ตอนที่ 152-1
ถูกความโง่ของตัวเองทำให้ร้องไห้ โชคมาแล้ว!
วันถัดมา
ตอนที่มู่ชิงเกอเดินออกมาจากประตูห้อง ซางจื่อซูก็ยืนรออยู่ด้านนอกได้ครู่หนึ่งแล้ว
“ศิษย์พี่ซาง?” พอเห็นซางจื่อซู มู่ชิงเกอก็อดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ซางจื่อซูขยับหันมามองมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น “อาหารเช้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ศิษย์น้องไปทานด้วยกันเถอะ”
“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า
เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจอยู่บ้างว่าเหตุใดซางจื่อซูจึงมารอนางอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เช้าขนาดนี้ หรือว่าจะแค่เพียงเพื่อชวนนางไปทานอาหารเช้าเท่านั้น?
ตามซางจื่อซูไปกลางห้องของนาง มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปในห้องก็มองเห็นบนโต๊ะมีอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่างกับโจ๊กง่ายๆ ถ้วยเล็กจัดวางไว้อยู่ ในช่วงเช้ามู่ชิงเกอชอบทานอาหารเบาๆ นี่ถือว่าเข้ากับรสนิยมของนาง
ทั้งสองคนทานไป ไม่พูดไม่จา ถึงตอนที่มู่ชิงเกอวางถ้วยและตะเกียบลง ซางจื่อซูถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถอะ”
“ศิษย์พี่พักผ่อนดีหรือยัง?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม คิดครู่หนึ่งแล้วก็พูดเพิ่มเติมว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจคนเหล่านั้น มีข้าอยู่ ท่านจะไม่เป็นอะไร”
‘มีข้าอยู่ ท่านจะไม่เป็นอะไร’ แค่คำธรรมดากลับทำให้หัวใจของซางจื่อซูรู้สึกอบอุ่นขึ้น มู่ชิงเกอที่ดูแลนางตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทำให้หัวใจอันสงบนิ่งของนางเหมือนดั่งทะเลสาบถูกหินก้อนเล็กๆ ตกลงไปจนเกิดเป็นระลอกคลื่น
นางหลุบตาลงต่ำ ขนตายาวหนาบดบังอารมณ์ภายในสายตา ใต้เปลือกตาเกิดเป็นเงาบาง ๆสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอไม่ได้สังเกตเห็นถึงอะไรที่แปลกไป เห็นเพียงนางนิ่งเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง
“ศิษย์พี่ซาง”
ซางจื่อซูเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาฉายแววสับสนวุ่นวาย แต่แล้วก็กลับเป็นสงบลงอีกครั้ง มองไม่เห็นร่องรอยใดๆ นางขบริมฝีปากเบา ๆ แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “อยู่ต่อก็รังแต่จะเพิ่มปัญหา พวกเราออกไปข้างนอกสามารถหลบเลี่ยงได้ก็หลบเลี่ยงจะดีกว่า ออกจากเมืองเยว่เฉิงก็ยังมีเมืองอื่นที่สามารถพักผ่อนได้อีก เหตุใดจึงยังต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเล่า?”
น้อยมากที่ซางจื่อซูจะพูดยาวขนาดนี้ ตอนนี้พูดออกมามากขนาดนี้แล้ว เพียงพอที่จะสื่อให้เห็นถึงความคิดของนาง
พอเห็นว่านางได้ตัดสินใจแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ขืนต่ออีก นางพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเราก็ไปกัน”
หลังจากที่มู่ชิงเกอและซางจื่อซูจากไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีกลุ่มคนท่าทางดุดันมุ่งร้ายบุกเข้ามาในกลางโรงเตี้ยม
คนที่อยู่ในกลุ่มนั้นมีติงเหม่าที่ย้อนกลับมาด้วย
เขาในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยบาดแผล สีหน้าดูบึ้งตึง ดวงตาฉายแววอำมหิต รอบกายแผ่บรรยากาศของความโกรธแค้นออกมา ชวนให้คนรอบข้างไม่กล้าเข้าใกล้
มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่สนใจท่าทางของติงเหม่า ยืนอยู่ข้างกายของเขา
“คือที่นี่?” เขามองไปรอบๆ เรือนเล็ก แล้วเอ่ยถาม
คนผู้นี้มีความสูงปานกลาง หน้าตาดูธรรมดา สิ่งที่ทำให้คนจดจำได้ขึ้นใจก็เป็นดวงตาที่เล็กเหมือนกับถั่วเขียวคู่นั้นของเขา ที่แลดูชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเขาเอ่ยปาก ท่าทางที่ดูดุร้ายของติงเหม่าก็อ่อนลงไปหลายส่วน ก้มศีรษะลงรายงานด้วยเสียงอันเบาว่า “ขอรับท่านอาจารย์’
จินกุ้ยหรี่ตาแคบลงแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีคนแล้ว”
“อะไรกัน! พวกเขาหายไปแล้ว!” ติงเหม่าเบิกดวงตากว้าง นัยน์ตาฉายแววโกรธแค้นพุ่งออกมา กัดฟัดกรอด
จินกุ้ยยิ้มเยาะออกมา “ทำร้ายลูกศิษย์ของข้าแล้วคิดจะหนีไปอย่างนั้นหรือ? ในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ง่ายดายถึงขนาดนั้น”
เมื่อได้ยินถึงความหมายในคำพูดของอาจารย์แล้ว ติงเหม่าก็เผยท่าทางถูกคนรังแกออกมา พร้อมกับเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ขอท่านอาจารย์ให้ความยุติธรรมแก่ศิษย์ด้วย หากไม่ใช่เพราะว่าความฉลาดของศิษย์ในคืนเมื่อวาน กลัวว่าคงไม่อาจได้พบหน้าท่านอาจารย์อีกแล้ว”
คำพูดของติงเหม่าทำเอาใบหน้าสีเหลืองของจินกุ้ยเต็มไปด้วยความเยียบเย็นอำมหิต
เขาสบถอย่างเย็นชาออกมาคำหนึ่ง รับประกันกับลูกศิษย์ว่า “วางใจเถอะ อาจารย์จะไม่ปล่อยคนชั่วผู้นั้นไปอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์’ ติงเหม่าเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่วางใจว่า “แต่ว่าพวกเขาหนีไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะหวาดกลัวในชื่อ
เสียงของท่านอาจารย์ จึงหนีออกจากเมืองเยว่เฉิงไปตอนกลางคืน”
“วางใจเถอะ หนีไปไหนไม่ได้หรอก” นัยน์ตาของจินกุ้ย ดุจดังมีดที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิต
อาศัยอิทธิพลของหอหลอมศาสตราในแคว้นหรง เขาไม่คิดว่าจะทำให้เด็กสารเลวสองคนนั้นหนีไปไหนได้!
ทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็ฉายแวววาววาบ มองติงเหม่าแล้วเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าบนร่างของเขามีของแปลกประหลาดอยู่ด้วย แค่เพียงมีเสียงก็สามารถทำให้คน บาดเจ็บได้อย่างนั้นหรือ?”
ติงเหม่าพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังชูข้อมือที่บาดเจ็บของตนขึ้นมาให้อาจารย์ดู “ใช่แล้ว ศิษย์ยังมองไม่เห็น ก็ได้รับบาดเจ็บแล้วบาดแผลนี้ท่านอาจารย์ก็เคยตรวจสอบ”
จินกุ้ยพยักหน้า เอ่ยออกมาอย่างมีความหมายบางอย่าง “หากในร่างของเขามีของวิเศษเช่นนั้นอยู่จริง ๆก็ไม่เสียแรงที่ให้ข้าออกมาในรอบนี้แล้ว”
“เช่นนั้นตอนนี้ท่านอาจารย์จะให้พวกข้าทำอย่างไร?” ติงเหม่าเข้าไปถามใกล้ ๆ
ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นของจินกุ้ยหรี่แคบลง ฉายแววอำมหิตวาววาบออกมา เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างเยียบเย็น “กลับไปก่อน ค่อยส่งคนออกมาสืบหา ข่าวคราวของพวกเขา อีกไม่กี่วัน ภายในหอจะมีภารกิจออกไปข้างนอกพอดี หลังจากหาพวกเขาเจอแล้วค่อยจัดการ”
ติงเหม่าได้ยินแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย แม้แต่เสียงก็สูงขึ้น “ขอรับ! ท่านอาจารย์” กลุ่มคนพวกนี้มาดุจดั่งพายุจนทำให้คนทั้งโรงเตี๊ยมตื่นตกใจจนต้องก้มศีรษะซ่อนใบหน้า ผ่านไปครู่เดียว ก็จากไปแล้ว ทำให้หลงจู๊โรงเตี๊ยมรู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมากแต่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพียงแต่ยังไม่รอถึงเขาถอนหายใจเสร็จ ก็มีคนย้อนกลับมา บีบบังคับถามเขาถึงร่องรอยของลูกค้าสองคนอย่างมาดร้าย
เมื่อบอกอีกฝ่ายไปว่าสองคนนั้นคืนห้องและจากไปแล้ว ทั้งยังชดใช้ค่าเสียหายที่ร้านถูกพัง คนชั่วถึงได้จากไป
รอจนเรื่องทั้งหมดนี้สรุปลงได้ หลงจู๊โรงเตี๊ยมก็นั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ในใจท้อแท้กับโชคชะตาของตนเอง ร้องไห้อย่างไร้เสียง รอจนภรรยาและลูกหาเจอ เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ เมืองเยว่เฉิงแห่งนี้อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเราเก็บของกลับบ้านเดิมกันเถอะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเยว่เฉิง มู่ชิงเกอกับซางจื่อซูก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาคาดเดาได้ว่าติงเหม่าจะต้องไม่ยอมและต้องย้อนกลับมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะการจากไปของพวกเขา จะทำให้หลงจู๊โรงเตี๊ยมต้องรับความ โกรธแค้นโมโหแทนด้วย
ยิ่งคิดไม่ถึงว่า ติงเหม่าจะไม่ยอมตายใจ เริ่มสืบหาร่องรอยของพวกเขา
หลังจากออกมาจากเมืองเยว่เฉิง มู่ชิงเกอก็นำซางจื่อซู เดินทางทั้งวัน จนถึงอีกเมืองหนึ่ง ที่นี่เป็นสถานที่ที่นัดพบกันไว้กับมั่วหยาง
และก็พูดได้ว่า หลังจากรอจนมั่วหยางมาแล้ว นางก็จะมอบซางจื่อซูให้เขาดูแล ส่วนนางก็จะเดินทางไปที่แม่นํ้าไร้พรมแดน
เวลาที่นัดกันไว้กับมั่วหยางยังเหลืออีกหนึ่งวัน ดังนั้น พวกนางต้องพักอยู่ในเมืองอีกสองวัน
เมื่อหาโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างสะอาดตาเพื่อพักผ่อนได้แล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดคุยเรื่องแผนการที่จัดวางไว้กับซางจื่อซู
“ศิษย์พี่ซาง ต่อจากนี้ข้าต้องไปสถานที่แห่งหนึ่ง ไม่สะดวกที่จะนำคนไปด้วย เมื่อพรุ่งนี้มาถึง รอพวกเขามาแล้ว ท่านก็จากไปกับพวกเขาก่อน รอข้าจัดการธุระ
เสร็จแล้ว ค่อยไปหาพวกท่าน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินว่ามู่ชิงเกอจะแยกเดินทาง ในใจของซางจื่อซูก็แอบหดหู่ลง
แต่ว่า นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เพียงแค่พยักหน้าอย่างเงียบเชียบ ยอมรับการจัดการของมู่ชิงเกอ
วันทั้งวันนี้ไม่มีใครมารบกวนพวกนางอีก วันที่สองเมื่อยามอู่ผ่านไป มั่วหยางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกนาง นอกจากนี้เขายังนำองครักษ์เขี้ยวมังกรสี่คนมาด้วย
หลังจากมอบซางจื่อซูให้มั่วหยางแล้ว มู่ชิงเกอก็ไปส่งพวกเขาจากไปด้วยตนเอง จากนั้นถึงได้ใปอีกเส้นทาง เพื่อไปที่แม่น้ำไร้พรมแดน
ที่นางไม่รู้ก็คือหลังจากที่นางจากไปเพียงไม่นาน ศิษย์ของหอหลอมศาสตราก็ไล่ตามมาถึงกลางโรงเตี๊ยมที่นางเคยพัก แต่น่าเสียดายที่ยังคงพบกับความว่างเปล่า
ที่นางยิ่งไม่รู้อีกก็คือ เป็นเพราะนางไม่ได้ถูกศิษย์ของหอหลอมศาสตราพบเจอ โรงเตี๊ยมที่นางเคยพักจึงถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน