ตอนที่ 151-4
ทูตพิทักษ์ดอกไม้ ไว้ชีวิตคนใต้กระบอกปืน
หลังจากขวดแตก การโจมตีของติงเหม่าก็มาถึง
กระบี่เรียวในมือของเขาก็พุ่งเข้ามาที่ตำแหน่งหัวใจของมู่ชิงเกอ
สามคนที่เหลือก็รีบเข้าไปชิงตัวซางจื่อซู
นัยน์ตาซางจื่อซูฉายแววดุดัน ปล่อยพลังสีเขียวออกมาจากร่าง
ส่วนสามคนนั้นก็ปล่อยพลังออกมาเช่นกัน ทั้งสามคนต่างอยู่ในระดับพลังสีเขียวขั้นกลาง ถึงแม้จะอยู่ระดับสีเขียวเหมือนกัน แต่ว่าซางจื่อซูต้องรับมือแบบหนึ่งต่อสามก็ค่อนข้างลำบากนัก
ส่วนติงเหม่าที่โจมตีใส่มู่ชิงเกอ ร่างเขาก็มีแสงสีครามเข้ม เห็นได้ชัดว่าเขาล่วงเข้าสู่สายครามขั้นสุดท้ายแล้ว คล้ายกับว่าเขามีความมั่นใจในการออกกระบี่นี้ของตัว
เอง มุมปากยกยิ้มเย็นชา
ตอนที่เห็นว่าคมกระบี่เรียวแหลมนั้นกำลังจะทิ่มแทงใส่หัวใจของมู่ชิงเกอ นางกลับไม่ขยับ ในสายตาของติงเหม่าดูเหมือนว่านางถูกการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรงของตนเองทำให้ตกใจจนแน่นิ่งไปอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ลงมือ ยกนิ้วมือขึ้นดีดเบาๆ บนกระบี่ของเขา ก็พลันทำเอากระบี่ทรงอานุภาพของเขาหักลง
เรี่ยวแรงมหาศาลนี้ส่งกลับไปที่กระบี่เรียว สะเทือนจนติงเหม่าข้อมือชา แขนข้างนั้นราวกับถูกฟันขาดเจ็บปวดเกินพรรณนา
เขาส่งเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมา ก่อนที่กระบี่จะร่วงลงบนพื้น ส่วนตัวเขาเองเซถอยหลังไปหลายก้าว
”ยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณขั้นสูง’’ มู่ชิงเกอเก็บมือ เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
เมื่อครู่ที่เพิ่งได้สัมผัสก็ทำให้นางได้รู้ระดับกระบี่ของติงเหม่า
ยุทธภัณฑ์แบ่งออกเป็น ยุทธภัณฑ์ขั้นสามัญ ยุทธภัณฑ์ขั้นจิตวิญญาณ ยุทธภัณฑ์ขั้นสมบัติและยุทธภัณฑ์ขั้นเทวะ แน่นอนว่าเหนือไปกว่านั้นยังมีระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีก เพียงแต่ว่าสำหรับที่นี่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเป็นระดับสูงสุด
ที่แผ่นดินนี้ ยุทธภัณฑ์ชั้นสามัญเยอะที่สุด รองลงมาเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ ส่วนยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ และยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะมีให้เห็นบ้างประปราย โดยทั่วไปแล้วอาวุธของศิษย์สามารถถึงระดับจิตวิญญาณได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มียุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณชั้นสูงไว้ในครอบครอง นอกจากคนของหอหลอมศาสตราแล้วก็เห็นจะมีเพียงองครักษ์เขี้ยวมังกรของนางเท่านั้น เหมิงเหมิงเคยบอกว่า นักหลอมศาสตราที่ไม่มีสายเลือดพิเศษ ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหนอย่างมากก็ทำออกมาได้เพียงยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ ดูจากอาวุธของติงเหม่าแล้ว มู่ชิงเกอมองได้สองประเด็น คือ
หนึ่ง คือ หอหลอมศาสตราร่ำรวยและหน้าใหญ่
สอง คืออาจารย์ของติงเหม่ารักและเอ็นดูเขาอย่างมาก!
กระบี่เรียวหลุดจากมือ ติงเหม่าสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่แขนขวา มือซ้ายล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ขว้างใส่มู่ชิงเกอ
ของสิ่งนั้นดูคล้ายกับลูกสัมฤทธิ์ทรงกลม หลังจากที่ถูกขว้างออกไปก็กระจายออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นเข็มเล่มเล็กๆ ดุจขนวัวนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอจากทุกทิศทุกทาง
นัยน์ตามู่ชิงเกอฉายแววนึกสนุกพาดผ่าน ยกมือขึ้นสะบัดคราหนึ่ง เข็มบินที่เล็กดุจขนวัวก็ย้อนกลับไปทันที ไม่เพียงแต่จะบินไปทางติงเหม่า ยังบินใส่อีกสามคนที่รุมล้อมซางจื่อซูด้วย
สามคนนี้เพียงแค่ต้องการกักตัวซางจื่อซูไม่คิดที่จะทำร้ายนาง ไม่เช่นนั้นซางจื่อซูคงไม่สามารถยืนหยัดถึงตอนนี้ได้
เข็มบินร่วงหล่นราวห่าฝน คนทั้งสี่เปลี่ยนสีหน้าในทันใด หลบหนีอย่างทุลักทุเล
ดูท่าว่าพวกเขาจะรู้ถึงอันตรายของเข็มบินพวกนี้ ซางจื่อซูฉวยโอกาสมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอมองหน้านางนิ่งๆ ก่อนเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่ใช้พิษ?”
ซางจื่อซูงงงวยกับคำถามของนาง มู่ชิงเกอเอ่ยต่อว่า “พิษก็เป็นหนึ่งในวิธีต่อสู้ของพวกเราเช่นกัน”
เพียงแค่ประโยคนี้ก็สามารถทำให้ซางจื่อซูเข้าใจได้ มู่ชิงเกอกลับไปจ้องดูเข็มบินที่หล่นอยู่บนพื้น เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่นี่จะมีคนที่สามารถสร้าง อาวุธลับได้ละเอียดถึงเพียงนี้”
สี่คนนั้นมีอยู่สองคนที่หลบไม่ทันโดนเข็มบินปักเข้าไป
เข็มบินที่เล็กดุจขนวัวเหล่านั้นแทงทะลุเกราะพลังของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เข้าไปในร่างของพวกเขา
จากนั้นก็เห็นว่าพวกเขาสองคนลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน ดูเหมือนว่าเข็มบินเล็กๆนั้นจะสร้างความเจ็บปวดทรมานให้พวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ไม่นึกเลยว่าอาวุธลับนี้จะมีอานุภาพถึงเพียงนี้?” ซางจื่อซูมองสองคนที่เอามือกุมหัวกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความแปลกใจ
ติงเหม่าคลานขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ไม่มองไปทางสองคนนั้นที่กลิ้งตัวอยู่บนพื้นเลยแม้แต่น้อย แววตาชั่วร้ายมองไปยังมู่ชิงเกอและซางจื่อซู เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงเยือกเย็นว่า “เข็มบินนี่เป็นผลงานชิ้นเอกที่อาจารย์ของข้าภาคภูมิใจ พอเข้าไปในเนื้อก็จะกระจายไปตามเส้นชีพจรของร่างกาย ทำลายชีพจรเข้าสู่สมอง ไม่คิดว่า พวกเจ้ากลับหลบได้!”
“ช่างอำมหิตนัก!” ซางจื่อซูได้ยินแล้วรู้สึกหนาวยะ เยือกขึ้นมา นางเองก็เป็นผู้ฝึกพลัง ย่อมรู้ถึงความเจ็บปวดของการที่ชีพจรถูกทำลาย
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกกลัวไปยิ่งกว่านั้นคือติงเหม่า ศิษย์น้องของเขาถูกอาวุธลับของเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เจ็บปวดทรมานขนาดนี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะยัง สามารถพูดออกมาได้โดยไม่มีแววเสียใจ
เหมือนว่าเขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บของศิษย์น้องตัวเองเอาเสียเลย เพียงแค่เสียดายที่มู่ชิงเกอไม่ได้รับบาดเจ็บ
“พวกเขาทรมานมาก” ซางจื่อซูขมวดคิ้วขณะเอ่ยขึ้น นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดต้องพูดประโยคนี้ออกมา
แต่ว่าหลังจากที่นางพูดประโยคนี้จบ ติงเหม่ากลับยิ้มเยาะขึ้นมา “คนสวยสงสารหรือ? เช่นนั้นข้าจะช่วยยุติความทรมานให้พวกเขาเอง”
ว่าแล้วเขาก็ปล่อยลำแสงสีครามสองสายออกมาจากฝ่ามือ แทงเข้าสู่หัวใจของพวกเขาสองคนที่อยู่ที่พื้น พรากชีวิตพวกเขาไปในพริบตา
ภาพเหตุการณ์นี้เลือดเย็นเป็นที่สุด ทำเอาสีหน้าของซางจื่อซูเปลี่ยนสีเลยทีเดียว สายตาที่มองไปยังติงเหม่าเต็มไปด้วยความระมัดระวังภัย
ส่วนคนที่อยู่ข้างกายติงเหม่าผู้นั้นคล้ายกับว่าชินเสียแล้ว ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับต่อการกระทำของติงเหม่าเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ความหวาดกลัวก็ไม่เผยออก มาให้เห็น
“อาวุธลับเช่นนี้ยังมีอีกมากมาย เจ้าสามารถหลบได้ครั้งหนึ่ง หรือคิดว่าตนเองจะสามารถหลบได้อีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม?” ติงเหม่ายิ้มเยาะ ล้วงเอาลูกสัมฤทธิ์ออกมาจากอกเสื้ออีกหนึ่งลูก
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ คล้ายกับกำลังเย้ยหยันในความ ไม่รู้ความ ของเขา
นางพลิกฝ่ามือปรากฏของออกมาหนึ่งอย่าง รูปร่างแปลกประหลาดพิกลดูไม่ออกถึงความเฉียบคม ของสิ่งนี้สำหรับพวกติงเหม่าแล้วเป็นของแปลกตา แต่ สำหรับมู่ชิงเกอแล้วคุ้นเคยอย่างไร้ที่เปรียบ ของชิ้นนี้เป็นปืนพกที่ตีขึ้นและผ่านการดัดแปลงตามหลักการของรังเพลิงจากความคิดของนาง
ลูกกระสุนภายในก็มาจากพลังการเปลี่ยนแปลงของแกนสัตว์อสูร มู่ชิงเกอถือไว้ในมือ รูดำของปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ติงเหม่า นิ้วมือเหนี่ยวไกพร้อมยิง
ซางจื่อซูเบิกตากว้าง มองดูการกระทำของมู่ชิงเกอโดยไม่มีทางเข้าใจได้เลย
ติงเหม่าและศิษย์น้องผู้นั้นของเขาขมวดคิ้วไปกันใหญ่ ไม่รู้ว่าของเล่นในมือของมู่ชิงเกอคืออะไร
“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีโอกาสได้ขว้างอาวุธลับในมืออีกหรือไม่” มู่ชิงเกอแกว่งปืนในมือ มุมปากเอ่ยขึ้นอย่างอันตราย
สายตาติงเหม่าดุดัน “เจ้ากล้าดูถูกข้า!” เขาถูกมู่ชิงเกอยั่วโมโห เลยหลงลืมไปว่าตั้งแต่ต้นจนจบมู่ชิงเกอยังไม่ได้แสดงพลังของตัวเองออกมาเลย
ติงเหม่ายกมือขึ้นเตรียมจะขว้างลูกสัมฤทธิ์ออกไป
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทำเอาซางจื่อซูตกใจ พวกติงเหม่าก็ตรึงอยู่กับที่
ติงเหม่ารู้สึกเพียงแค่เจ็บปวดที่ข้อมือตัวเอง ถือลูกสัมฤทธิ์ไว้ไม่อยู่ปล่อยให้มันกลิ้งหล่นลงบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองถึงพบว่าบนข้อมือตัวเองนั้นมีรูเลือดขนาดเท่านิ้วมือ เลือดในร่างกายของเขาไหลทะลักออกมาจากรูเลือดนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน!’ ในใจติงเหม่าตื่นตระหนกไร้ที่เปรียบ
คนข้างๆ เขาก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นกัน เพราะว่าเขาเห็นเพียงแค่วัตถุประหลาดนั้นขยับเพียงนิดเดียว พร้อมกับเสียงดังครั้งหนึ่ง จากนั้นศิษย์พี่ของตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บ
ความเร็วระดับนี้ ทำเอาเขาหน้าถอดสี เขาคิดว่าถ้าหากรูเลือดนี้ไม่ได้อยู่บนข้อมือของศิษย์พี่ แต่อยู่ที่หัวใจ เกรงว่าเขาในตอนนี้คงกลายเป็นศพที่เย็นซีด
“เจ้า! ที่แท้มันคืออะไรกันแน่!” ติงเหม่ากุมมือที่เลือดไหลไม่หยุด เอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
มู่ชิงเกอถือปืนเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ ทีละก้าว เอ่ยขึ้นท่าทางเย็นชา “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะตัดเส้นเอ็นมือเท้าข้าทิ้ง?”
