Skip to content

พลิกปฐพี 151-2

ตอนที่ 151-2

ทูตพิทักษ์ดอกไม้ ไว้ชีวิตคนใต้กระบอกปืน

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องมู่จะเข้าใจแผ่นดินหลินชวนถึงเพียงนี้ รู้ด้วยว่าเมืองเยว่เฉิงอยู่ใกล้กับหอหลอมศาสตรา” ซางจื่อซูเอ่ยชื่นชม

ถึงแม้ว่าตัวนางเองจะเคยดูบันทึกของหลินชวนมาบ้าง แต่สถานที่ห่างไกลออกไปนางเพียงแค่ดูผ่านๆ เท่านั้น ไม่ได้รู้ลึกรู้ละเอียดดังเช่นมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหัวเราะ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

ในเมื่อนางต้องมาทำธุระที่แคว้นหรง ย่อมต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นางได้เกิดใหม่อีกครั้ง ตอนที่อ่านหนังสือ เปิดอ่านมากที่สุดเห็นจะ เป็นบันทึกหลินชวน ทั้งนี้ก็เพื่อทำความเข้าใจว่าโลกนี้กับโลกเดิมที่นางจากมามีอะไรที่แตกต่างกัน

“ไปกันเถอะ พวกเราไปหาที่กินอะไรเสียหน่อย ค่อยเดินไปพักที่ไกลออกไปหน่อย” มู่ชิงเกอเอ่ยแสดงความเห็น

ซางจื่อซูพยักหน้ารับ

สองคนเดินเคียงไหล่กันไป เดินไปไม่ไกลนักก็เจอร้านอาหารแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่เตรียมต้อนรับแขก ก็มีสีหน้าอมทุกข์ทันทีมองไปยังเถ้าแก่

เถ้าแก่ร้านย่อมเข้าใจถึงความลำบากใจของเสี่ยวเอ้อ เขาเดินปรี่มาเอ่ยกับพวกมู่ชิงเกอด้วยความนอบน้อมว่า “นายท่านทั้งสองต้องการ…”

“พวกเราแค่ต้องการกินอาหาร สามคนนั้นคงไม่กลับมาเร็วขนาดนั้น” มู่ชิงเกอเอ่ยตัดบทออกมาตรงๆ

พอนางพูดเช่นนี้ เจ้าของร้านที่ตั้งใจจะไล่แขกก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ถอนหายใจ เถ้าแก่ทำได้เพียงสั่งเสี่ยวเอ้อ

“พานายท่านทั้งสองขึ้นไปห้องรับรองชั้นบน”

“ขอรับ เถ้าแก่” หลังจากได้รับการชี้แนะจากเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อที่นี่ก็กลับมาเป็นปกติ พามู่ชิงเกอและซางจื่อซูขึ้นไปบนห้องรับรองชั้นสอง

“นายท่านทั้งสองรับอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อเอ่ยถาม กำลังจะแนะนำเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน

มู่ชิงเกอกลับนำตำลึงทองวางบนโต๊ะ ขัดจังหวะคำพูดของเขา

เสี่ยวเอ้อร้านดวงตาเบิกโพลงจ้องมองก้อนตำลึงทองบนโต๊ะกลม อดที่จะกลืนนํ้าลายไม่ได้

“นำอาหารขึ้นชื่อมาสักสี่ห้าอย่างก็พอ” มู่ชิงเกอเอ่ย

เสี่ยวเอ้อยิ้มแหยๆ เอ่ยขึ้นว่า “อาหารสี่ห้าอย่างไม่ต้องให้เงินมากมายขนาดนี้ขอรับ”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เงินนี่ไม่ใช่ค่าอาหาร แต่ให้เจ้า”

“ให้ข้าหรือขอรับ?” เสี่ยวเอ้อมองมู่ชิงเกอด้วยความไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้าเพียงต้องการถามคำถามไม่กี่ข้อเท่านั้น”

เสี่ยวเอ้อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ต้านความปรารถนาในทองคำไม่ไหว กัดปากถามขึ้นว่า “นายท่านอยากรู้เรื่องอะไร หากเป็นเรื่องที่ข้ารู้ย่อมไม่ปิดบัง”

มู่ชิงเกอยกยิ้มขึ้น “คำถามของข้าง่ายมาก เจ้าเห็นศิษย์ของหอหลอมศาสตราที่มีเรื่องกับพวกข้าเมื่อครู่หรือไม่?”

เสี่ยวเอ้อหน้าแข็งค้าง แต่ก็พยักหน้ารับในที่สุด

“เจ้ารู้จักสามคนนั้นหรือไม่?” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอกดลึกขึ้น

แต่เสี่ยวเอ้อของร้านกลับรู้สึกขนลุก

“สามคนนี้เป็นใคร เหตุใดพวกเจ้าต้องหวาดกลัวด้วย?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามคำถามสุดท้าย เพียงแค่เสี่ยวเอ้อตอบออกมาก็เอาทองที่อยู่บนโต๊ะไปได้เลย

เสี่ยวเอ้อกลืนนํ้าลาย ก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “สามคนนั้น ต่างก็เป็นศิษย์ของหอหลอมศาสตรา สองคนข้างหลังไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนัก ผิดกับคนหน้าสุด เขาเป็นศิษย์รักของหนึ่งในผู้อาวุโสของหอหลอมศาสตรา ได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสท่านนั้นปกป้องเขาสุดๆ มีอุปนิสัยแปลกประหลาด วันปกติสนใจเพียงการตีอาวุธกับศิษย์รักผู้นั้น ทนมองเขาถูกรังแกสักนิดก็ไม่ได้” พูดไปพูดมา เหมือนว่าเสี่ยวเอ้อนึกถึงข้อมูลสำคัญได้ก็เลยเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านไม่รู้อะไร ครั้งก่อนติงเหม่าก็ไปถูกใจคุณหนูตระกูลเล็กๆคนหนึ่งเข้า ต้องการจะชิง ตัวไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียง แต่คุณหนูผู้นั้นเป็นพวกมุทะลุ สู้ตายอย่างไรก็ไม่ยินยอม ในขณะที่ดิ้นรนขัดขืนนั้นไม่ ระวังใช้ปิ่นปักผมที่อยู่ในมือข่วนหลังมือติงเหม่าเป็นแผล”

