ตอนที่ 156-5
เจ้าสังหารคนเพื่อข้า ส่วนข้ารับบาปแทนเจ้า!
มู่ชิงเกอก็คงจะนึกไม่ถึงว่า เรื่องราวจะพัฒนาไปในทิศทางนี้
สมควรจะบอกว่า นางคงคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสของหอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรที่ประจำอยู่ที่เมืองวั่นเฟิง จะเป็นสองคนที่นางรู้จักดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เวลาที่นางต้องเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองวั่นเฟิงหรือว่าคนของสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราก็คงจะสบายกว่านี้มากนัก
เพราะว่ามีชื่อของโรงโอสถวางอยู่บนบ่า มู่ชิงเกอก็เลยไม่สามารถเข้ามาในเมืองวั่นเฟิงแล้วจากไปในทันทีได้ นางอยู่ในเมืองเดินวนไปรอบหนึ่ง ก่อนจะหาโรงเตี๊ยมเข้าพักผ่อน วางแผนว่าจะพักสักหนึ่งวันแล้วค่อยจากไป
และในขณะนั้นเอง ทั้งสามคนที่พบกับนางตรงหน้าประตู ก็ได้แยกกันเข้าไปยังจวนพักที่แตกต่างกันสามแห่ง
“อะไรนะ? ผู้อาวุโสของโรงโอสถมาที่นี่รึ?” เฝิงคุนไห่ พลันลุกยืนขึ้น ท่าทางไม่ค่อยเชื่อนัก ศิษย์ของหอหลอมศาสตราพยักหน้า กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ใช่ขอรับ ป้ายประจำตัวป้ายนั้นก็ถูกตรวจจากทหารยามแล้ว อีกอย่างเขายังพูดเองว่ามาท่องเที่ยวที่แคว้นหรง พอได้ยินว่าก่อนหน้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นถึงได้มาลองตรวจดูที่เมืองวั่นเฟิงว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่”
เฝิงคุนไห่แววตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวเสียงขรึม “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องไปพบหน้าเขาสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายนั้นกล่าวได้ว่า ไม่รู้จักธรรมเนียม” เนื้อหาการพูดคุยที่ใกล้เคียงกันก็กำลังเกิดขึ้นที่จวนเจ้าเมืองวั่นเฟิงและที่พักของสำนักหมื่นอสูรเช่นกัน
ไม่นาน ขุมอำนาจทั้งสามก็พลันส่งคนออกมาสืบหาที่พักของผู้อาวุโสโรงโอสถ
ร่องรอยการไปมามู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดปิดบัง คนของทั้งสามขุมกำลังก็สามารถสืบหาที่พักของนางได้อย่างง่ายดาย ไม่ทันไร เทียบเชิญสามฉบับก็ส่งไปถึงมือของมู่ชิงเกอ
บนโต๊ะ จากซ้ายไปขวาวางไว้ด้วยเทียบเชิญของจวนเจ้าเมือง สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตรา
มู่ชิงเกอยกมุมปากด้วยรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยแววนึกสนุก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนเทียบเชิญของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราที่แยกกันเป็นชื่อของเฮยมู่กับชื่อของเฝิงคุนไห่
มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็เกิดคิดถึงสำนวนที่ว่าเกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้นขึ้นมา
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า พวกเขาจะมาอยู่ในเมืองวั่นเฟิง แล้วก็ไม่รู้ว่าภายใต้การระเบิดตัวเองของจินกุ้ย พวกเขาทั้งสองคนจะได้รับบาดเจ็บเช่นไร ตอนนี้ฟื้นฟูไปได้มากน้อยแค่ไหน?” มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง
เนื้อหาบนเทียบเชิญก็เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ดูจากท่าทางแล้วทั้งสามขุมอำนาจคงจะนัดหมายกันเสร็จเรียบร้อยมาก่อนแล้ว
ล้วนเป็นการเชื้อเชิญมู่ชิงเกอไปที่จวนเจ้าเมืองในคืนพรุ่งนี้ ท่านเจ้าเมืองเป็นประธานในการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ที่เตรียมไว้เพื่อมู่ชิงเกอโดยเฉพาะ
ถ้าหากไม่ไป แน่นอนว่าจะต้องชวนให้คนเกิดความสงสัย แต่ถ้าหากไปแล้ว…
มู่ชิงเกอหัวเราะขันเสียงเย็น
การศึกเมื่อคราวนั้น นางกับเฮยมู่รู้สึกว่าจะต่อสู้กันใน
ระยะประชิด ส่วนเฝิงไห่คุนผู้นั้นก็เอาแต่ปล่อยศรลอบโจมตีอยู่ด้านข้าง คนอื่นอาจจะจำนางไม่ได้ แต่สองคนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถวาดภาพเหมือนของนางออกมาได้อย่างละเอียด แต่ก็คงสามารถจำนางออกได้ในทันที หากได้พบหน้านาง
“ก็ช่างเป็นกับดักที่ชัดเจนเสียจริง แต่ก็ไม่อาจไม่บุกเข้าไปได้!” มู่ชิงเกอเก็บเทียบเชิญบนโต๊ะทั้งสามฉบับ ก่อนยิ้มขันกับตัวเอง
ในเมื่อหลบไม่พ้น เช่นนั้นก็เตรียมรับศึกใหญ่แล้วกัน! มู่ชิงเกอลุกยืนขึ้น ปัดฝุ่นผงบนเสื้อเบาๆ ยืดหลังเหยียดตรงดุจกระบี่ กลิ่นไอดุดันสะท้านฟ้า
วันถัดมา มู่ชิงเกอก็เก็บตัวอยู่แต่ในโรงเตี๊ยมตลอดทั้งวัน ไม่ได้ออกจากห้องไปไหน
นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งการการฝึกฝน
จนกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์อัสดง แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็นลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาสาดกระทบลงบนตัวนาง แพขนตายาวของนางสั่นไหว เล็กน้อยราวกับปีกผีเสื้อก็ไม่ปาน ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ
ในส่วนลึกของแววตากระจ่างใสคู่นั้นก็ปรากฏแสงสีม่วงขึ้นสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอลุกขึ้นจากเตียง ก้าวอาดๆ ไปเปิดประตูห้องออกด้วยท่าทางอันสุขุม เดินออกจากโรงเตี๊ยม เดินตรงไปยังจวนเจ้าเมือง
จวนเจ้าเมืองของเมืองวั่นเฟิงตั้งอยู่ตรงกลางของตัวเมือง ประตูเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจวนเจ้าเมืองก็เป็นประตูเมืองที่ใช้ออกจากเมืองไปยังทิศทางของทะเลแห่งความอ้างว้าง และก็เป็นเส้นทางการจากไปที่มู่ชิงเกอกำหนดให้ตัวเอง
เดินไปบนถนนใหญ่อันกว้างใหญ่ ร้านค้าของทั้งสองข้างทางก็กลับไปมีสภาพครึกครึ้นคึกคักขึ้นหลายส่วนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้รบกวนจิตใจของมู่ชิงเกอแต่อย่างใด
เดินตรงไปตามถนนหลักไปเรื่อยๆ นางก็เดินมาถึงด้านหน้าของจวนเจ้าเมือง ยื่นเทียบเชิญส่งมอบออกไป
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสจากโรงโอสถ เชิญขอรับ” ทหารยามจวนเจ้าเมืองท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก นำทางมู่ชิงเกอเข้าไปในจวนเจ้าเมือง งานเลี้ยงก็จัดอยู่ตรงโถงย่อย แต่ก็ไม่ได้เชิญผู้คนมากมายนัก นอกจากคนของจวนเจ้าเมืองแล้วก็มีเพียงเฮยมู่กับเฝิงคุนไห่ของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรา
จำนวนคนก็มีประมาณห้าสิบกว่าคน พอนั่งอยู่ในโถงรับรองย่อยก็ไม่ได้ดูแน่นเบียดเท่าใดนัก
เสียงเพลงบรรเลงก้องกังวาน นางรำร่ายรำตามท่วงทำนอง อาหารชั้นเลิศกับสุราเลิศรสของแคว้นหรงล้วนแต่จัดวางอยู่บนโต๊ะ รอเพียงบุคคลสำคัญของงานมาถึงงานเพียงเท่านั้น
“เรียนท่านเจ้าเมือง ผู้อาวุโสจากโรงโอสถมาถึงแล้วขอรับ!”
ทหารยามของจวนเจ้าเมือง ยืนอยู่ด้านนอกโถงรับรอง กล่าวรายงานไปทางชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานอย่างนอบน้อม
วั่นเจี้ยนเฟิงแววตากระจ่างวูบ วางจอกเหล้าในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตื่นเต้น “อ้อ? ผู้อาวุโสมาถึงแล้วรึ? รีบๆ เชิญเข้ามา!”
พอเขาลุกขึ้น เฝิงคุนไห่กับเฮยมู่ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายขวาก็พากันลุกตามขึ้นมาด้วย เดินออกไปต้อนรับที่ด้านนอกประตูพร้อมกันกับเขา คนอื่นๆ ของจวนเจ้าเมืองก็แน่ นอนว่าจะต้องเดินตามติดไป
ตอนที่มู่ชิงเกอมาถึงโถงรับรอง ก็เห็นปากทางเข้ายืนเต็มไปด้วยผู้คนกลุ่มหนึ่ง
และแน่นอนเฮยมู่กับเฝิงคุนไห่ก็ยืนอยู่ในนั้นด้วย
“เป็นเจ้า!”
“เป็นเจ้าได้ยังไง!
ก็เป็นเช่นนั้น ในตอนที่มู่ชิงเกอมองเห็นทั้งสองคน ทั้งสองคนก็จำนางขึ้นมาได้แล้ว!