Skip to content

พลิกปฐพี 149-4

ตอนที่ 149-4

โลกนี้เขาอาศัยหน้าตากินข้าวกัน

บนเวทีประลอง สีหน้าของจิ่งเทียนก็พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู มองไปทางตัวอักษรบนม้วนผ้า สีหน้าเคร่งขรึมไม่มั่นใจ แต่ฝ่ายมู่ชิงเกอกลับมีท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้ รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย

“ศิษย์พี่อะไรคือโอสถยืดอายุไท่เวยกัน? ทำไมพวกเขา ถึงมีท่าทางผิดปกติกันเช่นนี้?” ศิษย์สาขาย่อยเขยิบไปทางเหมยจื่อจ้งพร้อมกับถามเสียงเบา

เหมยจื่อจ้งหันมองไปทางเหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง เห็นพวกเขาทั้งหมดกำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เขาเป็นเพียงนักปรุงยาระดับสูง จะไปรู้ตัวยาในขอบเขต ของนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณได้อย่างไร?

จ้าวหนานซิงกล่าวว่าเสียงกดต่ำ “ดูท่า โอสถยืดอายุไท่เวยนี้คงจะไม่ได้หลอมง่ายๆ ไม่เช่นนั้นสีหน้าของจิ่งเทียนคงจะไม่ยํ่าแย่ขนาดนั้น”

“โอสถยืดอายุไท่เวย จากความหมายของชื่อก็สามารถรู้ได้ว่าสามารถเปลี่ยนชะตาฟ้า ขอเพียงได้กลืนยาเม็ดนี้ลงไป ไม่ว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับจะหนักหนาเพียงไร หรือว่าโรคที่เป็นอยู่จะรักษาไม่หายอย่างไร ก็จะสามารถยืดชีวิตออกไปได้สิบปี แต่หลังจากสิบปีไปแล้วก็ต้องตายลงตามโชคชะตา และโอสถยืดอายุไท่เวยนี้ในหนึ่งชีวิตก็จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ใช้เกินกว่านี้ก็จะไม่มีผลอีก ท่านหัวหน้าแจ้งไว้ว่าหัวข้อในการทดสอบครั้งนี้ก็คือสามารถหลอมโอสถยืดอายุไท่เวยออกมาได้หนึ่งเม็ด!”

คำกล่าวของผู้อาวุโสคุมสนามประลองก็ถือว่าเป็นการไขข้อสงสัยให้กับศิษย์สาขาย่อย

แต่ว่าก็เหมือนเป็นการเพิ่มความตกตะลึงเข้าไปในจิตใจของพวกเขาไปพร้อมๆ กัน เพราะว่า พวกเขาก่อนหน้าก็ไม่รู้ว่าในแผ่นดินนี้จะมีตัวยาที่ฝืนกฎสวรรค์ได้เช่นนี้…ไม่สิ บางทีสิ่งที่ฝืนกฎสวรรค์อาจจะไม่ใช่ตัวยา แต่เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ! เพราะมีเพียงนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่จะสามารถหลอมโอสถที่ฝืนกฎสวรรค์เช่นนี้ได้ แค่นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณก็ยังร้ายกาจเช่นนี้ แล้วนักปรุงยาระดับสมบัติ? ระดับเทวะเล่า?

ทันใดนั้นเอง เส้นทางอันกว้างไกลและเรืองรองอันไม่มีที่สิ้นสุดก็เปิดออกตรงหน้าของเหล่าศิษย์สาขาย่อย กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้พวกเขามุ่งก้าวไปข้างหน้าต่อไป!

ผู้อาวุโสคุมการประลองมองไปทางจิ่งเทียนกับมู่ชิงเกอ ถามขึ้นว่า “โอสถยืดอายุไท่เวยมีความยากสูงมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่เข้าสู่ระดับจิตวิญญาณมาแล้ว หลายปี ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหลอมมันได้สำเร็จ อีกทั้งอัตราความสำเร็จของมัน ตามการบันทึกของโรงโอสถก็อยู่ประมาณที่หนึ่งต่อสิบ ตอนนี้พวกเจ้ามีโอกาสเพียงสามครั้ง พวกเจ้ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่”

จิ่งเทียนแย่งกล่าวก่อนหน้ามู่ชิงเกอ “ไม่มี”

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นจางๆ ก่อนจะส่ายหน้าขึ้นน้อยๆ

