ตอนที่ 156-4
เจ้าสังหารคนเพื่อข้า ส่วนข้ารับบาปแทนเจ้า!
ซือมั่วตรงหน้าของนางก็ราวกับว่าจะไม่ใช่คนที่ใจดีขี้เล่นอีกต่อไป แต่เหมือนกับเป็นราชาปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก ปีศาจที่มีซากศพนับหมื่นนับพันเกี่ยวรัดพัวพัน ทั่วร่างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ราวกับว่ากลิ่นไอเช่นนี้ก็เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
รูปลักษณ์ขาวสะอาดไร้มลทินก่อนหน้าก็แค่เป็น ภาพลวงตาภาพหนึ่ง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กลัวรึ?” ซือมั่วอยู่ๆ ก็ถามขึ้น มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าออกไปตามสัญชาตญาณ
นางไม่กลัว กลับกัน นางกลับรู้สึกว่าซือมั่วในตอนนี้ถึงจะเป็นตัวจริงที่สุด อีกทั้ง…ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของนางในตอนนี้เป็นเรื่องอันใดกัน?
บนโลกนี้มีคนที่ยังห่วงใยนางเช่นนี้ เพื่อนางแล้วถึงกับสามารถทำลายล้างแคว้นๆ หนึ่ง!
เห็นมู่ชิงเกอส่ายหน้า ซือมั่วก็ถามว่า “คนของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรากล้าทำร้ายเจ้า ข้าจัดการกวาดล้างพวกเขาให้หมดดีหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น!” มู่ชิงเกอคิดก็ไม่คิด ปฏิเสธขึ้นทันควัน
ซือมั่วมองไปที่นาง ความเย็นชาในแววตาเริ่มหลอมละลาย ประกายตาอ่อนโยนและหลงใหลที่มู่ชิงเกอคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มู่ชิงเกอพลันกล่าวต่อว่า “ศัตรูของข้า ไว้ให้ข้าจัดการเอง ช้าเร็วข้าก็จะให้พวกเขาได้ชดใช้อย่างสาสม เรื่องการแก้แค้น ยืมมือคนอื่นไปจัดการจะไปสนุกอันใด! ดัง นั้น ท่านก็ไม่ต้องลงมือแล้ว”
ซือมั่วพยักหน้า กล่าวกับนางว่า “เช่นนั้นก็ได้ เรื่องนี้ข้าจะไม่ลงมือแทรกแซง ข้าเชื่อมั่นในตัวเสี่ยวเกอเอ๋อร์ว่า ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็จะต้องทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจที่ได้มาล่วงเกินเจ้า แต่ว่า พวกเขาถึงกับกล้าใส่ร้ายเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้กู่หยาไปล้างมลทินให้เจ้า บอกว่าทั้งหมดเป็นข้าที่ทำ ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“ไม่ต้องแล้ว” มู่ชิงเกอปฏิเสธขึ้นอีกครั้ง
ซือมั่วหันมองไปทางนางอย่างแปลกใจราวกับว่ากำลังรอคำอธิบายของนาง
มู่ชิงเกอก็ถูกเขามองจนรู้สึกติดขัดขึ้น กล่าวด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก “ท่านทำก็เพราะข้า ความผิดเรื่องนี้ก็ให้ข้ารับเอาไว้เถอะ หากท่านไปล้างมลทินก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการแปดเปื้อนชื่อเลียงองค์มหาปราชญ์ของท่านหรอกหรือ?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังคิดแทนข้า?” ในแววตาสีอำพันของซือมั่วพลันเปล่งแสงระยิบระยับออกมา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยแววคาดหวังอยู่รางๆ
“ไม่ใช่! อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงแค่…เพียงแค่…” มู่ชิงเกอภายใต้การจับจ้องของซือมั่ว กลายเป็นพูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา
“เพียงแค่อะไร?” แต่ว่า ซือมั่วก็เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของนางได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังคงยํ้าถามต่อไป
“เพียงแค่เป็นการตอบแทนนํ้าใจที่ท่านช่วยข้าไว้เมื่อคราวก่อนๆ” มู่ชิงเกอพลันเชิดหน้ากล่าวขึ้น
นี่ก็ราวกับว่าจะเป็นเหตุผลที่ดูฟังขึ้นมากประโยคหนึ่ง
มู่ชิงเกอพยักหน้าแรงๆ ขึ้นในใจ เงยหน้าจ้องมองไปทางซือมั่วพลางกล่าวว่า “ไม่ผิด ก่อนหน้าท่านก็ช่วยเหลือข้ามาหลายครั้ง ครั้งนี้ก็ถือเป็นการคืนกำไรเล็กน้อยให้ท่านก็แล้วกัน”
“เพียงแค่นี้หรือ?” ซือมั่วจ้องมองไปทางนาง ไม่ยอมพลาดสีหน้าใดๆ บนใบหน้านางแม้แต่นิดเดียว
“ใช่ ก็มีเพียงแค่นี้’’ มู่ชิงเกอพยักหน้ากล่าวออกมา
ทันใดนั้นเอง ใบหน้าของนางก็ถูกมือทั้งสองข้างของซือมั่วกุมเอาไว้ ทำให้นางถูกฝืนให้เงยหน้าขึ้น เงยขึ้นมองไปทางเขา
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าจะให้ข้าจัดการกับเจ้าอย่างไรดี?” ซือมั่วจ้องมองไปทางนางสีหน้าสลับซับซ้อน ในดวงตาสีอำพันแฝงประกายระยิบระยับราวกับกระจกแก้วก็ไม่ปาน ดุจดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้าไกล
มู่ชิงเกอทั่วร่างพลันแข็งทื่อ ไม่รู้จะตอบสนองอันใดไปชั่วขณะ
นางสัมผัสได้ว่าใบหน้าของตัวเองค่อยๆ เห่อร้อนขึ้นมา ความรู้สึกเช่นนั้นก็เหมือนกับตัวของนางตกอยู่ในกองไฟ ที่ถูกราดนํ้ามันใส่ เหมือนกับเปลวเพลิงที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้น นางก็สัมผัสได้ว่าใบหน้าอันหล่อเหลาอันหาใดเปรียบของซือมั่วค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเอง จุมพิตอันอ่อนโยนและเย็นสบาย ก็พลันร่วงตกลงมาบนหน้าผากของนาง
การจูบนี้ก็เหมือนกับเป็นระเบิดเวลาอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาทั่วร่างของมู่ชิงเกอแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทั่วร่างก็เหมือนกับเป็นตุ๊กตาดินเผาอย่างไรอย่างนั้นปรากฏรอยร้าวขึ้น ก่อนจะแตกละเอียดออกมาในพริบตา นางก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังลอยละล่องอยู่เหนือหมู่เมฆ รู้สึกเหมือนกับลอยกระเพื่อมขึ้นลงไปตามกระแสฟ้า
รอจนนางหลุดจากภวังค์กลับมาได้ ภาพตรงไหนเลยยังจะมีเงาร่างของซือมั่วอยู่อีก?
นางมองหาไปทั่วโดยรอบ แต่ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของซือมั่วอีก
“น่าเจ็บใจนัก! ถูกเขาเอาเปรียบเข้าจนได้! ครั้งหน้าจะต้องเอาทั้งกำไรและต้นทุนทวงคืนกลับมาให้ได้!” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างมุ่งร้าย แต่ทันใดนั้นเอง นางก็นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง พอสัมผัสได้ถึงความไม่ถูกต้องในคำพูดของตน ก็เร่งรีบแก้คำพูดใหม่ขึ้น “เรื่องเมื่อครู่ ก็คงจะเพียงพอในการหักล้างกับบัญชีหลายรายการที่ติดค้างเขาเอาไว้เมื่อตอนก่อนหน้าได้กระมัง!”
พอกล่าวจบจิตใจนางก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไป อารมณ์ความรู้สึกของมู่ชิงเกอก็พลันสงบลง นางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เดินออกจากศาลากลางนํ้าไป เดินตรงไปยังทิศทางของเมืองวั่นเฟิง
เมืองวั่นเฟิงก็นับได้ว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นหรง
ห่างจากฝนพิษก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ถึงแม้ที่นี่จะยังมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้อยู่ แต่ตอนนี้การใช้ชีวิตและกิจกรรมต่างๆ ก็ได้กลับไปเป็นปกติแล้ว
และก็ไม่มีข้อยกเว้น ป้ายประกาศจับของมู่ชิงเกอก็ยังคงแปะอยู่ตรงจุดที่สะดุดตาที่สุดบนป้ายประกาศตรงกำแพง
ด้านนอกประตูเมืองก็ยิ่งเต็มไปด้วยศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรา สองฝ่ายในมือถือภาพวาด เดินไปเปรียบเทียบกับลักษณะของผู้คนทีละคนสองคน
มู่ชิงเกอมองดูอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูเมืองของเมืองวั่นเฟิง
หากนางจะไปที่ทะเลแห่งความอ้างว้างก็จำเป็นจะต้องเดินทางผ่านเมืองวั่นเฟิง ไม่เช่นนั้นนางก็จะต้องเดินอ้อมไป
ตอนนี้ทั่วทั้งแคว้นหรงก็ล้วนแต่ทำการประกาศจับหาตัวนาง ตามภาพการณ์แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเดินอ้อมแต่อย่างใด
“ช้าก่อน!”
เพิ่งจะเดินไปถึงปากประตู มู่ชิงเกอก็พลันถูกทหารคุ้มกันเมืองเรียกหยุดเอาไว้
ไล่เลี่ยกัน ศิษย์ของหอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูร ก็หยิบภาพวาดเดินเข้ามายืนอยู่ทางด้านซ้ายขวาของนาง คลี่ม้วนภาพออก ทำการเปรียบเทียบอย่างละเอียด
“คล้ายว่าจะเหมือนอยู่เล็กน้อย” ศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
ศิษย์ของหอหลอมศาสตรากลับส่ายหน้าขึ้น “น่าจะไม่ใช่”
มู่ชิงเกอยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้พวกเขาจ้องมองไป ทหารคุ้มกันเมืองวั่นเฟิงก็เหมือนกันจ้องมองไปที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ กล่าวว่าด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจ “คุณชายท่านนี้เปรียบกับคนบนภาพแล้วก็ดูมีราศีกว่ามากนัก คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอกกระมัง?”
เขาพอกล่าวเช่นนี้ ศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรก็ยิ่งไม่แน่ใจขึ้นไปใหญ่
ดังนั้น ทหารยามก็พลันเปิดปากขึ้นอีกครั้ง “ขอถามชื่อแซ่ของคุณชายได้หรือไม่ บ้านเกิดอยู่ที่ไหน มาเมืองวั่นเฟิงด้วยเหตุอันใด? บนตัวมีป้ายผ่านทางมาหรือไม่?”
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ หยิบเอาป้ายประจำตัวของผู้อาวุโสประจำโรงโอสถออกมา ยื่นมันไปให้ทหารยาม “ข้าเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ มาเดินทางท่องเที่ยวที่ แคว้นหรง ระหว่างทางเห็นเกิดโรคระบาดขึ้นกะทันหัน ก็เลยลองมาดูที่เมืองวั่นเฟิงเสียหน่อย ดูว่ามีจุดไหนพอให้ช่วยได้บ้าง”
นางพอกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องสืบข่าวมาเรียบร้อยแล้วว่าโอสถที่แคว้นหรงมีในตอนนี้มีเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้คนนอกมาสอดมือ แต่ว่าการกล่าวเช่นนี้กลับสามารถปกปิดตัวตนของตัวเองได้ดีมาก ไม่ทำให้คนสงสัย
อย่างที่คาด พอได้ยินว่าเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ ไม่เพียงท่าทีของทหารของเมืองวั่นเฟิงเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นเคารพนอบน้อม แม้แต่ท่าทีของลูกศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราก็ยังเปลี่ยนเป็นเก็บความอวดดีกลับไปด้วย
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสจากโรงโอสถ เชิญเข้าเมืองขอรับ” ทหารยามนำแผ่นป้ายผู้อาวุโสยื่นคืนให้แก่มู่ชิงเกอ ก่อนจะเปิดเส้นทางในการเดินเข้าเมือง
มู่ชิงเกอรับแผ่นป้ายกลับมา พยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนจะเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปในเมืองวั่นเฟิง
หลังจากรอจนนางเดินจากไปแล้ว ทั้งสามคนก็ค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามากล่าวหารือเสียงเบา
“ผู้อาวุโสจากโรงโอสถผู้นี้ทำไมถึงได้อายุเยาว์นัก?” ศิษย์ของหอหลอมศาตราพลันกล่าวด้วยความสงสัย
ฝ่ายศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรก็พลันกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสของสำนักกล่าวเอาไว้ว่า ผู้อาวุโสของโรงโอสถล้วนแต่เป็นผู้มากฝีมือในการปรุงยา แต่ละคนก็มีเคล็ดวิชาในการชะลอวัย พวกเรามองไปเห็นเขามีอายุเพียงสิบกว่าปียี่สิบปี แต่จริงๆ แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวประหลาดที่มีอายุมากกว่าร้อยปีก็ได้?” ทหารยามพยักหน้า “คำกล่าวก็ฟังดูมีเหตุผล โรงโอสถ หอหลอมศาสตรา สำนักหมื่นอสูรก็เป็นถึงสำนักใหญ่ที่สุดไม่กี่สำนักในหลินชวน ล้วนแต่ไม่อาจล่วงเกิน ข้าก็จะต้องไปรายงานท่านเจ้าเมือง”
พอกล่าวจบ เขาก็หันไปกล่าวกับเพื่อนร่วมงานไม่กี่ประโยคก่อนจะเร่งรุดไปที่จวนเจ้าเมือง
ศิษย์ของหอหลอมศาสตรากับศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรพอเห็นเขาทำเช่นนั้น ก็มองหน้าสบตากันหนหนึ่ง ทั้งสองคนพลันกล่าวว่า “ถึงจะบอกว่าพวกเราหอหลอมศาสตราไม่ด้อยไปกว่าโรงโอสถ แต่ว่าคนของโรงโอสถอยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่เมืองวั่นเฟิง ข้าก็คงต้องไปรายงานผู้อาวุโสสักรอบ”
ศิษย์ของหอหลอมศาสตราพลันกล่าวขึ้นมา
ศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรก็กล่าวขึ้นบ้าง “ใช่ สำนักหมื่นอสูรของพวกข้าก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับโรงโอสถ แต่ทุกคนก็เป็นคนในขุมกำลังใหญ่ ในเมื่อผู้อาวุโสของโรงโอสถมาถึงแล้ว ตามธรรมเนียมข้าก็ต้องไปรายงานผู้อาวุโสสักหน่อยด้วย”
ทั้งสองคนพอกล่าวจบ ก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างเข้าไปรายงานกับผู้อาวุโสของสำนักตนที่เฝ้าอยู่ที่เมืองวั่นเฟิง