Skip to content

พลิกปฐพี 157-1

ตอนที่ 157-1

ระเบิดจวนเจ้าเมืองของเจ้าซะ!

“เป็นเจ้า”

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”

เฮยมู่และเฝิงคุนไห่พอมองออกว่าเป็นมู่ชิงเกอ ก็แสดงท่าทีผิดปกติออกมาทันที ดึงดูดความสนใจของวั่นเจี้ยนเฟิง เจ้าเมืองวั่นเฟิงขึ้นมาทันที

“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองรู้จักท่านผู้นี้…” เขานึกขึ้นมาได้ ว่าตนยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงเรียงนามของมู่ชิงเกอ ก็อดที่จะเลื่อนสายตาไปมองที่ร่างนางไม่ได้ราวกับรอให้นางแนะนำตัวเอง

แต่ว่า มู่ชิงเกอในยามนี้สนใจเขาเสียที่ไหน นางเพียงแต่มองเฮยมู่และเฝิงคุนไห่ด้วยแววตาเยือกเย็น มุมปากยกยิ้มมีแววเสียดสีเยาะเย้ย

ท่าทีเช่นนี้ของนาง ท่าเอาวั่นเจี้ยนเฟิงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาก็พลันขมวดคิ้วแน่นขึ้น

“เจ้ากล้าดียังไงถึงมาโผล่หัวที่นี่ แล้วยังแอบอ้างเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ!”เฮยมู่ถามเสียงเคร่งเครียด นิ้วผอมเกร็งชี้หน้ามู่ชิงเกออย่างไม่เกรงใจ

เผิงคุนไห่กลับแสดงท่าทางชัดเจนยิ่งกว่า เขาไม่คำนึงว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน กลับร้องสั่งศิษย์หอหลอมศาสตราที่มาด้วยว่า “พวกเจ้ามานี่ จับเจ้าคนชั่วช้าผู้นี้ให้ได้!”

แววเย้ยหยันในรอยยิ้มของมู่ชิงเกอยิ่งมากขึ้น

ตอนนี้วั่นเจี้ยนเฟิงเองก็ฟังออกถึงความผิดปกติได้แล้ว ดวงตาที่มองมู่ชิงเกอก็มีแววสนใจใคร่รู้มากขึ้น

“สุนัขเฒ่าทั้งสอง คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังไม่ตาย” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นมาในที่สุด นางเอ่ยเพียงเท่านี้ เฮยมู่กับเฝิงคุนไห่ก็โมโหจนหน้าดำทันที

นางไม่ได้อธิบายเรื่องสถานะจริงเท็จของตัวเอง และยิ่งไม่มีทางบอกชื่อแซ่ที่แท้จริงออกไปแน่นอน

ไม่ใช่เพราะนางไม่กล้ารับ แต่เป็นเพราะนางไม่อยากให้คนในบ้านต้องพลอยรับผลไปด้วย บทเรียนของตระกูลเล่อจากโลกยุคกลาง ทำให้นางเข้าใจถึงหลักการนี้ได้เป็นอย่างดี

ยอดฝีมือในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่หน้าด้านหน้าทน ไม่ได้สนใจหลักการยุทธภพที่ว่า ‘ความโชคร้ายไม่ควรลามไปถึงคนในครอบครัว’

“เจ้าหนูอย่ากำเริบไป! วันนี้คือวันตายของเจ้า!” เฮยมู่ตบข้างเอวเบาๆ ลำแสงก็พุ่งปราดออกมาจากข้างเอวของเขา ก่อนจะร่วงลงที่พื้น กลายเป็นอสูรวิญญาณชั้น สูงสามตัว

ดวงตามู่ชิงเกอเป็นประกาย วันนั้นอสูรวิญญาณของเฮยมู่ตายไปหมดที่แม่นํ้าไร้พรมแดน วันนี้ดูไปแล้ว หลังจากเขาจากไปแล้วก็คงเสริมเข้ามาแทนที่อีกหลายตัว

ทางด้านหอหลอมศาสตรานั้นก็เร่งส่งสัญญาณออกไปภายนอกให้ศิษย์ที่อยู่ภายนอกจวนเจ้าเมืองเร่งเข้ามา การเปลี่ยนแปลงกระทันหันเช่นนี้ทำให้คิ้วของวั่นเจี้ยนเฟิงขมวดแน่นจนแทบจะเบียดแมลงวันตายไปได้ เขาก้าวขาออกไป ขวางกลางระหว่างเฮยมู่และเฝิงคุนไห่ ก่อนจะเอ่ยว่า “ทั้งสองท่านที่นี่คือจวนเจ้าเมืองของข้า”

เขากำลังเอ่ยเตือนคนเหล่านี้ว่า ไม่ว่าจะอยากทำอะไร อย่างน้อยก็ควรแจ้งเขาบ้าง ให้เขาเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ตำแหน่งของเฮยมู่ในสำนักหมื่นอสูรสูงส่งกว่าตำแหน่งเฝิงคุนไห่ในหอหลอมศาสตรามากมายนัก และยิ่งไม่อาจเอาเจ้าเมืองมาเทียบได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเจอการไต่ถามของวั่นเจี้ยนเฟิงเขาก็ไม่ได้สนใจ มีเพียงดวงตาเคร่งเครียดวาวจ้า มองจ้องมู่ชิงเกอนิ่งนาน ราวกับกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไป

ส่วนเฝิงคุนไห่นั้นไม่อาจมองเมินวั่นเจี้ยนเฟิงได้ เขาจึงเอ่ยอธิบายคร่าวๆ ว่า “ท่านเจ้าเมืองคงไม่ทราบว่า เจ้าหัวขโมยนี่ไม่ได้เป็นผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถ แต่เป็นนักโทษที่หอหลอมศาสตราของข้าและสำนักหมื่นอสูรกำลังตามจับ คนผู้นี้เจ้าเล่ห์หาตัวจับยาก มากเล่ห์แสนกล ไม่เพียงใช้แผนลวงร้ายกาจขโมยของลํ้าค่าของเราสองสำนัก สังหารศิษย์ไปเป็นจำนวนมาก สองสำนักใหญ่ร่วมมือกันไล่ล่าตามจับ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าเมืองวิ่นเฟิงมาได้อย่างเปิดเผยซํ้ายังปลอมตัวเป็นผู้อาวุโสโรงโอสถ หมายจะตีขลุมผ่านด่านไป!”

วั่นเจี้ยนเฟิงพอจะเข้าใจ ‘สถานะ’ ของมู่ชิงเกอขึ้นมาบ้าง ดวงตาที่มองนางเต็มไปด้วยแววระแวดระวัง คนที่สามารถปั่นหัว หอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรในคราวเดียวกันได้ เขาควรจะบอกว่านางฉลาดหรือโง่งมดี?

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นเยียบ หันไปมองเฝิงคุนไห่ “ความสามารถกลับผิดเป็นถูกของเจ้านี่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสเสียจริง!”

การเสียดสีที่ไม่มีคำหยาบ ทำให้เฝิงคุนไห่เปลี่ยนสีหน้าทันที

เฮยมู่ตวาด “โจรชั่วอย่าได้พูดจากลับกลอก! ต่อให้เจ้าพูดจาดีเพียงใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความเป็นจริงไปได้!”

เพียงขาดคำ อสูรวิญญาณของเฮยมู่ก็คำรามก้องขึ้นมาพุ่งตรงไปที่มู่ชิงเกอ

หยินเฉินกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ไม่สามารถออกมาช่วยมู่ชิงเกอได้จึงเหลือเพียงมู่ชิงเกอรับมืออยู่เพียงลำพัง

เงาร่างของมู่ชิงเกอขยับรวดเร็ว หลบหลีกการโจมตีของอสูรวิญญาณได้คล่องแคล่ว

ยามนี้ ศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรก็ทยอยเรียกอสูรวิญญาณของตนออกมา มองจ้องมู่ชิงเกออย่างดุดัน ศิษย์หอหลอมศาสตราก็ล้อมเข้ามาเป็นวง ปล่อยอาวุธลับออกมาโจมตีด้านหลังของมู่ชิงเกอ

ส่วนมู่ชิงเกอก็ราวกับมีจิตสัมผัส นางพลิกกายหมุนพลิ้ว หลีกการโจมตีของอาวุธลับได้อย่างคล่องแคล่ว ทำเอาอาวุธลับเหล่านั้นพลาดเป้าไปหมด กลายเป็นพุ่งเข้าไปกระแทกกับเสาหินและผนังของจวนเจ้าเมืองแทน

เฝิงคุนไห่หันไปมองวั่นเจี้ยนเฟิงที่สีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเมืองวั่นเหตุใดจึงไม่ลงมือ? อย่าลืมสิว่าเขาเป็นนักโทษสำคัญของราชสำนัก!”

ประโยคนี้ ทำให้วั่นเจี้ยนเฟิงดวงตาเป็นประกาย เข้าไปด้านใน ร่วมต่อสู้อย่างเป็นทางการ เพียงเขาเคลื่อนไหว องครักษ์ประจำจวนเจ้าเมืองและคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วย

วั่นเจี้ยนเฟิงในฐานะเจ้าเมืองคนหนึ่ง อิทธิพลและอำนาจไม่ได้ตํ่าต้อยเลย

ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นพลังสีม่วง แต่ฝีมือกลับดูไม่แตกต่างเฝิงคุนไห่เลยแม้แต่น้อย

อาวุธที่เฮยมู่นำออกมาใช้ เป็นแส้ขนาดยาวราวกับงูยักษ์ แบ่งตัวออกเป็นเงาเชือกสีม่วง ปิดตายทุกมุมไว้หมด เขายิ้มเย็นใส่มู่ชิงเกอ “ข้าแปลกใจนัก บนตัวเจ้ายังมีของวิเศษอะไรอีกบ้าง ถึงได้ทำให้เจ้ารอดจากการระเบิดตัวเองของจินกุ้ยได้!”

มู่ชิงเกอเบะปากตอบกลับ “ข้าเองก็สงสัยนัก ผ่านการต่อสู้รุนแรงเช่นนั้นมาแล้ว พวกเจ้ายังมีเรี่ยวแรงเหลืออีกเท่าไหร่”

สีหน้าของเฮยมู่และเฝิงคุนไห่เปลี่ยนแปรไปพร้อมกันทันที ราวกับมู่ชิงเกอพูดแทงใจดำของพวกเขาเข้าแล้ว

ไม่ผิด! พลังของพวกเขาสองคนในยามนี้เหลือเพียงเจ็ดในสิบส่วนของช่วงที่มีพลังเต็มเปี่ยมเท่านั้น การต่อสู้ครั้งใหญ่คราวก่อน ได้สร้างอาการบาดเจ็บอันสาหัสไว้กับพวกเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเวลารักษาพักฟื้นให้ดี

เพียงแต่ว่า พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อมู่ชิงเกอสามารถรอดมาได้จากเหตุการณ์เช่นนั้น ก็ต้องมีบาดแผลบนร่างที่ส่งผลต่อพลังในการต่อสู้บ้าง

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ถือเป็นยอดฝีมือขั้นพลังสีม่วงตัวจริง จุดนี้พวกเขาทั้งสองคนล้วนไม่ได้ลืม เรื่องเดียวที่ลืมก็คือการเตือนวั่นเจี้ยนเฟิงว่า มู่ชิงเกอนั้นอยู่ในขั้นพลังสีม่วง!

“พวกเจ้าอยากสู้ก็มาสู้สิ!” มู่ชิงเกอกวาดตามองอสูรวิญญาณสิบกว่าตัวแล้วยิ้มแปลกๆ ออกมา นางไม่ได้หยิบทวนหลิงหลงขึ้นมา แต่กลับหยิบขลุ่ยอสูรที่ชิงมาจากไท่สื่อเกาขึ้นมาแทน

ประโยชน์ของขลุ่ยอสูรรวมถึงวิธีการใช้งาน ไท่สื่อเกาได้บอกนางหมดแล้วในขณะที่เขากลัวตายจนถึงขีดสุด

เมื่อมู่ชิงเกอหยิบขลุ่ยอสูรออกมา สีหน้าและแววตาของเฮยมู่ก็เปลี่ยนไปทันที ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นในทันใด “แย่แล้ว!”

แน่นอนว่า ยังไม่ทันได้ยินเขาพูดต่อว่าแย่ตรงไหน ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยประหลาดดังขึ้นจากปากของมู่ชิงเกอ

อสูรวิญญาณที่โดนสำนักหมื่นอสูรปล่อยออกมารับมือกับมู่ชิงเกอ เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยก็กลายเป็นง่วงซึมขึ้น ราวกับว่ากำลังมีใครบังคับควบคุมอยู่กระนั้น

“ผู้อาวุโสเฮยมู่ นี่มันอะไรกัน?” วั่นเจี้ยนเฟิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เอ่ยถามขึ้น

สีหน้าของเฮยมู่ดำคร่ำเครียด เขาจ้องมู่ชิงเกอดุดัน “เจ้านี่กล้าดีขโมยขลุ่ยอสูรของสำนักข้า!”

โฮก!

โฮก! โฮก!

โฮก! โฮก! โฮก!

เสียงอธิบายของเฮยมู่หายไปท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูร

สัตว์อสูรที่เคยได้รับการฝึกให้เชื่องมาแล้ว ยามนี้เหมือนได้ปลดปล่อยการผูกมัด ฟื้นฟูสัญชาติญาณของตนขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความดุร้ายกระหายเลือด สายตาที่มองเจ้าของเดิมไม่มีแววอ่อนโยน เหลือแต่แววแห่งความโกรธแค้น

มู่ชิงเกอหยุดเป่าขลุ่ย ไพล่มือสองข้างไว้ด้านหลัง ก่อนจะพุ่งร่างขึ้นกลางอากาศ มองเหล่าสัตว์อสูรด้วยแววตาเยือกเย็น “วันนี้พวกเจ้ามีแค้นก็ล้างแค้นเสีย ฆ่ามัน!”

คำว่า “ฆ่า” ที่มีพลังกดทับของพลังขั้นสีม่วงติดมาด้วย เมื่อออกมาจากปากมู่ชิงเกอแล้ว ก็กลายเป็นคลื่นลมไร้รูป กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นออกไป

คนที่การฝึกฝนยังอยู่ในขั้นตํ่า ก็โดนพัดจนล้มควํ่า รู้สึกเพียงเลือดลมโดนพัดตีไปหมด

ส่วนสัตว์อสูรพวกนั้น ก็ราวกับได้ยินคำสั่ง พุ่งทะยานเข้าใส่กลุ่มคนเต็มแรง เห็นคนก็กัด เห็นคนก็ฆ่า

ต่อให้เคยเป็นเจ้าของมันมาก่อน ก็ยากจะหลบหนีกรงเล็บนี้ไปได้

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้บริเวณรอบๆ วุ่นวายไปหมด เสียงร้องโหยหวนโอดครวญดังขึ้นรอบๆ การล้อมวงแน่นหนาโดนทำลายลง

“บังอาจนัก!” เฮยมู่มองมู่ชิงเกอตาวาวจ้า กัดฟันเอ่ยออกมาสามคำ

มู่ชิงเกอกลับยิ้มราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางเอ้อระเหย “ชมเกินไปแล้ว”

นึกว่านางไม่ได้วางแผนอะไรก็วิ่งมารนหาที่ตายหรือไร?

นางดูโง่งมเช่นนั้นเลยหรือ?

“ท่านผู้อาวุโสเฮยมู่ อย่าได้เสียเวลาพูดกับมันให้มากเรื่อง พวกเราร่วมมือสังหารมันกันเถิด!” เฝิงคุนไห่มองเห็นศิษย์หอหลอมศาสตราจำนวนมากต้องสังเวยชีพให้กับสัตว์อสูร ความอยากจะสังหารมู่ชิงเกอในใจก็ยิ่งมากขึ้น

เฮยมู่พยักหน้า ดวงตายังคงจับจ้องแน่วนิ่ง เพราะเขายังไม่ลืมว่ามู่ชิงเกอยังไม่ได้หยิบของวิเศษนั้นขึ้นมา เขายังมีสัตว์อสูรเทวะจำแลงอีกหนึ่งตัว รวมถึงของวิเศษที่มีพลังโจมตีรุนแรงอันแปลกประหลาดนั้น ก็ยังไม่ได้หยิบออกมา

คนที่อยู่ตรงหน้ามีไพ่ตายในมือมากไป เขาจะไม่ระวังไม่ได้ เพื่อกันไม่ให้เรือพลิกในร่องนํ้า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version