อัตราความสำเร็จอยู่ที่หนึ่งในสิบ? ก็อาจกล่าวได้ว่าใน การหลอมสิบครั้ง จะมีเพียงครั้งเดียวที่ทำสำเร็จ และตอนนี้ตามกฎของการประลองก็มอบโอกาสให้เพียงสามครั้ง

จะกล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจิ่งเทียนหรือว่ามู่ชิงเกอก็จะต้องยกระดับอัตราความสำเร็จให้เป็นหนึ่งในสาม ถึงจะมีโอกาสเป็นผู้ชนะ

พบเจอตัวโอสถที่หลอมยากเช่นนี้ ถึงว่าทำไมหลังจากผู้อาวุโสคุมการประลองเห็นเนื้อหาในม้วนผ้าแล้ว ถึงได้เกิดอาการตกตะลึงขึ้นเช่นนั้น

“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เริ่มการประลองได้” ผู้อาวุโสคุมการประลองหลังจากกล่าวจบ ก็ถอยออกไปอีกด้านหนึ่ง

ด้านบนโต๊ะของทั้งสองคน ก็ได้เตรียมวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถยืดอายุไท่เวยเอาไว้สามชุดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่แรก

หลังจากที่ผู้อาวุโสคุมการประลองประกาศเริ่มต้น จิ่งเทียนกับมู่ชิงเกอก็ไม่รีบจะไปเริ่มต้นลงมือ แต่ทำการตรวจตัวยาบนโต๊ะอย่างตั้งใจ

จูหลิงค้นพบว่า จิ่งเทียนที่อยู่ในการประลองครั้งนี้ก็ เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ไม่ปาน กลิ่นไอหยิ่งทะนงที่ราวกับจะแผ่พุ่งออกมาจากกระดูกสายนั้นก็ถูกเก็บกลับไปอย่างหมดจด

นางหันไปกล่าวกับจ้าวหนานซิงที่อยู่ด้านข้างเสียงเบาว่า “ดูท่า เขาที่สามารถเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สาขาหลักได้ ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ”

จ้าวหนานซิงพยักหน้าขึ้นน้อยๆ “การปรุงยาอาศัยเพียงพรสวรรค์นั้นไม่เพียงพอ ยังจะต้องมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จิ่งเทียนผู้นี้เปรียบกับเตียวหยวนแล้วน่ากลัวกว่ามาก เขาไม่เพียงมีประสบการณ์อันสูงส่ง แต่ในด้านการปรุงยายังสามารถทำได้ถึงขนาดไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เจ้าลองดูเขาหลังจากที่ผู้อาวุโสประกาศให้เริ่มต้นสิ เขาก็ไม่มีท่าทางจะกล่าวท้าทายศิษย์น้องมู่อะไรอีก แต่ตรวจสอบวัตถุดิบในมืออย่างตั้งใจ”

“ข้าอยู่ๆ ก็นึกคำขึ้นมาได้ประโยคหนึ่ง” จูหลิงอยู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมา

“อะไรรึ?” จ้าวหนานซิงถามอย่างประหลาดใจ

จูหลิงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “คนชั่วก็ไม่ได้น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวก็คือคนชั่วที่มีพรสวรรค์และมุมานะเอาจริงจัง”

จ้าวหนานซิงชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆว่า “คำกล่าวประโยคนี้ก็ไม่เลว”

“ศิษย์น้องมู่จะทำสำเร็จได้หรือไม่นะ?’’ จูหลิงแววตาเป็นกังวลขึ้น

หางตาของนางลอบมองไปทางซางจื่อซูที่อยู่ด้านข้าง ก็ค้นพบว่ามือทั้งสองข้างของนางกำลังกำแขนเสื้อเอาไว้แน่น ท่าทางไม่รู้สึกตัว

“วางใจเถิด เจ้าเคยเห็นศิษย์น้องมู่พ่ายแพ้เมื่อไรกัน? ในด้านการปรุงยาพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ความมุมานะเอาจริงเอาจังของเขาก็ไม่ได้แพ้ผู้ใด” จ้าวหนานซิงกล่าวปลอบโยนขึ้น

วัตถุดิบเกือบพันรายการ หลังจากทำการตรวจสอบพวกมันทีละอย่างทีละอย่างแล้ว เวลาก็ได้ล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วยาม

จิ่งเทียนก็ได้หยิบหม้อหลอมของตนมาวางไว้บนโต๊ะก่อนแล้วก้าวหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอาลูกโลหะที่อยู่บนโต๊ะ เปิดออก เปลวไฟสายหนึ่งก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้น

มู่ชิงเกอมองไปยังฉากภาพที่จิ่งเทียนเอาเปลวเพลิงโยนเข้าไปในเตาหลอมอย่างประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่ค้นพบว่าตัวนางนั้นคล้ายกับว่าจะเป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างแท้จริง

‘เจ้านาย นั้นคือเพลิงอสูร มีสัตว์วิญญาณบางชนิดในร่างมีเม็ดตบะธาตุไฟแอบซ่อนอยู่ ตบะธาตุไฟหลังจากนำออกมาก็จะสามารถเอามาใช้เป็นเพลิงหลอมได้ เพลิงอสูรเปรียบกับไฟธรรมดาแล้วก็ระดับสูงกว่าอยู่หน่อยหนึ่ง สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการหลอมโอสถได้ แต่ว่า เพลิงอสูรก็ยังห่างไกลจากพญาเพลิงอยู่มาก พวกมันหากอยู่ต่อหน้าพญาเพลิง ก็ทำได้แค่ยอมสยบเพียงเท่านั้น’ ในหัวของมู่ชิงเกอพลันมีเสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้น

ความรู้ข้อนี้ก็ทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอกลับไปเป็นปกติ หลังจากหยิบวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายขึ้นมาตรวจสอบเสร็จแล้ว นางก็หยิบหม้อหลอมของตัวเองออกมา

เพียงแต่ว่า ตอนที่นางหยิบเอาหม้อสีดำมะเมื่อมรูปลักษณ์บิดเบี้ยวนั่นออกมาต่อหน้าของฝูงชน เหล่าคนบนอัฒจันทร์ก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะกันขึ้นมา

“นั่นมันของน่าขันอันใดกัน?” มีคนกล่าวอย่างประหลาดใจ

และก็มีบางคนที่หัวเราะจนนํ้าตาไหล “ไอหยา น่าขันนัก นี่เป็นเตาถ่านที่เอาออกมาจากที่ไหนกัน? คิดจะใช้มันหลอมโอสถรึ?”

ในขณะเดียวกัน ก็มีเหล่าศิษย์หญิงน้อยใหญ่ของโรงโอสถกลางกล่าวไม่พอใจในตัวหม้อหลอมแทนมู่ชิงเกอ “ในแผ่นดินนี้ทำไมถึงมีหม้อหลอมที่น่าเกลียดเช่นนี้ กัน? ช่างไม่เข้ากันกับศิษย์น้องมู่นัก”

“ใช่แล้ว น่าเกลียดที่สุด!”

“ศิษย์น้องมู่ทำไมถึงได้เอาหม้อหลอมเช่นนี้ออกมากัน? สาขาย่อยยากจนมากเลยหรือ?” ก็ยังมีคนบางคนไร้เดียงสาจนนึกไปไกลเช่นนี้ได้

แต่ถึงเป็นอย่างนั้น การปรากฏตัวของเสี่ยวเฮยก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้สำเร็จ

เจ๋อซิ่วตอนที่เห็นเข้ากับหม้อหลอมสีดำมะเมื่อมรูปลักษณ์บิดเบี้ยวที่มู่ชิงเกอนำออกมานั่น ก็พลันลอบปาดเหงื่อบนหน้าผากตนไปรอบหนึ่ง กล่าวกระซิบ กระซาบว่า “นี่ก็เป็นหม้อประหลาดอะไรกัน? ยังสามารถหลอมโอสถได้อยู่รึ? ดูท่าครั้งนี้จิ่งเทียนจะต้องชนะเป็นแน่” พอกล่าวจบก็พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เร่งรีบเอาบันทึกการเดิมพันทั้งหมดในมือนับขึ้นมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ชั่วชณะนั้นสีหน้าก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นมา “นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน! คนที่เดิมพันว่าศิษย์พี่จิ่งเทียนชนะก็มีตั้งมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ถึงแม้ว่าอัตราการเดิมพันจะต่ำ แต่จำนวนการเดิมพันพวกนั้นก็มีมากไม่น้อย! ถ้าหากศิษย์พี่จิ่งเทียนชนะเข้า ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะต้องขาดทุนไม่น้อยแน่” พอคิดถึงตัวการสำคัญในการเดิมพันครั้งนี้ได้แล้ว เจ๋อซิ่วก็รีบเปลี่ยนจุดยืนของตน เร่งรีบภาวนาให้มู่ชิงเกอสามารถชนะขึ้นในใจ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version