ตอนที่ 194-2
จนมุมในเพลิงผลาญ!
มู่ชิงเกอจับทวนหลิงหลงรีบยืนขึ้นมา ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก อาศัยโอกาสช่วงที่ไม่ถูกพัวพันรีบพิจารณาสถานการณ์รอบด้าน
เหล่าเกล็ดของเจียงหลีวนรอบนางอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ากำลังคุ้มครองนาง บนพื้น องครักษ์เขี้ยวมังกรกำลังหยุดยั้งเหล่าผู้มีระดับพลังชั้นสีม่วง ซึ่งยากที่จะหาข้อสรุปได้
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยนำขบวนของแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ต่อสู้กับเหล่ารุ่นเยาว์ที่มีระดับพลังชั้นสีม่วงของตระกูลหลาน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนคนมากแต่ก็เริ่มมีการบาดเจ็บล้มตายแล้ว
ทางด้านเฉินปี้เฉิงก็พยายามที่จะหยุดยั้งหลานกัง เพื่อแบ่งเบาภาระให้มู่ชิงเกอ ก็ได้เริ่มเกิดอาการขาดพลังกายและพลังจิตแล้ว ที่สำคัญก็คือเขาได้รับบาดเจ็บหนัก หากว่าเขาไม่ใช่เฉินปี้เฉิง ไม่ได้มีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ เกรงว่าคงจะตายภายใต้เงื้อมมือของหลานกังไปนานแล้ว ส่วนฝั่งทางเจียงหลี ตอนนี้ยังสามารถหยุดยั้งคู่ต่อสู้ได้อยู่ ไม่ได้มีความเสี่ยงที่รุนแรง เมื่อมู่ชิงเกอพิจารณาสถานการณ์รอบด้านเสร็จแล้ว ก็ควักเอาขวดยาขวดหนึ่งออกมา โยนไปที่เฉินปี้เฉิง เฉินปี้เฉิงรีบรับในทันทีไม่ได้ถามมากความบีบขวดให้แตกกลืนยาที่อยู่ด้านในทั้งหมดในทันที
ด้านในนั้นบรรจุยาที่มู่ชิงเกอเตรียมไว้ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรตอนสู้รบ สามารถฟื้นฟูพลังจิตพลังกายในพริบตา แล้วก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้บางส่วน
ยาเช่นนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เคยขาดแคลนและก็เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอเก็บตุนไว้ระยะยาว
หลังจากที่เฉินปี้เฉิงได้ใช้ยา ยาก็ออกฤทธิ์ในทันทีฟื้นฟูร่างกายของเขาที่บาดเจ็บและเติมเต็มพลังจิตและพลังกายของเขา
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ ดุจดั่งคนที่เดินอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลานานแล้วก็พบกับแหล่งนํ้า ได้เติมเต็มนํ้าที่หายไปจากร่างกาย ทำให้สดชื่นขึ้นมาก
เฉินปี้เฉิงร้องออกมาคำหนึ่งเริ่มเปิดฉากการโจมตีที่รุนแรงกับหลานกัง
การกระทำนี้ดูเหมือนจะช้าแต่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในพริบตา
มู่ชิงเกอมองเห็นการกระทำของเฉินปี้เฉิง มุมปากก็เกิดรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่ง ยาขวดนี้ด้านในมีจำนวนยาเพียงพอที่สามารถทำให้เขาได้เติมเต็มถึงสิบครั้ง แต่เขากลับกลืนลงไปในครั้งเดียว
หายใจเข้าลึกๆ แววตาของมู่ชิงเกอฉายแววตัดสินใจ
การต่อสู้หลังชนฝาเช่นนี้ไม่มีโอกาสให้ถอย
ถึงแม้ว่านางจะโชคดีพอที่จะฆ่าปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บคนหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีอีกสามคนที่สามารถโจมตีนาง…การต่อสู้ในครั้งนี้ เกรงว่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี
‘เจ้านาย ท่านสู้ไม่ได้หรอกรีบหลบเข้ามา! ไม่ใช่ว่าท่านมักพูดว่าสุภาพชนไม่สู้ศึกที่ไม่มีความแน่นอนมิใช่หรือ?’ เสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้นภายในหัวของมู่ชิงเกอ มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มออกมา ‘หลบ? ข้าสามารถหลบได้ แล้วพวกเขาล่ะ? เจ้าสามารถนำคนมากขนาดนี้ เข้าสู่ช่องว่างได้ทั้งหมดหรือไม่?’ มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปทุกการต่อสู้
ลมพัดเส้นผมของนางลอยพลิ้วกลางอากาศ
นางสวมเสื้อเกราะสีแดงถือทวนหลิงหลงลอยตัวตรงอยู่กลางอากาศตรงศูนย์กลางของสนามรบ มีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่คิดแยแสของเทพแห่งสงคราม แต่ก็ดูเหมือนวีรบุรุษที่ตกอยู่ในกับดัก
สุสานเทวะที่เป็นเศษซากก็ดูเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้จริงๆ!
‘เจ้านาย ท่านอย่าได้หุนหันพลันแล่น! ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายดายถึงขนาดนั้น เมื่อครู่นี้เป็นโชคดีของท่านจริงๆ ต่อจากนี้จะเลวร้ายแล้ว! ท่านไม่ไป ก็อาจตายได้!’ คำถามของมู่ชิงเกอนำมาซึ่งความเงียบ ของเหมิงเหมิง หลังจากเงียบไปแล้ว เหมิงเหมิงก็รีบให้คำแนะนำ
ในใจของมู่ชิงเกอและเหมิงเหมิงต่างก็รู้ดีว่าช่องว่างยังไม่ได้พัฒนาถึงขั้นที่จะสามารถนำคนมีชีวิตจำนวนมากขนาดนี้เข้าไปได้
ท่าทีของมู่ชิงเกอกลับดูสงบมองไม่เห็นถึงความเหนื่อยล้าหรือกระวนกระวาย ‘แม้แต่เจ้าก็พูดว่าข้าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน ดูแล้วหากคิดอยากจะชนะก็ต้องฝันกลางวันไปแล้ว’
ไพ่ตายทุกอย่างของนาง เหมิงเหมิงล้วนแต่รู้ดีและอีกอย่างความรู้ของเหมิงเหมิงก็มีเหนือนนาง
นับจากที่นางตื่นขึ้นและติดตามมู่ชิงเกอแล้ว ไม่ว่าจะพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างไร นางก็ไม่เคยบอกให้มู่ชิงเกอหนีมาก่อน วันนี้กลับพยายามแนะนำ ดูท่าสำหรับเหมิงเหมิงแล้ว ในครั้งนี้ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะใช้ไพ่ตายจนหมดก็ยากที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ที่จะพ่ายแพ้ได้
ทางเดียวที่จะรอดก็คือต้องอาศัยช่องว่างในการหลบหนี ถ้าหากว่าในตอนนี้มีแค่นางเพียงคนเดียว ไม่ต้องให้เหมิงเหมิงเอ่ยเตือนนางก็จะหลบในทันทีจะไม่เล่นไปกับปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บที่หน้าไม่อายเหล่านี้ จากนั้นก็จะหาโอกาสลอบฆ่าพวกเขาทีละคนจนหมด
แต่ว่า—–
‘เหมิงเหมิง’ มู่ชิงเกอตัดบทการพยายามแนะนำของเหมิงเหมิง
เสียงของเหมิงเหมิงที่ซํ้าไปมาในหัวของมู่ชิงเกอหยุดลง ทันใดนั้นในหัวก็เงียบลง ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอชัดเจนขึ้น มุมปากของนางเกิดรอยยิ้มบางๆ นัยน์ตาสงบฉาย แววตัดสินใจ นางเอ่ยกับเหมิงเหมิงว่า ‘เหมิงเหมิง ข้าสามารถไปได้ แล้วพวกเขาละ? พวกเขาต่อสู้เพื่อข้า เป็นสหายร่วมรบของข้า เจ้าจะให้ข้าทำเรื่องหักหลังเพื่อนกลางสนามรบอย่างนั้นหรือ? ขอโทษ ข้าทำไม่ได้ ไม่ละทิ้ง ไม่ยอมแพ้ เป็นหลักการแรกที่ข้าได้เรียนรู้ในกองทัพ วันนี้ถึงแม้ว่าจะต้องตาย ข้าก็จะขอสู้จนถึงที่สุด!’
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายลุกโชนไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
นางมององครักษ์เขี้ยวมังกรที่ต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงเหล่านั้นแล้วแววตาของนางก็ฉายแววแข็งกร้าว อาศัยช่วงเวลาที่ปีศาจเฒ่าชั้นกักเก็บหวาดกลัวการระเบิดตัวเองหนีไปยังไม่กลับมา พุ่งตัวไปที่พื้นดุจดั่งลูกกระสุนเข้าร่วมสงครามกับองครักษ์เขี้ยวมังกร
เลือกที่จะกำจัดผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงของฝ่ายตรงข้ามก่อนเป็นเพราะทำเช่นนี้จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนกลับได้มากที่สุด
เวลาของนางมีไม่มากทำได้เพียงปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ฝ่ายตรงข้ามต้องการให้นางตาย เช่นนั้นก่อนที่นางจะตายก็ต้องกัดเนื้อของฝ่ายตรงข้ามให้แน่น ทำให้ชั่วชีวิตของพวกเขาล้วนแต่ต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของนาง!
อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็มาเข้าร่วม นี่ก็ทำเอาองครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่นิ่งชะงักไป
“ตะลึงอะไร? ฆ่า—–!” มู่ชิงเกอจับทวนหลิงหลงขึ้นมา
เงาร่างพร่าเลือนเข้าไปในกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงของฝ่ายตรงข้าม ก่อกวนการสอดประสานของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงเหล่านั้น องครักษ์เขี้ยวมังกรได้สติขึ้นมาในทันที ติดตามมู่ชิงเกอไปพร้อมทั้งควักเอากลีเนทลันเชอร์ออกมาต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงที่ร่วมมือกันจนทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย
ฝั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังชั้นสีม่วงถูกโจมตีจนวุ่นวาย องครักษ์เขี้ยวมังกรยี่สิบคนอาศัยช่องว่างเข้าไปในการต่อสู้ของแคว้นลี่และแคว้นอวี๋
ไม่มีการหยุดยั้งของปีศาจเฒ่าชั้นกักเก็บ มู่ชิงเกอก็เริ่มเก็บเอาชีวิต
มีทวนหลิงหลงในมือ ทั้งตัวเองก็เป็นผู้มีระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุด เหล่าผู้มีระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นต้นและชั้นกลางเหล่านี้ล้วนแต่ถูกนางใช้ทวนเดียวปลิดชีพ เหล่าเกล็ดที่รายล้อมมู่ชิงเกออยู่นั้นก็เหมือนจะคิดเช่นเดียวกัน แยกตัวออกไปเอาชีวิตผู้คน การต่อผู้เริ่มเอนเอียงไปทางด้านมู่ชิงเกอ แต่ว่านางก็รู้ดีแก่ใจนี่เป็นแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ท้องฟ้าภายในช่องว่างแห่งการทดสอบดุจดังเป็นกระจก ที่ถูกทุบเต็มไปด้วยรอยร้าว ทั่วทั้งช่องว่างสั่นไหว
มีแสงลอดผ่านเข้ามาในรอยแตก
“รอเดี๋ยว!” มีเสียงของคนดังเข้ามา แสงหลายสายถูกหยุดในพริบตา
ที่แท้ก็เป็นปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บสามคนก่อนหน้าที่หวาดกลัวการระเบิดตัวเองแล้วก็ยังมีเฮยมู่ ไท่สื่อเกา โหลวเสวียนเถี่ยและหลานเฟยเยว่ สี่คน
“ไม่ถูกต้อง การระเบิดตนเองของผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บมีพลังรุนแรงมาก ถึงแม้ว่าพวกเราจะหนีออกมาไกลมาก แต่ก็ไม่ควรจะสงบเงียบเช่นนี้” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บของตระกูลหลานคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ท่านปู่ เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?” หลานเฟยเยว่รีบเอ่ยถาม
ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของตระกูลหลานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเบิกกว้าง นัยน์ตาฉายแววแข็งกร้าว “ไม่ดีแล้ว! พวกเราหลงกล!”
“หลงกล? เป็นไปไม่ได้ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าปีศาจเฒ่าอู๋จะระเบิดตัวเอง” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของสำนักหมื่นอสูรที่ร่วมต่อสู้กับมู่ชิงเกอคนนั้นเอ่ยขึ้นมาในทันที
ครั้งนี้พวกเขามาจากสำนักหมื่นอสูร เพื่อที่จะนำผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ลอบเข้ามา จึงทำให้ถุงใส่สัตว์อสูรวิญญาณว่างเปล่า มิเช่นนั้น ตอนนี้ก็มีสัตว์อสูรวิญญาณไปสืบข่าวแทนพวกเขาแล้ว
“ระเบิดตัวเองคือระเบิดตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย ดูเหมือนว่าจะถูกเจ้าเด็กแช่มู่ทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งเป็นแน่” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของ ตระกูลหลานเอ่ย
หยุดยั้งการระเบิดตนเองของปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บงั้นหรือ? เป็นไปได้หรือ? เป็นพวกเขายังต้องหนีไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า
ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของสำนักหมี่นอสูรและหอหลอมศาสตราทั้งสองคนไม่อยากจะเชื่อในการคาดเดานี้
แต่ว่าเฮยมู่กลับพยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสหลานพูดมีเหตุผล คนแซ่มู่มีเล่ห์กลมากมาย เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่แน่อาจจะมีสมบัติบางอย่างที่สามารถหยุดยั้งการระเบิดตนเองได้”
“ท่านปู่ พวกเรารีบกลับไปดูเถิด อย่าให้มู่ชิงเกอหนีไปได้!” หลานเฟยเยว่เอ่ยกระตุ้น
ไท่สื่อเกาก็เอ่ยกับปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของสำนักตนเองว่า “ผู้อาวุโส พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ!”
“หนี? เหอะ เขายังสามารถหนีไปไหนได้?” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของตระกูลหลานสบถออกมา อุ้มเอาหลานเฟยเยว่กลับไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ อีกสี่คนก็ไม่ได้ชักช้ากลับไปทางสุสานเทวะ