ตอนที่ 156-3
เจ้าสังหารคนเพื่อข้า ส่วนข้ารับบาปแทนเจ้า!
ไอพิษของแม่นํ้าไร้พรมแดนถึงแม้จะร้ายกาจแต่ก็ไม่ได้ รักษายากแต่อย่างใด
อีกอย่างมันก็ยังถูกนํ้าฝนเจือจาง ด้วยความสามารถของแคว้นหรงก็คงสามารถจัดการกับภัยร้ายเช่นนี้ได้ เช่นนั้นนางจะต้องไปทำอะไรให้มากความด้วย? เพื่อ เปิดเผยตัวเองแล้วดึงดูดขุมกำลังใหญ่ทั้งสองกับทางการให้มาไล่สังหารน่ะรึ?
ในเมื่อที่นี่ก็มีหนังสือประกาศจับนางอย่างเป็นทางการแล้ว เช่นนั้นในเมืองแห่งอื่นๆ ก็จะต้องมีอย่างแน่นอน
ปัญหาก็คือ พวกเขาทำไมถึงรู้ว่าตนเองยังไม่ตาย?
‘ดูท่า ปัญหานั้นนอกจากจะจับตัวคนของทั้งสองขุมอำนาจแล้วก็คงจะยากที่จะได้รู้คำตอบ’ มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นในใจประโยคหนึ่ง ก่อนจะเพิ่มความเร็วในการก้าว เดินขึ้น
จุดหมายของนางแห่งถัดไปก็คือเมืองวั่นเฟิงของแค้วนหรง จากที่นั่นมุ่งไปยังทะเลแห่งความอ้างว้างก็ถือเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด
ก็ไม่ต่างจากที่มู่ชิงเกอคาดเดาไว้ ทุกเขตเมืองที่นางเดินทางผ่านล้วนแต่มีป้ายประกาศจับนาง เพียงแต่น่าเสียดายรูปวาดบนภาพวาดพวกนั้นก็ไม่เหมือนกับนาง อีกแม้แต่น้อย และข้างกายของนางก็ไม่มีหยินเฉินอยู่อีก นอกจากนี้ก็ยังไม่มีชื่อแซ่ปิดประกาศ นี่สำหรับนางแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกถึงการถูกบีบคั้นแต่อย่างใด
เดินทางมาไม่กี่วัน ‘โรคระบาด’ ของแคว้นหรงก็ดูจะควบคุมจัดการเอาไว้ได้เกือบหมด
สำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราสามารถไม่สนใจชีวิตของพวกชาวบ้านได้ แต่ฮ่องเต้ของแคว้นหรงไม่สามารถไม่สนใจได้ เพื่อที่จะถอนพิษครั้งนี้ พวกเขาคาดว่าคงจะเอายาสมุนไพรก้นหีบเบิกจ่ายออกมาจำนวนไม่น้อย
วันนี้ มู่ชิงเกอก็ได้มาถึงใกล้ๆ กับเมืองวั่นเฟิง ไกลออกไปก็สามารถมองเห็นกำแพงเมืองวั่นเฟิงได้รางๆ ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างสีดำสายหนึ่งมาปรากฏตัวต่อ หน้านาง ขวางทางไปของนางเอาไว้
พอมองเห็นคนที่มาได้ชัด นางก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว “เป็นเจ้า?”
กู่หยาเงยหน้าขึ้นกล่าวกับนาง “นายน้อย นายท่านเรียนเชิญขอรับ”
ซือมั่วก็มารึ?
คิ้วของมู่ชิงเกอก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก
แต่นางก็ยังคงตามกู่หยาจากไป
เดินมาได้สักพัก กู่หยาอยู่ๆ ก็กล่าวว่ากับนาง “นายน้อย ตั้งแต่ตอนที่ท่านหายตัวไปหลายวัน นายท่านก็เฝ้ารอท่านมาโดยตลอด วันคืนไม่ได้กินไม่ได้นอน ข้า น้อยติดตามนายท่านมาหลายปี แต่กลับไม่เคยเห็นเขาห่วงใยใครเช่นนี้มาก่อน”
‘รอข้า?’
มู่ชิงเกอชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง มองไปทางกู่หยา ‘ทำไมจะต้องรอ? หรือว่าซือมั่วจะรู้เรื่องช่องว่างของนางตั้งแต่แรกแล้ว?’ มู่ชิงเกอพลันเกิดความคิดสายหนึ่งเปล่งแสง วาบขึ้นมา
แต่ไม่ทันไรนางก็พลันเข้าใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรก แผ่นป้ายที่ซ่อนช่องว่างเอาไว้ก็เป็นซือมั่วที่บอกกับนาง เขาสามารถเดาถึงมันได้ก็จะมีอะไรแปลกกัน?
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปถามว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงรู้ว่านาง ‘หายตัวไป’ แต่เป็นนึกถึงคำกล่าวประโยคนั้นของกู่หยา ที่ว่า ‘แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นเขาห่วงใยใครเช่นนี้มาก่อน’
ไม่รู้ว่าทำไมในใจของนางอยู่ๆ ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาจางๆ เหมือนกับมีคนใช้เปลวไฟมามอบความร้อนให้แก่นางอย่างทะนุถนอมอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างที่ตกอยู่ในความคิด มู่ชิงเกอก็ตามกู่หยามาถึงริมบ่อนํ้าแห่งหนึ่ง
รอบด้านล้วนแต่ขึ้นเต็มไปด้วยไม้ไผ่สีเขียวหยก ตรงกลางบ่อนํ้ามีศาลาตั้งอยู่หลังหนึ่ง ทิวทัศน์งดงามเสียจนผู้คนรู้สึกหลงใหล มู่ชิงเกอก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทิวทัศน์ที่นี่ก็ราวกับไม่ได้ถูกฝนพิษเข้าปนเปื้อนอย่างไรอย่างนั้น ยังคงไว้ซึ่ง ความสดชื่นและบริสุทธิ์
แน่นอนนางก็ไม่ได้เปิดปากถามออกไป เพราะว่าไม่ทันไรนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าด้วยความสามารถของซือมั่ว ความแปลกประหลาดตรงหน้าก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอะไร
กู่หยาหยุดเท้าลงก่อนจะหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “นายท่านกำลังรอนายน้อยอยู่ที่ศาลากลางนํ้าขอรับ”
พอกล่าวจบเขาก็หายวับไป
มู่ชิงเกอมองไปทางศาลากลางนํ้า แผ่นหลังสีขาวสะอาด ก็กำลังหันหลังให้นางคล้ายกับว่ากำลังก้มหน้าก้มตาดีดพิณ
เสียงพิณบางเบาดังกังวานไปทั่วผืนนํ้า ก่อให้เกิดเป็นวงกระเพื่อมขึ้น
“มานี่” คำธรรมดาสองคำราวกับสายลมเย็นพัดโชยเข้ามาที่หูของมู่ชิงเกอ ทำเอานางอดไม่ได้ที่จะเชื่อฟังคำกล่าวของเจ้าของเสียง ก้าวเท้าเดินไปยังศาลากลางนํ้า
จนกระทั่งนางเดินมาถึงด้านหลังของชายหนุ่ม ในตอนที่อยู่ใกล้กับเขาแค่เพียงคืบ นางถึงค่อยหลุดจากภวังค์ตื่นขึ้นมา
เสียงพิณพลันหยุดชะงักลง
สายพิณส่งเสียง ‘ตึง ตึง’ บาดแก้วหู ราวกับว่าในจิตใจของคนที่กำลังบรรเลงเพลงพิณกำลังเกรี้ยวกราด
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากแน่นสนิทไม่กล่าววาจา
หนึ่งคือไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สองในใจของนางมีเสียง เสียงหนึ่งกำลังบอกนางว่าเวลานี้ไม่ต้องกล่าววาจาจะดีที่สุด ความเงียบคือการเอาชนะทุกสิ่ง
ทันใดนั้นเอง นางก็เห็นแขนเสื้อสีขาวสะอาดสายหนึ่ง พลิ้วไหวขึ้นเบาๆ พร้อมกันนั้น พิณโบราณในมือของชายหนุ่มก็พลันถูกโยนไปทางบ่อน้ำ
เสียงสายนํ้าสาดกระจายก็มาอย่างกะทันหันนัก ทำลายความเงียบสงบของบ่อนํ้าลง
มู่ชิงเกอในใจตื่นตระหนก ตอนนี้ก็แน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังโมโห
แต่ว่าเขาทำไมต้องโมโหด้วย
มู่ชิงเกอในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ ทันใดนั้นเองซือมั่วก็พลันพลิกหมุนกาย หมื่นเขาหมื่นแม่น้ำก็ไม่อาจเทียบกับความงามบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาได้ สายตาคู่นั้นรุกลํ้าเข้าไปในม่านสายตาของนางอย่างไม่หลีกหนี นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นของเขา จ้องมองมาที่นางด้วยแววตาที่แฝงไว้ความกรุ่นโกรธและความรู้สึกสลับซับซ้อนอยู่รางๆ
ในชั่วพริบตา แรงดึงดูดอันกล้าแกร่งสายหนึ่งก็พลันดึงรั้งมู่ชิงเกอ ทำเอานางถูกดึงไปตรงหน้าซือมั่วอย่างบังคับตัวเองไม่ได้
ระยะห่างที่แนบชิดกันเช่นนี้ก็ใกล้เสียจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน ทั้งยังมีความรู้สึกแปลกๆ อันคุ้นเคยนั่นอีก แล้วก็ยังสามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของฝ่ายตรงข้าม
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอพลันเบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากเม้มสนิทเข้าหากัน
นางก็ไม่อยากให้ชายตรงหน้ารู้ว่าหัวใจของนางอยู่ๆ ก็เต้นเร็วขึ้น
ในแววตาทอแววดื้อรั้นขึ้นรางๆ ทำการสบตากับซือมั่ว
ซือมั่วยื่นมือออกมา นิ้วมือเรียวยาวของเขาก็ขยับมาทางสาบเสื้อของนาง
มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองสมควรที่จะขัดขวาง แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย
ชั่วขณะนั้นเอง นิ้วมือของซือมั่วก็ได้เลิกเปิดสาบเสื้อของนางออก ปลายนิ้วที่มีไอเย็นอยู่รางๆ ลูบไล้ไปบนผิวคอของนาง ทำเอาเส้นขนของนางลุกชันขึ้นมา
ความรู้สึกเช่นนั้นก็มาได้รวดเร็วและก็จากไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ปลายนิ้วของซือมั่วเกี่ยวสร้อยสีทองขึ้นมา ใช้แรงดึงมันน้อยๆ อัญมณีที่เกิดจากการควบรวมเม็ดเลือดของเขา พลันปรากฏขึ้นที่หว่างนิ้วของเขา
พอเห็นถึงอัญมณีสีเลือดเม็ดนั้น ความทรงจำของมู่ชิงเกอก็พลันย้อนกลับไปยังฉากภาพในอดีต
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้ความทรงจำของนางกลับมาดี ก็ได้ยินนํ้าเลียงอึมครึมและเย็นชาของซือมั่วดังขึ้นมาก่อน “ยังใส่เอาไว้อยู่ ก็ยังถือว่าเชื่อฟังกันอยู่บ้าง”
คำกล่าวประโยคนิ้ก็กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นในใจของมู่ชิงเกอ
นางฝืนดิ้นออกจากการเกาะกุมของซือมั่ว ยกมือขึ้นไปจับสร้อยคอบนลำคอของตน
เพียงแต่ซือมั่วกลับยื่นนิ้วมือออกมารั้งมันเอาไว้ ก่อนจะกดอัญมณีสีเลือดลงไปแนบกับผิวคอของนาง กล่าวด้วยแววตาที่ห้ามปฏิเสธ “อย่าดื้อ ใส่ซะ มีแต่ผลดี”
มู่ชิงเกอก้าวถอยออกไปก้าวหนึ่ง ให้ร่างกายของตัวเองเขยิบออกจากปลายนิ้วของซือมั่ว
นางดึงสาบเสื้อของตัวเอง แววตากระจ่างใสจ้องมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้า “ทำไมท่านถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?”
ซือมั่วหลุบตาลง แพขนตายาวสั่นไหวบางเบา บดบังแววตาในดวงตาของเขาเอาไว้ใต้ขอบตาของเขา ปรากฏเป็นเงาทอดยาวลงไปสองแถว “สัมผัสได้ว่า เสี่ยวเกอเอ๋อร์มีอันตราย ข้าก็เลยมา”
มู่ชิงเกอแสร้งถามขึ้นลองเชิง “กู่หยาบอกว่าท่านรอมาแล้วหลายวัน เช่นนั้นก็กล่าวได้ว่าหลังจากท่านสัมผัสได้ว่าข้าหายตัวไปก็มาถึงแคว้นหรงแล้ว เรื่องที่เกิดที่แม่นํ้าไร้พรมแดนก็เป็นท่านที่ทำรึ? ฝนพิษนั้นเป็นท่านที่ทำใช่หรือไม่?”
ซือมั่วไม่ได้กล่าวปฏิเสธ เพียงแต่ค่อยๆ เงยตาคู่นั้นขึ้น
ในแววตาคู่นั้น มีแววเย็นชาและอำมหิตที่มู่ชิงเกอไม่เคยพบมาก่อน “คนของแคว้นหรงคิดอยากทำร้ายเจ้า ข้าก็เลยให้คนของแคว้นหรงได้รับความทรมานที่เจ้าได้รับ พวกเขาถ้าหากกล้าสังหารเจ้า ข้าก็จะให้หมื่นล้านชีวิตในแคว้นหรงตกตายไปพร้อมกันกับเจ้า”
ไอเย็นยะเยือกสายหนึ่งไหลโชยขึ้นมาจากใต้เท้าของมู่ชิงเกอ