ตอนที่ 157-3
ระเบิดจวนเจ้าเมืองของเจ้าซะ!
ด้านนอกเมืองวั่นเฟิงทางเหนือ ห่างออกไปร้อยลี้
ภายนอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีลำแสงสะท้อนวาบขึ้น ก่อนจะมีร่างคนร่วงลงมาโดยไม่มีสาเหตุ กลิ้งเข้าไปในพื้นหิมะ สลบไสลไม่ได้สติ
ร่างในชุดสีแดงดูยับยู่ยี่เล็กน้อย สีหน้าซีดเซียว แต่กลับไม่ได้ทำให้ความงามนั้นน้อยลง เครื่องหน้ายังคงเห็นได้ว่างดงาม
เคล็ดวิชาฟ้าดินเป็นเคล็ดวิชาที่มู่ชิงเกอหาเจอในหอตำรายุทธ์ภายในช่องว่าง
ใช้เลือดเป็นตัวกระตุ้น พลังเป็นรอง เท่านี้ก็จะสามารถกระตุ้นการทำงานเคล็ดวิชาฟ้าดินได้โดยสุ่มส่งออกไปร้อยลี้ด้านนอก นี่เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอเห็นเป็นไพ่ตายในการรักษาชีพมาโดยตลอด และสิ่งที่ต้องเสียไปก็คือนางจะเสียพลังไปในช่วงเวลาสั้นๆ กลายเป็นคนที่ไม่มีพลังไปชั่วขณะ
ส่วนพลังจะฟื้นฟูได้เมื่อไหร่ นี่ก็ไม่อาจระบุได้แน่ชัด บางครั้งก็หลายวัน บางทีก็หลายเดือนหรือบางคราอาจจะเป็นหลายปี
เพราะฉะนั้น เคล็ดวิชาฟ้าดินจะเอาออกมาใช้ง่ายๆ ไม่ได้
แต่ครั้งนี้ เพื่อที่จะหนีจากการไล่ตามให้พ้น มู่ชิงเกอก็ยังคงใช้วิชานี้หนีออกมาจากเมืองวั่นเฟิง
การสังหารเฝิงคุนไห่เป็นเพียงผลพลอยได้ ชีวิตของเฮยมู่ นางต้องเอาให้ได้ในสักวัน
พลังของเฮยมู่สูงส่งกว่านาง ถึงจะบาดเจ็บแต่ก็ไม่สามารถสังหารได้ง่ายๆ แล้วอีกอย่าง มู่ชิงเกอต้องการใช้เคล็ดวิชาฟ้าดิน ต้องส่งพลังวิญญาณเข้าไปทั้งหมด หากนางยังยืดเยื้อกับเฮยมู่ก็อาจทำให้เคล็ดวิชาล้มเหลวได้
เพราะฉะนั้นมู่ชิงเกอจึงยังไม่ได้หมายจะสู้ตาย เพียงแต่โจมตีเฮยมู่ก่อนจะจากมาครั้งหนึ่ง ให้เขาเหลือบาดแผลติดร่างไว้ก่อนจะออกมา
นอกเมืองวั่นเฟิงไปทางเหนือร้อยลี้ เป็นเขตพื้นที่ ที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมไปทั่ว
ยอดเขาหิมะเรียงรายสุดตา มีหิมะตกตลอดปี
ที่นี่แห่งเดียวที่มีคนอยู่ ก็คือหุบเขาสงบใจ
เกล็ดหิมะลูกใหญ่เบาราวกับขนห่าน ร่วงลงบนร่างมู่ชิงเกอ ทับถมท่วมปิดร่างและใบหน้านางไว้ห่อหุ้มนางไว้จนกลายเป็นมนุษยหิมะ มีเพียงปลายจมูกโผล่ออกมา
บางครั้ง อาจเป็นเพราะความร้อนจากลมหายใจ ทำให้หิมะละลาย
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอใช้เคล็ดวิชาฟ้าดิน พลังโดนใช้ไปจนหมดจนสลบไป
ค่ำคืนค่อยๆ ผ่านไป ประกายแสงสีขาววาววับไปทั่วบริเวณพื้นหิมะ ฟ้าพลันสว่างขึ้นมา
ขบวนคนและม้าเดินมาจากที่ไกลๆ ค่อยๆ เคลื่อนมาใกล้ร่างมู่ชิงเกอที่นอนสลบอยู่ หากผ่านเส้นทางนี้ไป ก็จะสามารถไปถึงหุบเขาสงบใจที่สร้างบนชะง่อนผาได้
ทันใดนั้น ขบวนรถก็หยุดไม่ห่างจากมู่ชิงเกอมากนัก มีเสียงอ่อนหวานดังขึ้นจากในเกี้ยวเพียงหลังเดียวในขบวน “ทำไมถึงหยุดลงเสียเล่า?”
“นายหญิงน้อย เหมือนในกองหิมะจะมีคนอยู่” ภายนอกเกี้ยว สาวใช้ที่สวมเสื้อคลุมกันหิมะ เอี้ยวตัวหันไปตอบ
คนในเกี้ยวเงียบไปชั่วครู่ จึงได้เอ่ยว่า “วันนี้ในหุบเขาสถานการณ์ไม่กระจ่าง พวกเราไม่ควรสร้างเรื่องขึ้นมาอีก”
“เจ้าค่ะ นายหญิงน้อย” สาวใช้หลุบตาตอบรับ
ในฐานะที่เป็นสาวใช้ติดตามนายหญิงน้อย นางย่อมเข้าใจถึงเหตุผลที่นายหญิงน้อยไม่อยากจะยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ขบวนรถเริ่มเดินทางอีกครั้ง ผ่านร่างมู่ชิงเกอราวกับนางเป็นเพียงหิมะกองหนึ่งเท่านั้น
“ช้าก่อน” ในขณะที่ขบวนจะเคลื่อนพ้นมู่ชิงเกอไปจนไกล ภายในเกี้ยวก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้น
สาวใช้ที่นั่งบนหลังม้าอยู่ใกล้หน่อย จึงเอ่ยถามว่า “นายหญิงน้อย มีเรื่องใดจะสั่งหรือเจ้าคะ?’’
เพียงครู่ เสียงชวนฟังของสตรีก็ดังขึ้นอีก “ยังมีสำนวนที่ว่าช่วยชีวิตคนครั้งหนึ่ง ได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น พาเขาไปด้วยเถอะ กลับถึงหุบเขาก็ค่อยให้ท่านหมอดูอาการ รอเขาตื่นแล้ว ก็ค่อยส่งกลับไป”
“เจ้าค่ะ นายหญิงน้อย” สาวใช้ตอบรับ ก่อนจะกำชับให้องครักษ์เดินไปที่มู่ชิงเกอ ยามนี้ ม่านคลุมเกี้ยวหลังงามมีมือเรียวยาวยื่นมาเลิกเปิดขึ้นจนมีช่องเล็กๆ คนที่อยู่ในเกี้ยวกำลังมองไปที่ร่างของมู่ชิงเกอที่สลบอยู่
องครักษ์สองนาย เดินไปที่กองหิมะ คุกเข่าลงกับพื้น ค่อยๆ ใช้มือปัดหิมะออก เผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาของมู่ชิงเกอ
ร่างในชุดคลุมแดงกำมะหยี่ ดูสะดุดตาชัดเจนในกองหิมะ
เมื่อใบหน้างดงามซีดเซียวของนางปรากฏขึ้น องครักษ์สองคนก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งชะงักไปครู่ในดวงตามีแววตกตะลึง
ยังดีที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด หลังการตกตะลึงในระยะสั้นๆ แล้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติ แบกมู่ชิงเกอออกมาจากกองหิมะ
ม่านผ้าโปร่งที่คลุมเกี้ยวไม่รู้ว่าเลื่อนปิดลงเมื่อไหร่
ได้ยินเพียงเสียงสาวใช้เอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้หน้าตาคมสัน ผู้น้อยโตมาจนขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครรูปงามเช่นนี้ ไม่รู้ว่านอนในกองหิมะมานานเท่าไหร่ จะช่วยให้รอดได้หรือไม่”
“แบกเขาขึ้นมาเถอะ” เสียงพูดพลันดังขึ้นมาจากในเกี้ยว สาวใช้ตกตะลึง ก่อนจะหันมองไปทางเกี้ยว “นายหญิงน้อย ชายหญิงมีความต่าง จะให้บุรุษแปลกหน้าเข้าไปในเกี้ยวได้อย่างไร? หากท่านเจ้าหุบเขารู้เข้า ข้ามีกี่ชีวิต ก็ไม่พอให้ท่านระบายโทสะ”
“พาเข้ามาเถอะ ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้า ต้องคำนึงถึงธรรมเนียมแปลกประหลาดให้วุ่นวายไปทำไม เจ้าเองก็บอกว่าไม่รู้ว่าเขาสลบไปนานเท่าไหร่ หากให้เขาโดนลมภายนอกมากไป ก็ไม่เป็นการเพิ่มนํ้าแข็งบนพื้นหิมะหรือ? หากเป็นเช่นนี้ ยังไม่สู้ปล่อยให้เขาอยู่ในกองหิมะต่อไป ไม่ช่วยเสียก็แล้วไป” ใครจะรู้ว่า คนในเกี้ยวยังคงดึงดัน
สาวใช้ไม่ได้เถียงต่อ แต่ทำเพียงส่งตัวเขาเข้าไปในเกี้ยว
นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง เพื่อเป็นการปกป้องเกียรติของเจ้านายตน สาวใช้ถอดเสื้อคลุมของตนออกมุดเข้าไปในเกี้ยว
“นายหญิงน้อย” สาวใช้มองหญิงที่นั่งพับขาในเกี้ยว คลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง โผล่มาเพียงดวงตาคู่งามของสตรีสาว
หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองอ่อน บนลำคอมีผ้าคลุมหนังป้องกันความหนาว ผ้าคลุมหน้าทำให้ใบหน้านางปรากฏรางเลือน แต่หากฟังเพียงเสียง แล้วยังดวงตาคู่นั้น ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นสาวงามที่ยากจะหาคนเทียบได้
เมื่อมู่ชิงเกอโดนแบกขึ้นมาก็นอนอยู่ตรงหน้านาง
สายตานางกวาดจับจ้องทั่วร่างมู่ชิงเกอ เมื่อพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็มีทั้งความสงสัยและความตกใจปรากฏขึ้นในแววตา แน่นอนว่าเป็นดังที่สาวใช้เอ่ยไว้นางไม่เคยเห็นใครที่งดงามเช่นนี้มาก่อน หน้าตาสง่างามหมดจด ราวกับจะทำ ให้สีสันทั้งโลกต้องซีดเซียวลงไป
พลันนางก็มีความสงสัย สงสัยว่าหากชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา จะเป็นภาพงดงามอย่างไร ชายหนุ่มผู้นี้จะมีดวงตางดงามเช่นไร?
“ปลดชุดคลุมข้าออกมาคลุมให้คุณชายท่านนี้” นางหันไปสั่งสาวใช้
สาวใช้รับคำ หยิบเอาเสื้อคลุมหนังสัตว์คลุมลงร่างมู่ชิงเกอ
ภายในเกี้ยว มีอากาศอบอุ่นที่อวนไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของร่างสตรี
ความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาโดยฉับพลัน ไล่ความเย็นไปจากร่างมู่ชิงเกอ ทำให้แขนขานางที่แข็งไป ค่อยๆอ่อนนุ่มคืนมาดังเดิม
เพียงแต่ว่า นางยังคงไม่ได้สติ
เมื่อเดินทางไปตามเส้นทางที่มีหิมะปกคลุม หุบเขาสงบใจที่ตั้งอยู่ด้านหลังชะง่อนผา ในที่สุดก็ปรากฏให้เห็นในสายตา
ขบวนรถม้าเข้าสู่กลางหุบเขาได้อย่างราบรื่น
สิ่งที่ต่างจากโลกภายนอกก็คือภายในหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้แต่อุณหภูมิก็ยังสูงกว่าภายนอก หากโลกภายนอกคือฤดูหนาว ที่นี่ก็อบอุ่นราวต้นฤดู ใบไม้ผลิ ชวนให้คนตื่นตัว
มู่ชิงเกอถูกส่งเข้าไปในห้องพักแขกของหุบเขา เมื่อถูกวางลงบนเตียงนางก็ตื่นขึ้นมา ขนตางอนยาวมีหยดนํ้าเล็กๆ นั่นเป็นหยดนํ้าที่เหลือมาจากหิมะที่เกาะบนขนตา เมื่อภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น นางถึงได้พบว่าตนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย