Skip to content

พลิกปฐพี 157-4

ตอนที่ 157-4

ระเบิดจวนเจ้าเมืองของเจ้าซะ!

“พวกเจ้าดูแลเขาให้ดี เชิญท่านหมอประจำหุบเขามาช่วยดูอาการคุณชายท่านนี้ด้วย ขาดเหลืออะไรก็ไปแจ้งนายหญิงน้อย” เสียงสตรีดังแว่วเข้ามา เมื่อนางหันมองตามเสียงไป ก็เห็นเข้ากับแผ่นหลังของสาวใช้ที่ติดตามนายหญิงน้อยคนนั้น

“ที่นี่คือที่ไหน?” มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้ว มือกุมแน่นที่ข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น

พลัน ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังขึ้น “อ๊า พี่ไฉ่ เขาตื่นแล้ว!”

ไฉ่เวยหมุนกาย ก่อนจะเห็นว่ามู่ชิงเกอลุกขึ้นนั่งแล้ว

นางรีบหันไปเอ่ยกับสาวใช้สองนาง “ยังไม่รีบเข้าไปดูแลคุณชาย?”

สาวใช้สองนางเร่งรีบเดินเข้าไป หมายจะช่วยพยุงมู่ชิงเกอให้ลุกขึ้น แต่ว่ากลับโดนนางโบกมือปฏิเสธ

นางไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกนางคิดกัน

มู่ชิงเกอนั่งบนขอบเตียง หันไปมองไฉ่เวย

ไฉ่เวยเองก็เดินเข้ามา ก่อนจะมองสำรวจมู่ชิงเกออย่างถี่ถ้วนพลางเอ่ยชื่นชมในใจว่า ‘คุณชายท่านนี้เมื่อตื่นลืมตาขึ้นก็ยิ่งดูคมสันยิ่งกว่าเดิม’

“แม่นาง ที่นี่คือที่ไหน แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ไฉ่เวยได้สติ ดวงตาจับจ้องที่ร่างมู่ชิงเกอ ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ท่านรีบเอนกายนอนลงเสียก่อน ไม่รู้หรือว่าท่านสลบในกองหิมะไปเสียนาน ตื่นขึ้นมาก็ขยับตัวเสียแล้ว?”

กองหิมะ?

มู่ชิงเกอตกตะลึง พูดในใจว่า เคล็ดวิชาฟ้าดินจะส่งคนออกไปไกลถึงรัศมีร้อยลี้ ก่อนที่จะตัดสินใช้เคล็ดวิชา นางยังคิดว่าคงสุ่มส่งนางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองวั่นเฟิง เช่นนี้ก็จะใกล้ทะเลแห่งความอ้างว้างขึ้นมาอีกหน่อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาสุ่มๆ ของนาง ร้อยลี้นอกเมืองวั่นเฟิง มีหิมะที่ไหนกัน? พลันนางก็เงียบไป ทำให้ไฉ่เวยหันกลับมามอง ก่อนจะเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “นี่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ร่างกายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ข้าจะไปตามหมอให้เดี๋ยวนี้”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่าก็ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือ”

“คนที่ช่วยท่านไม่ใช่ข้า เป็นนายหญิงน้อยของพวกเรา” ไฉ่เวยเอ่ยยิ้มๆ

นางเอ่ยยิ้มแย้ม นางยังคงเอ่ยต่ออย่างเป็นกังวล “ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านนอนในหิมะมานานแค่ไหนแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ต้องไม่ดีกับร่างกายท่านแน่นอน นายหญิงน้อยสั่งไว้แล้วว่าหากต้องการสิ่งของในการรักษาก็อนุญาตทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สู้ให้ท่านหมอมาดูจับชีพจรให้ก่อน”

“ไม่จำเป็นแล้วจริงๆ ข้าเองก็เป็นหมอ” มู่ชิงเกอบอกปัดอีกครั้ง พลางปลอมสถานะขึ้นมาอีก

ความจริงก็ไม่ใช่ว่าเอ่ยมั่วๆ ไป นางเป็นถึงผู้อาวุโสของโรงโอสถ เมื่อเทียบกับหมอชาวบ้านภายนอกแล้วนางไม่รู้ว่าเก่งกาจมากกว่าเท่าไหร่

ปัญหาของนางก็คือพลังวิญญาณนั้นใช้การไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างไร

อย่าว่าแต่นอนในกองหิมะสักครู่ ต่อให้นอนสักหลายปี ก็ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่หล่อหลอมขึ้นใหม่ภายในร่างกายของนาง

