Skip to content

พลิกปฐพี 151-3

ตอนที่ 151-3

ทูตพิทักษ์ดอกไม้ ไว้ชีวิตคนใต้กระบอกปืน

อาหารของพวกเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานอาหารห้าอย่างนํ้าแกงหนึ่งอย่างก็เรียงเต็มโต๊ะ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้เป็นพวกราชาพุงโตพวกนั้น หลังจากกินอิ่ม อาหารรสเลิศที่อยู่บนโต๊ะก็คล้ายกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน

พอกินอิ่มทั้งสองก็จ่ายเงินแล้วจากไป

เสี่ยวเอ้อและเถ้าแก่แทบจะโค้งเอวถึงพื้นยืนส่งพวกเขาด้วยความนอบน้อม

จากนั้น พวกเขาก็เดินเล่นในเมืองต่ออีกหน่อยจากนั้น จึงหาโรงเตี๊ยมเข้าพักบนถนนอีกสายหนึ่ง

ห้องพักสองห้องใกล้กัน สะดวกต่อการดูแลซึ่งกันและกัน

มู่ชิงเกอนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง คำนวณระยะทางระหว่างเมืองเยว่เฉิงกับหอหลอมศาสตราเงียบๆ

ระหว่างเมืองเยว่เฉิงกับหอหลอมศาสตรามีป่าเหยียนกั้นกลาง ควรจะพูดว่าหอหลอมศาสตราอยู่ในป่าเหยียนถึงจะถูก ที่จริงแล้วจะเรียกป่าเหยียนว่าเป็นป่าก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามีเพียงด้านที่ติดกับอาณาจักรเซิ่งหยวนเท่านั้น ที่เป็นผืนป่าส่วนด้านที่เป็นของแคว้นหรงกลับเต็มไปด้วยก้อนกรวดสีแดง มีก้อนหินแปลกประหลาดมากมายกองเป็นพะเนิน

ดังนั้น ครึ่งหนึ่งของป่าเหยียนเป็นป่าไม้ อีกครึ่งหนึ่งเป็นป่าหิน หรือว่าสามารถเรียกได้ว่าทะเลทราย

ติงเหม่าผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ นอกจากเวลาในการรักษาแผลแล้วยังต้องกลับไปที่หอหลอมศาสตราเพื่อหาอาจารย์ที่ปกป้องเขา รวมเวลาไปกลับคาดว่ากว่าจะได้ มาหาเรื่องคงต้องรอหลังท้องฟ้าสว่าง

‘อย่างน้อยก็ให้ซางจื่อซูได้นอนหลับอย่างปลอดภัยคืนหนึ่ง’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจเบาๆ

หลังจากออกเดินทางจากโรงโอสถกลาง มู่ชิงเกอก็ใช้วิธีการพิเศษแจ้งมั่วหยางว่ารอหลังจากพักผ่อนแล้วสองวัน นางจะพาซางจื่อซูไปรวมตัวกับมั่วหยางแล้วให้พวกเขาไปรอนางที่ทะเลแห่งความอ้างว้าง ส่วนนางก็จะเข้าไปที่แม่นํ้าไร้พรมแดนเพียงลำพังเพื่อตามหาเบาะแสของพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน ซือมั่วบอกนางว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนอยู่ที่ใจกลางแม่นํ้าไร้พรมแดน ในจุดนั้นนางไม่เคยนึกสงสัยมาก่อน

เมื่อใดกันที่นางเริ่มเชื่อมั่นในตัวซือมั่วเช่นนี้? ทุกครั้งที่มู่ชิงเกอขบคิดปัญหานี้ก็จะมีอาการปวดหัวจนต้องขมวดคิ้วยุ่ง

เรื่องที่ซือมั่วให้นางพิจารณา นางไม่กล้าเผชิญหน้าได้ แต่ให้กู่หยาถ่ายทอดถ้อยคำว่าตนเองไม่มีความคิดด้านนั้น แต่ว่าชายผู้แข็งแกร่งผู้นั้นจะยอมถอยง่ายๆ จริงๆน่ะหรือ

คิดมาถึงตรงนี้ มู่ชิงเกอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ภายใต้จิตใจสับสนวุ่นวาย มู่ชิงเกอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนอนหลับลง

นางเดินมาข้างหน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างออกคล้ายต้องการให้สายลมยามคํ่าคืนพัดพาความเย็นทำให้นางสดชื่นขึ้นมาบ้าง

แต่ว่าหลังจากที่นางผลักหน้าต่างออกไป กลับเห็นร่างเงาแมวขโมยดำๆ ค่อยๆ เลาะตามกำแพงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โดยไม่คาดคิด

นัยน์ตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอฉายแววงุนงง พาร่างของตัวเองซ่อนอยู่ในเงามืด มองเงาดำเหล่านั้นโดยไม่ส่งเสียง……

“เบาเสียงหน่อย อย่าไปรบกวนผู้ใด!”

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ เอ่ยทักทายทางร้านแล้วไม่มีใครผ่านมาแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเขาพักที่นี่?”

“ไม่ผิดอย่างแน่นอน!

“ดีมาก! ข้าจะให้เจ้าหนุ่มนั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจ! ยังมีสาวน้อยผู้เยือกเย็นนั้นด้วย…” ในระหว่างที่พูด ก็มีเสียงหัวเราะแบบหยาบคายลอยแว่วมา

เสียงในการสนทนาของพวกเขาค่อนข้างเบา แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับไม่เปลืองเรี่ยวแรงที่จะฟังเรื่องราวไว้ในหู

‘ประเมินพวกเจ้าต่ำไปจริงๆ’ มู่ชิงเกอส่งเสียงหัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง แววตาที่มองพวกเขาเยือกเย็นดุจนํ้าแข็ง นางหลงคิดว่า ติงเหม่าเสียท่าในมือนางแล้วย่อม ต้องกลับไปที่หอหลอมศาสตราขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของเขา กลับไม่คิดว่าคนผู้นี้จะขวัญกล้าเทียมฟ้า สุดท้ายแล้วก็ย้อนกลับมา

‘ดูท่าว่าการสั่งสอนที่ให้ไปเมื่อกลางวันคงยังไม่พอ!’ มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นในใจ

ดูแล้วเงาดำเหล่านี้คงสืบข่าวมาเป็นอย่างดีแล้วจึงได้ลงมือ ในความมืดมิดพวกเขาคลำหาบานหน้าต่างของซางจื่อซูได้อย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด มีคนผู้หนึ่งล้วงเอา กระบอกออกมาจากในอกเสื้อ

ในขณะที่เขาเตรียมนำกระบอกไม้ไผ่จ่อเข้ากับรอยต่อของบานหน้าต่างนั้น กลับถูกติงเหม่ายับยั้งเอาไว้ ติงเหม่าเอ่ยถามเสียงทุ้มตํ่าว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าของสิ่งนี้ ได้ผล? ข้ามองว่าสองคนนี้เป็นผู้ฝึกพลังเวท ยาทั่วไปเกรงว่าจะไม่มีผลกับพวกเขา”

คนผู้นั้นเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ “ศิษย์พี่โปรดวางใจ ยาของข้านี้ร้ายกาจสุดๆ นอกเสียจากว่าสตรีที่อยู่ด้านในจะเป็นผู้ฝึกพลังขั้นม่วง นอกนั้นไม่ว่านางจะเป็นสตรีแข็งแกร่งราวภูเขานํ้าแข็งปานใด ก็จะตกอยู่ภายใต้อานุภาพของตัวยานี้กลายเป็นสตรีเร่าร้อน!” พูดจบ เขายังส่งเสียงหัวเราะด้วยความลามก การรับรองของเขาทำเอาดวงตาของติงเหม่าเป็นประกาย เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนอกร้อนใจว่า “ยังไม่รีบเป่าอีก!”

คนผู้นั้นนำกระบอกไม้ไผ่จ่อเข้ากับรอยต่อของบานหน้าต่างอีกครั้ง ขณะกำลังจะเป่ายาที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ออกไป ประตูห้องกลับถูกคนผู้หนึ่งถีบเข้ามาในทันใด ซางจื่อซูในชุดสีขาวดุจเทพธิดาใต้แสงจันทร่ยืนอยู่ข้างประตู ใบหน้าเคร่งขรึมจ้องมองพวกที่ประสงค์ร้ายต่อนาง

เมื่อพวกเขาเห็นนางรู้สึกตัวก็รีบลุกขึ้นยืนมอง ซางจื่อซูก็ไม่มีอาการร้อนรน

ติงเหม่าเดินออกมา ดึงผ้าคลุมบนใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าเจ้าชู้ของเขา บนมือข้างซ้ายของเขายังมีร่องรอยการพันผ้า ดูท่าว่าเขาคงหาโรงหมอพันไว้ลวกๆ รอบหนึ่งแล้วก็รีบกลับมาหาเรื่องต่อ ซางจื่อซูขบริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววขุ่นเคือง

เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่พวกนั้นเอ่ยขึ้นตรงด้านนอกหน้าต่างห้องนาง ถูกนางได้ยินเข้าถึงได้เกิดความโมโห

“สาวน้อยยังไม่เข้านอนอีกหรือ? รอข้าอยู่ใช่หรือไม่? เหตุใดเจ้าหนุ่มน้อยผู้นั้นของเจ้าถึงได้ปล่อยให้สาวงามเฝ้าห้องตามลำพังได้ลงคอ ไม่ใช่ว่ามีด้านไหนบกพร่องหรอกนะ?” พอติงเหม่าพูดจบ ลูกสมุนของเขาก็พากันหัวเราะครืน

“ตํ่าช้า!” ซางจื่อซูเอ่ยขึ้นมาสองพยางค์ด้วยนํ้าเสียงเยือกเย็นทิ่มแทงกระดูก

ติงเหม่ากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เอ่ยต่อว่า “เจ้าหนุ่มนั่นดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกชั้นวางดอกไม้ ไม่สู้คนสวยติดตามข้า ข้ารับรองเลยว่าทุกวันคืนเจ้าจะมีแต่ความ สุขราวอยู่บนสรวงสวรรค์ไม่กี่วันก็ลืมเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นได้”

“บังอาจ!” ซางจื่อซูไหนเลยจะเคยโดนยั่วเย้าเช่นนี้ก็พลันมีอารมณ์โกรธขึ้นมา ทั้งอับอายทั้งรำคาญใจ แทบอยากจะสังหารกลุ่มคนข้างหน้าเสียให้หมด!

ทันใดนั้นห้องข้างๆ ก็เปิดออก มู่ชิงเกอในชุดเรียบร้อยแบบเดียวกันก็เดินออกมา

นางในชุดสีแดงทั้งตัวปรากฏกายภายใต้แสงจันทร์ดูสวยงามเป็นพิเศษ

เมื่อซางจื่อซูเห็นนางก็คล้ายกับพบชิ้นส่วนสำคัญ แววตาฉายแววยินดี

“โอ๊ะ หนุ่มน้อยหน้าขาวก็ยังไม่นอนหรือนี่” เห็นมู่ชิงเกอเดินออกมา นํ้าเสียงของติงเหม่าก็เย็นขึ้นหลายส่วน ราวกับว่าการปรากฏตัวของมู่ชิงเกอจะทำให้บาดแผลที่มือของเขาทวีความเจ็บมากขึ้น ยํ้าเตือนความอัปยศที่เขาได้รับเมื่อตอนกลางวัน!

“พวกเจ้าชอบรนหาที่ตายกันจริงๆ” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา

สีหน้าติงเหม่าขรึมลง เอ่ยกับมู่ชิงเกอด้วยความรู้สึกเคียดแค้นที่อัดแน่น “เจ้าหนุ่มหน้าเหม็นเจ้าอย่าได้ลำพองใจไป! เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะวิ่งหนีได้อีกไหม? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ไว้ คืนนี้ข้าจะนอนกับผู้หญิงของเจ้า ต่อหน้าเจ้า! จากนั้นจะตัดเอ็นข้อเท้าข้อมือเจ้าแล้วโยนไปในซ่องนางโลม ให้พวกที่นิยมชายย่ำยีตามใจ!”

คำพูดชั่วร้ายนี้ทำเอาสีหน้าซางจือซูเยือกเย็นมากขึ้น แต่ว่าตอนที่นางได้ยินติงเหม่าบอกว่านางเป็นผู้หญิงของมู่ชิงเกอ ก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที

“ปากสกปรก!” ซางจื่อซูเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงเยือกเย็น

คำพูดของเขาคล้ายกับว่าไม่มีผลอะไรกับมู่ชิงเกอ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาพูดจบก็เอ่ยขึ้นนิ่งๆ ว่า “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหน?”

“ความมั่นใจมาจากไหน?” ติงเหม่ายิ้มอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น

ตอนนี้เองซางจื่อซูและมู่ชิงเกอถึงได้ค้นพบว่าในมือของเขาถือขวดกระเบื้องที่ดึงฝาจุกออกเอาไว้

หมอกควันสีนํ้าเงินค่อยๆ ลอยตัวขึ้น

ติงเหม่าหัวเราะดุดันน่ากลัว “รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร? ตอนมาพวกเรากินยาถอนพิษเอาไว้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรงแล้วใช่ไหม” พูดมาถึงตอนท้าย เขามีสีหน้าพึงพอใจอยู่หลายส่วน

มู่ชิงเกอกวาดตามองขวดกระเบื้องที่อยู่ในมือของเขา เงียบๆ เอ่ยขึ้นว่า “ควันเซ่อเซียง เมื่อสูดดมเข้าไปจะทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง พละกำลังสูญหาย โดยทั่วไปออกฤทธิ์ยาวนานถึงสามชั่วยาม แต่น่าเสียดายที่ควันเซ่อเซียงขวดนี้อย่างมากก็น่าจะมีผลเพียงครึ่งเดียว ยาพิษที่ด้อยประสิทธิภาพเช่นนี้เจ้ายังกล้านำออกมาใช้?”

หยิบยาพิษออกมาต่อกรกับคนจากโรงโอสถ ช่างเป็นหมูโง่งี่เง่าจริงๆ!

ควันเซ่อเซียงนั้นนอกจากจะใช้ไม่ได้ผลกับมู่ชิงเกอแล้ว ก็ใช้ไม่ได้ผลกับซางจื่อซูแม้แต่น้อย ศิษย์จากโรงโอสถเดินทางไปทั่วหล้า ใครบ้างจะไม่พกยาต้านพิษไว้บ้าง?

คำพูดของมู่ชิงเกอทำเอาติงเหม่าเจ็บใจ

ความรู้สึกไม่ดีกระทบขึ้นในใจ เขาไม่เชื่อตามที่มู่ชิงเกอกล่าว มองไปยังซางจื่อซูอย่างที่บอกควันเซ่อเซียงน่าจะออกฤทธิ์แล้วถึงจะถูก

แต่ไม่คิดว่า ซางจื่อซูยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่งไม่เปลี่ยน ใบหน้าเยือกเย็นราวนํ้าแข็ง

ใบหน้าของมู่ชิงเกอยังคงฉายแววดูหมิ่น ลูกสมุนของติงเหม่าล้อมอยู่ด้านซ้ายและขวาของเขา หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความกริ่งเกรงว่า “ศิษย์พี่ พวกเขาทายถูกว่าเป็นควันเซ่อเซียง ดูท่าว่าพิษนี้จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้!”

ติงเหม่าเกิดความอำมหิตขึ้นภายในใจ โยนขวดกระเบื้องในมือใส่มู่ชิงเกอ “ยาพิษใช้ไม่ได้ก็ลงมือ! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะเอาชนะพวกเราสี่คนไปได้! ”

ขวดกระเบื้องที่บรรจุควันเซ่อเซียงยังไม่ทันแตกใส่มู่ชิงเกอก็ระเบิดต่อหน้านาง หมอกควันสีนํ้าเงินพวยพุ่งออกมากระจายออกไปไร้ลักษณ์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version