ตอนที่ 149-5
โลกนี้เขาอาศัยหน้าตากินข้าวกัน
ขณะนั้นเอง เขาก็ไม่สนใจการประลองแห่งเกียรติยศ ระหว่างสาขาย่อยกับสาขาหลักอะไรนั้นอีก เขาที่สนใจก็มีเพียงกระเป๋าเงินของตน!
ในขณะเดียวกัน บนอัฒจันทร์ฝั่งสาขาย่อย จ้าวหนานชิงก็กำลังยิ้มขำพลางหันไปกล่าวกับเหมยจื่อจ้ง “ดูเอาเถิด ข้าก็รู้ว่าตอนที่เขาเอาเสี่ยวเฮยออกมา ก็จะก่อให้ เกิดผลลัพธ์เช่นไร”
เหมยจื่อจ้งก็ยิ้มขำอย่างหมดวาจาจะกล่าว
เขานั้นก็ไม่ได้คิดจะดูเบาเสี่ยวเฮย เพียงแต่ไม่อยากให้มู่ชิงเกอถูกคนรอบด้านหัวเราะเยาะและถากถางใส่
แต่ว่าตอนนี้ มู่ชิงเกอก็ได้เอาเสี่ยวเฮยออกมาแล้ว ถ้าหากอยู่ๆ ไปเปลี่ยนเอากะทันหัน ตอนนั้นก็คงจะดูน่าอายกว่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก
ดูท่า ก็คงจะทำได้เพียงฝืนกลํ้ากลืนเชิดหน้าเดินต่อไป เหมยจื่อจ้งทอดถอนใจขึ้นในใจ ในแววตาที่มองดูมู่ชิงเกอปรากฎแววห่วงใยขึ้นมาจางๆ
บนเวทีประลอง จิ่งเทียนก็ตะลึงกับหม้อหลอมที่มู่ชิงเกอเอาออกมายิ่งนัก เขาหัวเราะหยันขึ้น “ศิษย์น้องมู่ยากจนนักหรือ? แม้แต่หม้อหลอมที่มีสภาพดีกว่านี้ก็ยังไม่มีใช้? ให้ศิษย์พี่เอาให้เจ้ายืมสักหลายอันดีหรือไม่?”
เขามองไปยังเตาหล้อมของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ—–
หม้อทองแดงกลิ่นไอโบราณ ก่อแบบเอาไว้อย่างดงาม ลวดลายรูปภาพบนหม้อหลอมก็ดูลึกลับและน่าเกรงขาม หม้อหลอมเช่นนี้ถึงจะนับว่าเป็นหม้อหลอม พอ วางอยู่ตรงข้ามกันกับของของมู่ชิงเกอ ก็ชัดเจนว่าต่างกันราว ฟ้ากับเหว
“ขอบคุณในความหวังดีของศิษย์พี่จิ่งเทียน แต่ว่าหม้อหลอมใบนี้เป็นข้าที่ได้มันมาจากหอเก็บโอสถของโรงโอสถสาขาย่อย ข้าคิดว่ามันที่สามารถวางไว้ด้านในได้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่ของธรรมดา” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างสบายๆ
จิ่งเทียนแววตาไหววูบ ทำการกวาดมองไปยังเสี่ยวเฮย ตรงหน้าของมู่ชิงเกออีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะขำขึ้นมา “ก็เป็นของไม่ธรรมดาจริงๆ” น่าเกลียดจนไม่ธรรมดา
“ในหอเก็บโอสถของสาขาย่อยกลับมีหม้อหลอมเช่นนี้? หรือว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดเอาของทิ้งแล้วส่งไปให้กัน?” ตรงส่วนกลางของอัฒจันทร์ก็มีผู้อาวุโสกล่าวพูดคุยกันเสียงเบา
แต่ว่าตอนนี้ใครจะไปหาคำตอบให้พวกเขาได้กัน
ถึงตอนนั้นจะส่งผิดไปจริงๆ แต่ใครก็จะยอมรับกันเล่า?