ติงเหม่าสูดลมเย็นหนึ่งเฮือก เม้มปากแน่นไม่กล้าเอ่ยปาก
วัตถุประหลาดในมือของอีกฝ่ายเพียงพอที่จะทำให้เขาปิดปากเงียบ เขาไม่อยากให้รูเลือดต่อไปปรากฏในปากของเขา
ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี!
ทันใดนั้น สองขาของติงเหม่าก็พับงอคุกเข่าลงบนพื้น ผู้ที่อยู่ด้านหลังเขาเห็นเขาทำเช่นนั้นก็เรียนรู้ที่จะคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
“ข้ามีตาแต่ไม่รู้จักภูเขาไท่ซาน ปล่อยข้าไปสักครั้ง! คุณชาย ข้ารับปากต่อไปภายภาคหน้าจะไม่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าท่านอีก ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถิด!” ติงเหม่าเอ่ยขอร้อง
เขาไม่อยากตายและตายไม่ได้
ขอเพียงพ้นคืนนี้ไปได้ เขาก็มีวิธีแก้แค้น!
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อที่เจ้าพูดหรือ?” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างนึกขัน ปืนในมือเล็งไปทางติงเหม่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นนางเล็งไปที่ ตำแหน่งหัวใจ ถูกปืนเล็งเช่นนี้ในใจของติงเหม่าบีบรัดแน่น ความเย็นสะท้านไปทั้งร่างกาย
ทันใดนั้นระหว่างขาของเขาก็เปียกเป็นวงกว้าง กลิ่นปัสสาวะลอยไปในอากาศช้าๆ ซางจื่อซูเห็นแล้วขมวดคิ้ว เบี่ยงกายหันไปอีกด้าน
แต่ติงเหม่ากลับไม่รู้สึกตัว เอ่ยขอร้องมู่ชิงเกอริมฝีปากสั่นระริก “ข้า…ข้าไม่มีวันหลอกท่าน…ขอร้อง…ท่านเชื่อข้าสักครั้ง…หากข้าหลอกท่าน ยังมาสร้างความลำบากให้พวกท่าน ท่านก็ใช้ของสิ่งนั้นระเบิดหัวข้าได้เลย!”
เขาพูดออกมาอย่างแน่วแน่ น้ำเสียงซื่อตรง
“แต่ว่าเจ้ามารบกวนการนอนของข้า” มู่ชิงเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายลังเลอยู่บ้าง
ติงเหม่ารีบหยิบกระบี่เรียวที่ตกอยู่ข้างตัวแทงใส่ตัวเองอีกหลายที รูเลือดบนร่างกายมีเลือดไหลออกมาในทันใด อาบย้อมชุดดำของเขา
บาดแผลบนร่างกายของเขามากมาย หากรักษาไม่ทันเวลา ช้าเร็วก็ต้องตายเพราะเสียเลือด แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอก็ไม่กล้าที่จะใช้พลังห้ามเลือด
เพียงไม่นาน ติงเหม่าก็กลายเป็นมนุษย์เลือด กลิ่นคาวเลือดกระจายไปในอากาศพาให้ซางจื่อซูขมวดคิ้ว
“พอ…พอหรือยัง…” ติงเหม่าเงยหน้าขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอด้วยท่าทางน่าสงสาร
มู่ชิงเกอมองเขาอยู่นาน ก่อนจะแค่นยิ้ม ใช้ปลายกระบอกปืนไว้ที่หน้าผากของเขา เอ่ยขึ้นนิ่งๆ ว่า “จำคำที่เจ้าพูดไว้ให้ดี ถ้าหากยังมีครั้งหน้าอีก เจ้าก็จะกลายเป็นศพไร้หัว แน่นอนว่าก่อนที่เจ้าจะตายข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของการตระบัดสัตย์ ไสหัวไป”
มู่ชิงเกอดึงปืนกลับ พวกติงเหม่าประคองกันและกันเดินจากไปด้วยความกลัวจนฉี่ราด
“เดี๋ยวก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นทันใด ทำเอาสองคนนั้นตกใจจนตัวเกร็ง
มู่ชิงเกอชี้นิ้วไปยังสองศพที่นอนอยู่ที่พื้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาพวกเขาออกไปด้วย อย่ามาเปรอะเปื้อนสถานที่ ที่ข้าอยู่”
ติงเหม่ากับอีกคนหนึ่งรีบลากศพบนพื้นจากโรงเตี๊ยมไป ตั้งแต่ต้นจนจบในโรงเตี๊ยมไม่มีผู้ใดปรากฏตัวสักคน ก็ไม่รู้ว่าติงเหม่าใช้วิธีการไหนทำให้พวกเขากลัว หรือใช้ยาสะกดให้พวกเขาอยู่ในภวังค์ แต่ตอนนี้ก็ถือว่าลดเรื่องยุ่งให้กับมู่ชิงเกอ หลังจากที่พวกติงเหม่าจากไป ซางจื่อซูก็เดินมาหยุดลงข้างกายมู่ชิงเกอ ก้มหน้ามองปืนที่อยู่ในมือของมู่ชิงเกอ แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากความ เพียงพูดขึ้นว่า “คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของติงเหม่าเชื่อไม่ได้ แต่ว่าหากนางสังหารติงเหม่าย่อมชักนำมาซึ่งอาจารย์ที่ปกป้องเขาผู้นั้น เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องราวก็จะยิ่งร้ายแรงขึ้น ถึงขั้นส่งผลกระทบกับแผนการของนาง
มู่ชิงเกอเป็นผู้ที่มีเป้าหมายแน่วแน่ เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วก็จะทุ่มเทหาวิธีทำให้สำเร็จลุล่วง
ครั้งนี้เป้าหมายของนางคือพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน ดังนั้นเรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญ ที่ปล่อยติงเหม่าไปไม่ใช่เพราะเชื่อว่าเขาจะไม่กลับมาสร้างความวุ่นวาย แต่เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ติงเหม่าไม่มีสมองคิด นางก็ได้แต่หวังว่าในหอหลอมศาสตราจะมีคนมีสมองคิดยับยั้งการกระทำโง่เง่าของติงเหม่าอยู่บ้าง
มู่ชิงเกอตัดสินได้เลยว่าติงเหม่าจะนำแผลบนร่างกลับไปที่หอหลอมศาสตรา เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ของเขาฟัง จากคำพูดของติงเหม่า อาจารย์ของเขาน่าจะรู้ว่านางไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
แต่ว่าหากเขายังคงดื้อดึงไม่ยอมรู้ผิด เช่นนั้นนางก็ไม่ถือ ที่จะต้องสู้กับหอหลอมศาสตราสักตั้ง
นัยน์ตามู่ชิงเกอเยือกเย็น
“ศิษย์น้อง มิสู้พวกเราจากไปเสียตั้งแต่คืนนี้” หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งซางจื่อซูก็เอ่ยเสนอความเห็นกับมู่ชิงเกอ
จากไปตอนกลางคืน? นี่ก็เป็นวิธีหลบเลี่ยงเรื่องราววิธีหนึ่ง มู่ชิงเกอคำนวณเวลาที่นัดกับมั่วหยางในใจ ก่อนจะเอ่ยกับซางจื่อซูว่า “คืนนี้พักผ่อนก่อน เรื่องทั้งหมดไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”