงคำกล่าวที่ว่าขั้นสีม่วงไม่ใช่จุดสิ้นสุด
“นั้นก็เป็นขั้นกักเก็บ!”
“ขั้นกักเก็บ?” มู่ชิงเกอทวนคำพูดของเหมิงเหมิงขึ้นอย่างประหลาดใจ