พูดๆ ไปสีหน้าของเสี่ยวเอ้อก็เปลี่ยนสี ความรู้สึกที่สะท้อนในดวงตาฉายความหวาดกลัว “อันที่จริงด้วยความสามารถของคุณหนูผู้นั้นทำให้ติงเหม่าบาดเจ็บไม่ ได้ ปิ่นนั้นก็แค่ทิ้งรอยแดงจางๆ บนหลังมือก็เท่านั้น แต่ว่าติงเหม่ากลับข่มเหงคุณหนูผู้นั้นจนถึงแก่ความตาย ยังไม่พอหลังจากที่เขากลับไปแล้วก็เอาแผลที่มือให้ท่านอาจารย์ที่หวงแหนปกป้องเขาดู ท่านอาวุโสผู้นั้นถึงขั้นออกมาจากหอหลอมศาสตรา ในคืนเดียวก็คร่าชีวิตคนในตระกูลของคุณหนูผู้นั้นกว่าร้อยคนจนสิ้น”

สีหน้าเสี่ยวเอ้อซีดขาวไร้ที่เปรียบ คล้ายกับว่ากำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น เอ่ยต่อด้วยนํ้าเสียงสั่นเครือว่า “ท่านทั้งสองไม่ได้เห็นที่เกิดเหตุ ในลานเต็มไปด้วยซากศพ เลือดไหลนองเต็มพื้น กลิ่นคาวเลือดนั้นคลุ้งไปทั่วทั้งถนน ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขายังแขวนศีรษะของผู้นำตระกูลนั้นไว้ที่หน้าประตู เตือนคนอื่นว่าใครก็อย่าได้มาหาเรื่องศิษย์ของเขา”

พูดสิ่งที่รู้จนหมดแล้ว ขาทั้งสองของเสี่ยวเอ้อก็อ่อนแรง จนเกือบยืนไม่อยู่

“คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!” ซางจื่อซูขมวดคิ้วน้อยๆ พลังเวทบนร่างเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน

มู่ชิงเกอ เห็นความโกรธที่แฝงอยู่ในแววตาเยือกเย็นของนางได้อย่างง่ายดาย

เสี่ยวเอ้อเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดบนหน้าผากออก เรียกสติก่อนจะเอ่ยแก่พวกเขาทั้งสองว่า “ข้าดูออกว่าพวกท่านมาจากที่อื่น กินอาหารเสร็จรีบจากไปเถอะขอรับ มิเช่น นั้นแล้วหากรอให้ติงเหม่ากลับมา กลัวว่าจะลำบาก” พูดจบก็คว้าทองคำบนโต๊ะออกไปอย่างรวดเร็ว

การกระทำนี้ทำเอาความโกรธจางๆ ในตาของซางจื่อซูหายไปเลยทีเดียว นางหัวเราะออกมาเบาๆ ละลายภูเขานํ้าแข็งลงจนทำเอาจิตใจผู้คนมอมเมา “ถูกทำให้ ตกใจจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ลืมที่จะหยิบทองคำไป”

มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ เอ่ยขึ้นว่า “ก็แค่นิสัยมนุษย์เท่านั้น”

รอยยิ้มบางๆ นั้น หว่างคิ้วซางจื่อซูมีความจริงจังขึ้น “หากเป็นเช่นที่เสี่ยวเอ้อกล่าว ดูท่าว่าพวกเราคงต้องเลี่ยงการปะทะกับศัตรูเสียแล้ว”

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้นว่า “พวกเราไม่หาเรื่อง แต่หากเรื่องมาหาแล้วก็คงไม่หลบ”

เห็นเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซางจื่อซูก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดให้มากความ

ความโหดเหี้ยมของศิษย์อาจารย์คู่นี้ ก็ทำให้นางโกรธขึ้นมาเหมือนกัน

อีกอย่างนางดูแล้วว่า อย่างมากก็แค่บอกชื่อของโรงโอสถออกไป โรงโอสถกับหอตีอาวุธชื่อเสียงพอๆ กัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าโรงโอสถอยู่หลายส่วน แต่ว่าที่นางไม่รู้ก็คือมู่ชิงเกอไม่คิดที่จะเปิดเผยฐานะของโรงโอสถแม้แต่น้อย อำนาจของแคว้นหรงที่มีต่อแคว้นอื่นๆ ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่บ้าง

ในแคว้นหรง นอกจากมีหอตีอาวุธแล้วยังมีสำนักหมื่นอสูรที่มีอสูรวิญญาณเป็นบริวาร ยังมีอาจารย์ทะลวงสวรรค์ซึ่งสามารถควบคุมอสูรวิญญาณให้สู้รบได้อีก ด้วย

นางในฐานะคนของโรงโอสถจู่ๆ มาปรากฏตัวที่แคว้นหรง หากสองขั้วอำนาจรู้เข้าแล้วสงสัยการมาของนาง นี่มิใช่เป็นการจัดการปัญหาเก่ายังไม่ได้ก็สร้างปัญหาใหม่หรอกหรือ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version