ตอนที่ 153-3
ไข่สองใบ! ก็เอาไปให้หมดเถอะ!
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอเคร่งเครียดลงไป เหมิงเหมิงก็รีบเอ่ยว่า “เจ้านายไม่ต้องร้อนใจ อาศัยพรสวรรค์ของเจ้านาย ต้องกลายเป็นนักหลอมระดับเทวะได้แน่ๆ สู้ๆ!” พูด พลาง ยังทำท่าจะเอามือมาลูบหัวมู่ชิงเกออีก
มู่ชิงเกอหน้ากระตุกทันที ก่อนจะปัดมือนางออก “รู้สึกคันตัวหรือไร?”
เมื่อเห็นนางเลิกคิ้วขึ้นสูง เหมิงเหมิงก็เกร็งตัวแน่นก่อนจะเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้านาย ท่านไม่ลองดูที่อื่นบ้างหรือ!”
“ที่อื่น?” มู่ชิงเกอถามด้วยความงุนงง
เหมิงเหมิงพยักหน้าหนักแน่น “ขอแค่ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ กระจกเทพส่องนี้ก็จะให้เห็นในสิ่งที่ท่านอยากเห็น ไม่จำกัดระยะทาง!”
“เยี่ยมขนาดนี้!” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแปลกใจ
ถึงแม้นางจะยังแคลงใจกับคำพูดของเหมิงเหมิง แต่เมื่อนางเปลี่ยนความคิดในหัว คิดถึงจวนตระกูลมู่ในแคว้นฉิน
เพียงครู่เดียว กระจกส่องเทพก็ส่องเป็นประกาย ก่อนจะเปลี่ยนภาพเป็นภาพในจวนตระกูลมู่
มู่ซงยังคงจัดดอกไม้ตัดหญ้า สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ ส่วนด้านหลังเขาก็เหมือนมีเงาร่างที่มู่ชิงเกอคุ้นเคย
เมื่อมองใกล้ๆ มู่ชิงเกอก็กะพริบตา
เป็นโหลวชวนป่ายเองหรือ!
ก่อนเดินทางออกจากเมืองมู่ จ้าวหนานซิงเคยบอกไว้ว่า
โหลวชวนป่ายอาจจะไปที่จวนตระกูลมู่ของแคว้นฉิน คิดไม่ถึงว่า ผู้เฒ่าผู้นี้จะไปจริงๆ
ดูท่าทางผู้เฒ่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ดีเสียด้วย
มู่ชิงเกออดจะยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ท่านปู่มู่ซงก็มาถึงขั้นพลังลีม่วงแล้ว ส่วนโหลวชวนป่ายก็เป็นนักปรุงโอสถขั้นสูง สองคนอยู่ด้วยกัน ในแคว้นระดับสามไม่มีทางมีใครทำอะไรเขาได้ นางอยู่ข้างนอกก็พอวางใจได้
ภาพในจวนตระกูลมู่ ทำให้มูชิงเกอสบายใจลงไปได้ นางนึกถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ในอาณาจักรเซิ่งหยวนขึ้นมาได้ กระจกเทพส่องก็พลิกผัน ปรากฏภาพเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง จูหลิงขึ้นมา เพียงแต่ในบรรดาคนที่ปรากฏขึ้นมายังมีจิ่งเทียน พวกเขาเหมือนกำลังยืนจ้องหน้ากัน จูหลิงยังมีแววความขึ้งโกรธในใบหน้า เหมยจื่อจ้งที่ใจเย็นเรื่อยเฉื่อยมาตลอด ก็ดูมีความเยือกเย็นปะปนในสีหน้าขึ้นมา จ้าว หนานซิงยิ่งดูเยือกเย็นมากขึ้นไปอีก มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ภาพเคลื่อนไปที่ร่างของจิ่งเทียน ท่าทางเขายโสถือดี หูตาขาดความแพรวพราวแต่เพิ่มความอึมครึมยากจะคาดเดาขึ้นมา
น่าเสียดาย มู่ชิงเกอไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันได้ แต่เดาจากสีหน้าของพวกเขา ดูท่าทางเหมือนจะมีปัญหาขัดแย้งกันแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า จิ่งเทียนที่พ่ายแพ้มาจากเวทีประลองจะยังวางท่าอวดดีได้อยู่ ดูท่าแล้วเบื้องหลังเขาคงไม่ธรรมดา!” มู่ชิงเกอก้มหน้าครุ่นคิด และในตอนที่นางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นั่นเอง กระจกเทพส่องก็เหมือนหาเป้าหมายไม่ได้ แปรภาพเป็นภาพขาวโพลนขึ้นมา เหมือนเกิดการเคลื่อนภาพเร็วๆ ต่อเนื่องกันจนเกิดเงา
เมื่อมู่ชิงเกอเงยหน้ามา ภาพก็พลันเปลี่ยนเป็นวังกว้างใหญ่งดงามแห่งหนึ่ง
หมู่ตำหนักในวังนั้นเหมือนสร้างขึ้นบนชั้นเมฆ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ รอบข้างโดนหมอกขาวปกคลุม เหมือนเป็นภาพลวงตาแต่บางคราก็ดูเหมือนจริง บรรยากาศสูงส่งแผ่ซ่านออกมาจากหมู่ตำหนัก ชวนให้คนรู้สึกยำเกรง
มู่ชิงเกอกะพริบตา นางไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่าที่นี่คือที่ไหน
พลัน ภาพในกระจกก็พลันเปลี่ยนเหมือนเดินเข้าไปในหมู่ตำหนัก
บนขั้นบันไดสูงๆ มีคนรูปร่างสูงใหญ่นอนตะแคงบนฟูก เมื่อรอจนมู่ชิงเกอมองหน้าคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว ดวงตาก็หรี่ลง ตกใจขึ้นมาทันที “ทำไมถึงเห็นเขาได้!” ในชั่วพริบตานั้น มู่ชิงเกอรู้สึกว่าในหัวล้วนโล่งว่างขาวโพลนไปหมด
นางไม่รู้เลยว่าเหตุใดกระจกส่องเทพจึงได้ฉายภาพซือมั่ว นางแน่ใจว่าไม่ได้คิดถึงซือมั่วเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดซือมั่วจึงได้ปรากฏในกระจกส่องเทพได้?
ความรู้สึกเหมือนกำลังถํ้ามองคนอื่น ทำให้มู่ชิงเกอนึกสับสนในใจ เกิดความรู้สึกไม่รู้ว่าข้อผิดพลาดนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
พลัน คนในกระจกก็เหมือนจะรู้สึกตัวส่งเสียง “อึม” ขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น……
ท่ามกลางแพขนตาหนายาว ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ลืมขึ้น เพียงแค่ประกายในแววตานั้นวูบไหว ความห่างระหว่างดินฟ้าก็เหลือเพียงแค่ดวงตาดำววาวคู่นั้น เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้สวรรค์และโลกมนุษย์แทบจะล้มเอียงไปได้
เขามองสบดวงตาตื่นตระหนกของมู่ชิงเกอ เหมือนจ้องเข้าไปถึงในใจนาง ทำเอานางหมดหนทางจะหลบซ่อน เมื่อมู่ชิงเกอได้สติขึ้นมาก็รีบระงับความคิดตนอย่างลนลาน พลังจิตที่ส่งเข้าไปโดนถอนออกมา กระจกส่องเทพก็ร่วงตกลงจากด้านหน้าของนาง กลายเป็นกระจกธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษอีก
หมู่ตำหนักหรูหราที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้เมื่อดวงตาของซือมั่วหรี่เพ่งลง ใบหน้าหล่อเหลางามสง่า ราวกับได้รวบรวมความงดงามทั้งใต้หล้าไว้ที่โฉมหน้าเขา
ดวงตาดำเข้มล้ำลึก เป็นประกายราวหมู่ดาวลึกลับและห่างไกล ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ความรู้สึกเหมือนโดนลอบมองหายไปแล้ว
ใครกันที่จะมาลอบมองเขา?
ดวงตาซือมั่วลํ้าลึก สะท้อนความเยือกเย็นเป็นชั้นๆ ความเย็นเยือกนั้นเหมือนซุกซ่อนไอสังหารที่ไร้จุดสิ้นสุดไว้
มู่ชิงเกอหายใจลึกๆ หลายครั้ง ถึงได้สงบใจลงได้ ในหัวนางปรากฏภาพเมื่อครู่ขึ้นตลอดเวลา
“ที่นั่นคือที่ไหนกัน? ที่พักของเขาหรือ? ดูสงบเงียบดีเหลือเกิน” มู่ชิงเกอส่ายหัว สลัดภาพดังกล่าวออกจากความครุ่นคิด
นางพูดกับตัวเองว่า “ในเมื่อตัดสินใจจะไม่ครองคู่ ก็ไม่ควรเหนี่ยวรั้งอีกต่อไป!” ใช่แล้ว นางตัดสินใจแล้ว นางไม่อาจรับความรู้สึกที่ซือมั่วมีต่อนางได้ เพราะนางไม่รู้ว่าจะรับความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร และยิ่งไม่อาจพูดกับซือมั่วให้กระจ่างได้ว่า หากรักก็ร่วมทาง หากหมดรักก็แยกย้าย
หากนางพูดเรื่องหลักการแต่งงานการหย่าร้างกับซือมั่ว นางแน่ใจว่าเขาคงฟาดนางสักฝ่ามือแน่นอน!
นางไม่รู้ว่าจะรักคนๆ หนึ่งได้อย่างไร ก็ไม่ควรจะคิดถึงต่อไป
ในใจของนาง รัก ก็คือการทำเพื่ออีกฝ่ายโดยไม่หวังอะไรตอบแทน แต่ว่า นางไม่อาจรับรอง นางไม่แน่ใจว่าตนจะไม่คาดหวังการตอบแทนได้หรือไม่
มู่ชิงเกอถอนใจ มองหน้าเหมิงเหมิง ก่อนจะเอ่ยเสียงดุดันว่า “เหมิงเหมิง กระจกเจ้านี่พังไปแล้วหรือเปล่า!” ทำไมถึงได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น!
ประโยคสุดท้ายนี้ นางไม่ได้เอ่ยออกมา
ความจริงแล้ว นางเพียงแต่ต้องการระบายความคับข้องใจไปที่เหมิงเหมิง
เหมิงเหมิงกะพริบตาด้วยความน้อยใจ “กระจกส่องเทพ เดิมทีก็สามารถส่องในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจได้ เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขาดการชี้นำอย่างแน่ชัด ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใจของเจ้านายจะมีเจ้ามารตนนั้น ฮึ!”
มู่ชิงเกอนิ่งอึ้ง
ในส่วนลึกจิตใจนางยังคงคิดถึงเขาเช่นนั้นหรือ?
การอธิบายของเหมิงเหมิงทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่า กระจกส่องเทพไม่ได้ผิดปกติ แต่เป็นเพราะในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดเรื่องโรงโอสถนั้น กระจกเทพส่องได้เสียประสิทธิภาพการลอบมอง แต่กลับทำหน้าที่ส่องสะท้อนภาพในใจนางแทน
นางมองข้ามที่เหมิงเหมิงเรียกเขาว่ามาร และมองข้ามความไม่พอใจของเหมิงเหมิง นางยังคงครุ่นคิดติดอยู่ในภวังค์ของภาพที่กระจกเทพส่องสะท้อนออกมา
ราวกับนางจะปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่า สำหรับนางแล้ว
ซือมั่วไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญใดๆ อีกต่อไป
แต่ แล้วจะอย่างไรต่อไปล่ะ?
มู่ชิงเกอถอนหายใจ ไม่ได้คิดเรื่องนี้ต่ออีก เมื่อรวบรวมสมาธินั่งลง ขจัดความคิดสับสนวุ่นวายในใจออกไปแล้ว มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เวลาเคลื่อนไปถึงเค่อที่สองของยามอิ๋น ห่างจากช่วงเค่อที่สามของยามอิ๋นที่เฝิงคุนไห่บอกไว้อีกไม่นานนัก
มู่ชิงเกอรวมพลังจิตเข้าไปในกระจกเทพส่องอีกครั้ง มองดูภาพในแม่นํ้าไร้พรมแดนอีกครั้ง
คนของหอหลอมศาสตราตั้งท่ารอไว้เรียบร้อย รอเวลาที่ทางเข้าจะเปิดขึ้น
มู่ชิงเกอกำลังคิดจะหาทางลอบปะปนเข้าไปในทางเข้า รอโอกาสเข้าชิงพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน พลันก็มีเสียงกู่คำรามก้องมาจากด้านหลัง
แน่นอนว่า มู่ชิงเกอไม่ได้ยิน แต่นางเพียงแค่มองเห็น เงาร่างที่จู่ๆ ก็มาปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
นี่ไม่ได้เพียงเป็นการดึงความสนใจมู่ชิงเกอไปได้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนหอหลอมศาสตราสนใจด้วย
พวกเขาค่อยๆ หมุนตัวกลับไป ดึงอาวุธขึ้นมา มองกลุ่มคนด้วยแววตาระมัดระวัง
เรื่องราวพลันมีจุดเปลี่ยนผัน
มู่ชิงเกอหมดทางที่จะอยู่ในช่องว่างต่อไป เพราะถึงแม้นางจะเห็นเหตุการณ์ภายนอก แต่กลับไม่ได้ยินอะไร หากต้องการควบคุมการเป็นผู้เริ่มเคลื่อนไหว ต้องเข้าใจสถานการณ์ภายนอกอย่างถ่องแท้
เมื่อคิดๆ ไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ออกจากช่องว่างมาปรากฏ
ตัวต่อหน้าคนของหอหลอมศาสตรา
เมื่อนางปรากฏตัวขึ้น ศิษย์หอหลอมศาสตราที่อยู่แถวหลังก็รู้สึกได้ทันที เขาหมุนกายมามองทันที
น่าเสียดาย ยังไม่ทันมองให้ชัดเจนก็โดนมู่ชิงเกอโจมตี จนสิ้นลม
รีบเอาเสื้อกันฝนจากร่างเขามาคลุมร่างตนเองไว้ พอมู่ชิงเกอคลายมือออกจากร่างของศิษย์หอหลอมศาสตรา ร่างของเขาก็จมลงไปในแม่นํ้าไร้พรมแดน ไม่ทิ้งร่องรอย ใดๆ ไว้อีก
โหดร้ายหรือ
ไม่ ในตอนนี้ มู่ชิงเกอและศิษย์หอหลอมศาสตราไม่ใช่มิตรสหายตั้งนานแล้ว ในเมื่อเป็นศัตรู ก็จะบอกว่าโหดร้ายไม่ได้
หากจะให้พูดอะไรสักหน่อยก็คงได้แต่บอกว่าคนๆ นี้โชคร้ายเอง
ใช้เสื้อกันฝนสีม่วงคลุมร่าง ปิดบังตัวนางเองไว้ทั้งหมด มู่ชิงเกอเข้าไปปะปนในกลุ่มศิษย์หอหลอมศาสตราได้อย่างง่ายดาย ยามนี้ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่ศิษย์สำนักหมื่นอสูรที่มาทางด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่าคนข้างกายโดนเปลี่ยนตัวไป!