“ท่านเป็นหมอ!” ไฉ่เวยเอ่ยอย่างตกใจ

มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ ก่อนจะพยักหน้า ไฉ่เวยมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาสำรวจตรวจตราอีกครั้ง หนึ่งคือค่อนข้างแปลกใจกับสถานะของนาง สองคือก็เห็นว่านางเองก็ไม่ได้มีปัญหา

เพียงครู่ นางก็พยักหน้าอย่างยอมจำนน “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อท่านเองก็เป็นหมอ ข้าก็ไม่ต้องกังวลให้มากความ” พูดพลางนางก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ที่นี่คือหุบเขาสงบใจที่อยู่ทางเหนือของเมืองวั่นเฟิง ท่านพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่เถอะ หากขาดเหลือสิ่งใดก็บอกกับพวกนางสองคนได้ ข้าต้องไปปรนนิบัตินายหญิงน้อยแล้ววันหลังจะมาใหม่ อีกอย่างห้องพักรับรองในหุบเขาของเรามีนํ้าพุร้อนทุกห้อง หากท่านรู้สึกหนาว หรืออยากขับไล่ความเย็นออกจากร่าง ก็ไปแช่ก็ได้” พูดจบนางก็ค้อมกายให้มู่ชิงเกอ ก่อนจะหันไปกำชับสาวใช้อีกสองนาง แล้วเดินจากไป

“ช้าก่อนแม่นาง” มู่ชิงเกอเพิ่งได้รู้ว่าตนอยู่ที่ใด นางจึงเรียกไฉ่เวยไว้ “ในเมื่อข้าได้รับการช่วยเหลือจากนายหญิงน้อย เมื่อได้สติขึ้นมาก็ควรไปขอบคุณเสียหน่อย”

ถึงแม้นางจะลงมือรุนแรงแต่เรื่องบุญคุณความแค้นนางก็แยกแยะได้

ไม่ว่านางอยากจะให้ช่วยหรือไม่ แต่ในเมื่อคนเขาช่วยนางไว้ด้วยความหวังดี นางก็ควรขอบคุณ

เป็นคน ก็ควรมีแนวคิดที่เที่ยงตรง!

ทันใดนั้น ไฉ่เวยเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “นายหญิงน้อยเพิ่งกลับมาวันนี้ ยังต้องไปพบท่านเจ้าหุบเขา เกรงว่าจะไม่มีเวลามาพบท่าน ท่านก็พักผ่อนไปก่อนสักหลายวันเถิด รอให้นายหญิงน้อยว่างแล้ว ข้าก็จะมาแจ้งท่านเอง จริงด้วย ยังไม่ทราบชื่อคุณชายเลย แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

การร้องเรียกของมู่ชิงเกอ เป็นการเตือนให้ไฉ่เวยนึกได้ว่า ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้ถาม

มู่ชิงเกอยิ้ม ทำให้ทั่วห้องดูสว่างขึ้นมาทันตา สาวใช้วัยแรกรุ่นสองนางมองตามตาลอยเคลิ้ม ไฉ่เวยเองก็ชะงักไปชั่วขณะ รอยยิ้มของมู่ชิงเกอทำให้นางลืมตัวไปชั่วขณะ “ข้าแซ่มู่ ชื่อตัวเดียวว่าเกอ ออกจากบ้านมาฝึกวิชา แต่กลับหลงทาง แล้วมาถึงพื้นที่หุบเขาสงบใจโดยไม่ตั้งใจ”

“ที่แท้ก็คือคุณชายมู่” ไฉ่เวยเมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้วจึงได้หมุนกายจากไป

หลังจากไฉ่เวยออกไปแล้ว แววตาของมู่ชิงเกอก็เลื่อนไปมองที่สาวใช้ทั้งสองนาง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเป็นมิตรให้พวกนาง “ข้าหิวแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสอง…”

“อ๊ะ! คุณชายมู่หิวแล้วหรือเจ้าคะ? ข้าจะไปเตรียมสำรับให้เดี๋ยวนี้”

“คุณชายมู่รอสักครู่ ข้าจะไปรินชามาให้ แล้วยังมีเสื้อผ้าสะอาด…”

สาวใช้สองนางวิ่งวุ่นขึ้นมาจนแทบจะชนกันเอง พวกนางแย่งกันพูดจนกลายเป็นตัดบทมู่ชิงเกอ ทำให้นางอดหัวเราะไม่ได้

สาวใช้สองนางแห่งหุบเขาสงบใจ ถึงแม้จะล้นๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่ก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ไม่นาน ก็นำเสื้อผ้าและอาหารร้อนๆ ชาอุ่นๆ ยกเข้ามาให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอไม่ได้เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่พวกนางเตรียมให้ เหตุผลหลักคือนางไม่ชินกับการสวมเสื้อผ้าของคนอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นของใหม่ก็ตาม

อีกอย่าง เสื้อผ้าของนางในช่องว่างก็ยังมีอีกมาก แล้วทำไมยังจะต้องไปสวมของคนอื่นอีกเล่า?

เพราะฉะนั้น นางจึงได้แต่ดื่มชาและกินอาหารอุ่นๆ

เมื่อรอจนท้องไม่หิวโหยแล้ว จึงได้ยกกาเหล้าขึ้นบอกกับสาวใช้ทั้งสองว่า ตนอยากจะแช่นํ้าพุร้อน อย่าได้เข้ามารบกวน จึงได้เดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ด้านหลังห้องพัก ห้องเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้ปิดตายแน่นสนิท รอบด้านใช้ไม้ตีกั้นสายตาคนภายนอก ด้านบนมีเพียงหลังคาปิด โล่งไว้ตรงบ่อน้ำพุเป็นทรงกลม รอบข้างปูด้วยหินกลมทรงไข่ห่าน ไอความร้อนจากนํ้าพุร้อนพวยพุ่งขึ้นเป็นไอ ภูเขาหิมะขาวโพลนมองเห็นได้จนสุดตา ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ชวนให้มู่ชิงเกอคิดถึงโรงแรมน้ำพุร้อนในชาติก่อน แต่ว่าโรงแรมเหล่านั้นกลับไม่ค่อยมีวิวหิมะ

เมื่อถอดเสื้อผ้าออกไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เข้าไปในบ่อน้ำพุร้อน

นํ้าพุร้อนในบ่อปิดขึ้นมาถึงบริเวณต้นคอนาง ปิดบังเรือนร่างไว้จนหมด

ยกมือจับที่ริมขอบสระ มู่ชิงเกอยกกาเหล้าขึ้นก่อนจะเทลงปากตนเองไปหนึ่งอึก

เหล้าร้อนแรงลงสู่กระเพาะ เมื่อบวกกับความร้อนของนํ้าพุ ทำให้ร่างของนางไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย

ไอความร้อนของนํ้าพุทำให้ผิวของนางดูเปล่งปลงขึ้น ผิวซีดขาวเริ่มมีสีเลือดฝาดซับขึ้นมาจางๆ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมา

นางหลับตาผ่อนคลาย ราวกับกำลังสบายใจในการแช่นํ้าพุร้อน

แต่ในความเป็นจริง นางกำลังเคลื่อนไหวพลังเวท

“เป็นดังที่คาด!” มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มุมปากยิ้มขื่นๆ ภายในร่างนางโล่งว่างไม่มีสิ่งใด พลังของเคล็ดวิชาฟ้าดินที่แข็งแกร่งนั้นกดทับพลังนางไปจนหมดสิ้นไม่เหลือเลยแม้แต่น้อย!

“พลังเวทจะฟื้นฟูได้เมื่อไหร่?’’ มู่ชิงเกอถามในสิ่งที่ตนเองก็ตอบไม่ได้

นางหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเข้าสู่การฝึกฝน หลังจากโคจรพลังไปทั่วร่างรอบหนึ่งแล้ว มันก็สลายไป ภายในร่าง พลังของนางไม่เหลือแม้เพียงจุดเดียว

นางลืมตาอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “แม้แต่พลังที่เก็บไว้ตอนฝึกก็ไม่เหลือ อาการข้างเคียงนี่รุนแรงเหลือเกิน!”

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องฝึกตนต่อไป ก็คงไม่มีผลเสียอะไร!” มู่ชิงเกอพูดกับตัวเองในใจ ก่อนจะปิดตาลงมุ่งมั่นฝึกฝนอีกครั้ง

ผ่านไปสองชั่วยาม ในขณะที่สาวใช้ทั้งสองคนนึกว่ามู่ชิงเกอแช่นํ้าจนสลบจนเกือบจะบุกเข้าไปแล้ว นางก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เดินออกมา

การฝึกฝนสองชั่วยาม ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกว่ามีพลังเข้าร่างมาเลยสักนิด

พลังของนางก็โล่งว่างเช่นกัน

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางตระหนกตกตื่น หนึ่งคือนางรู้ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการใช้เคล็ดวิชาฟ้าดิน สองคือแม้นางจะไม่มีพลังวิญญาณแต่นางก็มีความสามารถใน การดูแลตนเอง

หุบเขาสงบใจแม้จะทำให้คนรู้สึกสงบไม่ดิ้นรนแย่งชิง แต่ก็ไม่ควรอยู่นาน มู่ชิงเกอไม่มีกะใจจะรอจนพลังฟื้นฟู แล้วค่อยเดินทางไปสมทบกับมั่วหยาง ซางจื่อซูที่ทะเลแห่งความอ้างว้าง

เพราะฉะนั้น มู่ชิงเกอวางแผนไว้ว่า พรุ่งนี้หาโอกาสเหมาะๆ ไปขอบคุณนายหญิงน้อยต่อหน้าแล้วก็จะจากไปเสีย

หุบเขาสงบใจ ตั้งอยู่บนชะง่อนผา ป้องกันง่ายโจมตียาก แต่คนในแผ่นดินกลับน้อยนักที่จะรู้ว่าเจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาสงบใจทุกรุ่นล้วนเป็นสตรี

ตำแหน่งประมุขแห่งหุบเขาสงบใจมีเพียงสตรีที่มีสิทธิ์สืบทอด แต่ถ้าหากประมุขให้กำเนิดทายาทเป็นชาย รอจนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องออกจากหุบเขาไป

ยามนี้ในตำหนักใหญ่กลางหุบเขาสงบใจ แม่ลูกคู่หนึ่งกำลังทะเลาะทุ่มเถียงกัน

“ท่านแม่ หากใช้ท่านแลกกับความสงบปลอดภัยของหุบเขา ข้าก็ยอมจะทำลายหุบเขาแล้วสู้ตายกับเจ้าโจรแซ่วั่นนั้น!” สตรีที่เอ่ยคำนั้นมีผ้าโปร่งคลุมหน้า รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร นํ้าเสียงของนางแน่วแน่ ไม่ยอมรับการโต้แย้งใดๆ

และคนที่นั่งในตำแหน่งประธานกลางตำหนัก เกล้าผมมวยสูง เป็นสตรีสาวที่งดงามสง่า ถึงแม้สีหน้าจะผ่อนคลายแต่ก็ไม่อาจปิดบังความกังวลในแววตาได้

คำพูดของลูกสาวทำให้นางรู้สึกคลายใจ แต่ก็อดจะห้ามปรามไม่ได้ “เจี้ยงเสวี่ย หุบเขาสงบใจไม่ควรมาโดนทำลายในมือของข้า เจ้าเป็นนายหญิงน้อย ก็ต้องรู้ถึง ความลับในการมีอยู่ของหุบเขาสงบใจ เพราะฉะนั้นอย่าได้ทำตามแต่ใจตน”

กงเจี้ยงเสวี่ยส่ายหน้าเอ่ยว่า “เพื่อปกป้องความลับนี้ข้าต้องเสียสละท่านแม่ของตนไปหรือ? ข้าไม่มีพ่อแล้ว หากไม่มีแม่อีก ข้าจะยังมีชีวิตไปเพื่ออะไร?”

“เจี้ยงเสวี่ย!” หญิงงามตวาดขึ้น นางถลันลุกก่อนจะ ค่อยๆ นั่งลงไปอีกครั้ง

เพียงครู่นางก็โบกมือเรียกกงเจี้ยงเสวี่ยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี มานี่ มาใกล้ๆ แม่”

กงเจี้ยงเสวี่ยยกกระโปรงขึ้นสูง ก่อนจะเดินก้าวขาเบาๆ ขึ้นบันไดทีละขั้นๆ จนมาถึงข้างกายผู้เป็นมารดา

หญิงงามมองนางด้วยแววตารักใคร่ ราวกับมองเท่าใดก็ไม่พอ นางเอ่ยกับกงเจี้ยงเสวี่ยว่า “มา มานั่งข้างๆ แม่ เหมือนตอนทีเจ้ายังเล็กๆ”

กงเจี้ยงเสวี่ยเข้าไปนั่งตามที่นางเอ่ย นางนั่งอยู่ที่บันไดข้างๆ ฝ่าเท้าของมารดา ก่อนจะซบศีรษะลงที่หัวเข่าของผู้เป็นมารดา

หญิงงามใช้มือลูบผมให้นาง ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “เจ้า จำไว้ว่าผ้าคลุมหน้าของเจ้าจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อพบคนที่พึงใจ ดูแลตัวเองให้ดีเพื่อหุบเขาสงบใจและเพื่อแม่ด้วย”

กงเจี้ยงเสวี่ยรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เงยหน้าอยากจะเอ่ยอะไร แต่ก็รู้สึกเพียงดวงตาดับมืดไป สลบลงที่ตักของมารดา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version