หลี่เหรินมองไปยังเซี่ยเทียนอู๋ กล่าวหยอกเย้าว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยท่านก็รู้สึกจะมั่นใจในตัวมู่ชิงเกอมากไม่ใช่รึ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเอาหม้อหลอมเช่นนี้ออกมา จะยัง หลอมโอสถอะไรออกมาได้อีกหรือไม่ ”
เซี่ยเทียนอู๋ก็ไม่ได้โต้กลับ แต่เป็นจ้องมองไปยังเสี่ยวเฮย ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ บนเวทีประลอง ผู้อาวุโสคุมการประลองราวกับว่าจะทนดูเสี่ยวเฮยของมู่ชิงเกอต่อไปไม่ได้ ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “มู่ชิงเกอเพื่อความยุติธรรม ข้าผู้เฒ่าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ต้องการเปลี่ยนหม้อหลอมหรือไม่?” นี่ก็ถือว่าเป็นการผ่อนปรนอย่างหนึ่ง ซึ่งมันชวนให้แววตาของจิ่งเทียนปรากฏแววไม่พอใจขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาให้มากความ เพียงแต่รอคอยคำตอบของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มจางๆ ให้กับผู้อาวุโสผู้คุมการประลอง “ขอบคุณในความหวังดีของผู้อาวุโส แต่ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว”
พอเห็นนางยืนกราน ผู้คุมการประลองก็ไม่ได้กล่าวเกลี้ยกล่อมต่อไปอีก
มู่ชิงเกอก็เลียนแบบตามท่าทางของจิ่งเทียน หยิบลูกโลหะขึ้นมาก่อนจะง้างมันเปิดออก
และในลูกโลหะนั้นก็ซ่อนเม็ดตบะที่กำลังลุกโชติช่วงเอาไว้จริงๆ เปลวไฟด้านบนก็ลุกโชนไม่หยุด ส่วนอุณหภูมิก็ไม่ต่างจากไฟธรรมดามากเท่าใดนัก แต่ก็ยังดูคงที่และร้อนแรงกว่าส่วนหนึ่ง
‘นี่ก็คือเพลิงอสูรรึ?’ มู่ชิงเกอจ้องมองไปยังเพลิงอสูร แสงไฟสาดไปบนใบหน้างดงามของนาง ดูลึกลับยากหยั่งถึง
เพลิงอสูรก็ไม่ได้แดงเช่นเดียวกับไฟธรรมดาพวกนั้น แต่เป็นมีสีนํ้าเงินแซมอยู่จางๆ ด้านในของมัน มู่ชิงเกอก็ยังสัมผัสได้ว่ามีไอวิญญาณอยู่รางๆ ราวกับว่าไอวิญญาณนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เปลวไฟยังคงอยู่
ภาพเหม่อลอยตอนที่มู่ชิงเกอมองดูเพลิงอสูรก็อยู่ในสายตาของจิ่งเทียน แววตาเย้ยหยันในดวงตาของเขาก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น นักปรุงยาที่แม้แต่เพลิงอสูรก็ยังไม่เคยเจอมาก่อนในสายตาของเขาแล้วก็ไม่ได้มีอะไรต่างกับ พวกหมอชาวบ้านพวกนั้นแต่อย่างไร
ได้ประมือมือกับคนเช่นนี้ก็ช่างเป็นการลดเกียรติของตนเองเสียจริง
ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณเหมือนกันก็ตาม!
มู่ชิงเกอชักนำเพลิงอสูรที่แฝงอยู่ด้วยสีนํ้าเงินจางๆ เข้าไปในตัวเสี่ยวเฮย ชั่วขณะนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น โหมกระหนํ่าอยู่ที่ส่วนล่างของเสี่ยวเฮย
ระหว่างการเพิ่มความร้อนให้หม้อหลอมขั้นตอนนี้ ระหว่างนั้นก็สามารถจัดเตรียมตัววัตถุดิบรอไปพลางๆได้
ฝั่งตรงข้าม จิ่งเทียนก็ได้เริ่มต้นขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบไปก่อนหน้าแล้ว
เขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์ช่วย แต่เป็นใช้พลังเวทบดอัดตัววัตถุดิบออกเป็นเศษผง มู่ชิงเกอที่ใช้หางตาส่องมองไป ก็เห็นว่าพลังของเขามีสีนํ้าเงินจางๆ
‘พลังเวทสายนํ้าเงินขึ้นต้น! น่าจะเพิ่งเข้าสู่ขั้นนํ้าเงินได้ไม่นาน’ มู่ชิงเกอกล่าววิเคราะห์ขึ้นในใจ ในขณะเดียวกันนางเองก็ทอดถอนใจขึ้นมาในใจไม่ได้ พื้นฐานของแคว้นระดับหนึ่งก็ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่แคว้นระดับสามจะเปรียบได้เลยจริงๆ การจัดเตรียมผงวัตถุดิบของมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับจิ่งเทียน นางเพียงแค่ใช้มือกำเบาๆ หลังจากนั้นตัววัตถุดิบในมือก็จะกลายเป็นเศษผง ไม่ได้มีการใช้พลังเวทแม้แต่น้อย
ก็ราวกับว่านางกำลังใช้พลังกายของตนมาจัดเตรียมตัวยา
ตรงจุดนี้สี่ผู้อาวุโสที่ไปชมดูการประลองที่สาขาย่อยก็ได้เห็นมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด แต่กลับกันเป็นเหล่าผู้อาวุโสที่ไม่รู้จักกับมู่ชิงเกอพวกนั้นที่ชะงักไปกับวิธีการเตรียมวัตถุดิบของนาง เกิดความสนใจขึ้นมาไม่น้อย
“อาศัยพลังกายก็สามารถจัดเตรียมวัตถุดิบ การกะแรงสำหรับเด็กผู้นี้แล้วก็ดูจะคล่องมือไม่อ่อนด้อย”
บนเวทีประลอง มู่ชิงเกอกับจิ่งเทียนก็กำลังดำเนินการเตรียมผงยาไปพร้อมๆ กัน
ส่วนหม้อหลอมของพวกเขาแต่ละคนก็กำลังอยู่ภายใต้การเผาไหม้ของเพลิงอสูร ค่อยๆ เพิ่มระดับอุณหภูมิขึ้น ตอนที่มู่ชิงเกอจัดเตรียมวัตถุดิบตัวสุดท้ายเสร็จแล้ว ฝั่งจิ่งเทียนก็ยังเหลืออยู่อีกสี่ห้าชนิดที่ยังไม่ได้จัดเตรียม เขามองไปทางมู่ชิงเกอ แววตาฉายแววไม่ยินยอมขึ้นมา ชัดเจนว่าเป็นเขาที่เริ่มต้นเตรียมวัตถุดิบก่อน ทำไมมู่ชิงเกอกลับจัดการมันเสร็จเร็วกว่าเขากัน?
หรือว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าตนจริงๆ?
แววตาของจิ่งเทียนปรากฏแววชิงชังขึ้นมา
และในตอนนั้นมู่ชิงเกอก็ได้มายืนอยู่ด้านข้างเสี่ยวเฮย แล้ววางมืออังไปที่ขอบของหม้อหลอม สัมผัสถึงอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ของมัน ชั่วขณะนั้นนางก็ กล่าวเสียงกดตํ่าว่า “เสี่ยวเฮย เจ้าก็ต้องสู้เพื่อข้าด้วย หลอมโอสถให้ดีๆ ถ้าหากเจ้ากล้าทำให้ข้าเสียหน้า ข้าก็จะเอาเจ้าไปลงเตาหลอมแล้วหลอมขึ้นมาใหม่!”
คำกล่าวข่มขู่ก็ราวกับว่าจะได้ผล
มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนที่แล่นขึ้นมาจากตัวของเสี่ยวเฮย ไปจนขนาดมีแสงวาววับทอแสงวาบขึ้นมาสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ กล่าวเสียงกดต่ำ “สามารถฟังภาษาคนเข้าใจด้วยรึ? ดูท่าเจ้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยสิ!”
คำกล่าวนี้ก็ราวกับว่าจะเติมเต็มความภาคภูมิให้แก่เสี่ยวเฮย
ทันใดนั้นเอง บนตัวของเสี่ยวเฮยก็มีแสงสีทองสว่างจ้าขึ้นมา เส้นแสงอันบาดตาพุ่งออกมาจากร่างสีดำมะเมื่อม พุ่งออกไปยังทั้งสี่ทิศ วัตถุสีดำก็ค่อยๆ ลอกออกจากตัวหม้ออย่างต่อเนื่อง เผยให้เห็นสีแดงเข้มขึ้นมาผืนหนึ่ง ไม่เพียงแค่เท่านี้รูปลักษณ์ของหม้อหลอมก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากรูปลักษณ์บิดเบี้ยวกลายเป็นทรงสมมาตรขึ้น
มู่ชิงเกอมองไปด้วยความตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
พอนางเพิ่งจะก้าวถอยไป เปลงเพลิงอันร้อนแรงสายหนึ่งก็พลันทะลักออกมาจากเปลือกนอกของ ‘เสี่ยวเฮย’ ทำการโอบล้อมมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ ทะยานขึ้น
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หรือว่าหม้อหลอมจะรับความร้อนเอาไว้ไม่ไหว กำลังจะระเบิดแล้ว?”
เหล่าศิษย์ที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์ต่างพากันแสดงความคิดเห็นของตนกันออกมา
แต่ว่าฉากภาพนี้ พอตกอยู่ในสายตาของเหล่าผู้อาวุโสที่ตรงกลางของอัฒจันทร์กลับกลายเป็นทำให้พวกเขาตกตะลึงจนต้องลุกยืนขึ้นมา กล่าวร้องขึ้นเสียงหลง “หม้อผลาญสวรรค์!”