ตอนที่ 160-4
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ รอเจ้าอยู่นะ ปล่อยชายผู้นั้นซะ
เรือที่ล่องอยู่บนทะเลแห่งความอ้างว้างแล่นไปช้าๆ ทันใดนั้นภายในห้องของมู่ชิงเกอก็เกิดประกายแสงสีทอง หลังจากแสงสีทองจางหายไป มู่ชิงเกอก็ดีดตัวจากเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
บนใบหน้านางยังคงมีร่องรอยของความไม่อยากจะเชื่อ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่น เอ่ยกับตนเองว่า “นี่มันจินตนาการของข้า เป็นความในใจของข้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้! ทั้งหมดนั้นเป็นของปลอม เป็น
ภาพที่วาดออกมาจากในใจของข้าเท่านั้น”
นางยอมรับแล้ว ยอมรับว่าในใจของนางมีซือมั่วอยู่ ยอมรับว่าปีศาจเฒ่าพันปีน่าตายผู้นั้นทำให้นางใจเต้น แต่ก็เพียงแค่นี้ แต่ว่าในจินตนาการ ประโยคที่ซือมั่วในจินตนาการพูดออกมาหมายความว่าอย่างไร? ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอรู้สึกว่านั้นไม่ใช่จินตนาการ แต่เป็นซือมั่วตัวจริง!
แต่ว่า นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
“นายท่าน?” คล้ายกับสัมผัสได้ถึงชีพจรอันไม่ปกติของมู่ชิงเกอหลังจากที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาจากแดนมายา หยินเฉินจึงส่งเสียงแสดงถึงความเป็นกังวลแว่วมา
เสียงนี้ดั่งฟางช่วยชีวิตให้มู่ชิงเกอคว้าเอาไว้ให้มั่น “หยินเฉิน มีผู้ใดสามารถเข้าไปในจินตนาการของคนอื่นได้หรือไม่?”
นางเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
หยินเฉินเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ยอมรับว่า “แน่นอนว่าทำได้ มิใช่ว่าข้าก็เคยเข้าไปในจิตนาการของนายท่านหรอกหรือ?”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยปฏิเสธ “นั่นเจ้าสร้างจิตสำนึกด้วยตนเอง เป็นผู้สร้างสภาพแวดล้อมตามความทรงจำของข้าให้ข้าเข้าไป ที่ข้าอยากถามก็คือ ใน จินตนาการของข้า เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนจริงๆ เข้าไปในนั้น? ข้าเข้าใจว่าคนผู้นั้นเป็นจินตนาการ แต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นตัวตนจริงๆของเขา?”
คำพูดของมู่ชิงเกอมีความเข้าใจยากอยู่บ้าง แต่หยินเฉินยังคงฟังรู้เรื่อง
ครั้งนี้มันเงียบขรึมไปนานกว่าเดิม คล้ายกับกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในสิ่งที่มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ มันถึงจะให้คำตอบแก่มู่ชิงเกอ “นอกเสียจากว่าคนผู้นั้นเก่งกาจมาก ควบคุมพลังแห่งกฎเกณฑ์บางอย่าง อีกอย่างคือเขารู้จักกลิ่นอายของนายท่าน สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายและตามเข้าไปในแดนมายา แต่ว่าคนประเภทนี้ในการรับรู้ที่สืบทอดมาตามสายเลือดของข้า โดยทั่วไปจะกล่าวขานเรียกกัน ว่าเทพ!”
เทพ!
มู่ชิงเกอตะลึง เกิดเป็นภาพซือมั่วลอยขึ้นมาในห้วงความคิด
เขาเก่งกล้าเพียงนี้ไม่คล้ายมหาเทพหรืออย่างไร?
“อะไรที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอาย?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ครั้งนี้หยินเฉินไม่ได้เงียบขรึมแต่อย่างใดแต่ให้คำตอบออกมาตรงๆ “เมื่อคนตกอยู่ในห้วงจินตนาการ กลิ่นอายจะมีการเปลี่ยนแปลง คนทั่วไปสัมผัสไม่ได้มีเพียงเทพเท่านั้นที่จับสัมผัสได้อย่างง่ายดาย”
มู่ชิงเกอในตอนนี้สงบสติลงมาแล้ว นางเอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงราบเรียบว่า “ถ้าเช่นนั้น หลังจากที่เทพเข้าไปในจินตนาการแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงการดำเนินเรื่องของจินตนาการได้หรือไม่?”
“ตามหลักการแล้วสามารถทำได้ เพราะเทพนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปได้อย่างมีสติสัมปชัญญะและเปลี่ยนแปลงจินตนาการได้ อย่างน้อยคือแค่ดัดแปลง อย่างมากคือสามารถเปลี่ยนแปลงจิตนาการทั้งหมด มอมเมาจิตใจเดิมของเรา” หยินเฉินกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเหนื่อยอยู่บ้าง ขอพักสักหน่อยก่อน” มู่ชิงเกอพูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
เสียงของหยินเฉินก็จางหายไปในห้วงความคิดของนาง
คำพูดของหยินเฉินยิ่งทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกอึดอัดขึ้นมา หากซือมั่วที่อยู่ในจินตนาการไม่ใช่จินตนาการของนาง เช่นนั้นสิ่งที่แดนมายาตอบโต้กลับมายังเป็นเรื่องจริงหรือไม่?
นับว่าเป็นจินตนาการของนางหรือว่าของซือมั่วกันแน่
เดิมทีมู่ชิงเกอคิดว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถมองเห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกอึดอัดและพันผูกอยู่ในใจ แต่กลับไม่คิดว่าจะทำให้นางยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก
รอนแรมอยู่บนทะเลแห่งความอ้างว้างเป็นครึ่งเดือนในที่สุดมองไปลิบๆ ก็เห็นท่าเรือที่แอบซ่อนอยู่
หลังจากนั้นสามวันมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ก็ลงจากเรือ ลงทะเบียนเข้าแคว้นกู่วู่
น่าจะเป็นเพราะว่าแทบไม่มีคนสามารถผ่านแม่นํ้าแห่งความอ้างว้างมาได้เลย ดังนั้นท่าเรือของที่นี่ถึงได้มีสภาพผุพัง หลังจากลงเรือแล้วมู่ชิงเกอก็เก็บเรือเข้าช่องว่าง พาทุกคนเข้าไปที่เมืองเจียงเฉิงเมืองหลวงของแคว้นกู่วู่
แคว้นกู่วู่ เป็นการคงอยู่ของแคว้นที่พิเศษที่สุดในแผ่นดินหลินชวน
ความพิเศษของมันไม่ใช่เพียงแค่ทิศใต้สุดมีทะเลแห่งทุกข์เป็นฉากกำบังของแผ่นดิน ยังเป็นเพราะว่าคนในแคว้นนี้มีสายเลือดของสัตว์อสูรเทวะที่อยู่ในท้องทะเล
เล่ากันว่า เมื่อนานมาแล้วคนของแคว้นกู่วู่ผูกสัมพันธ์กับร่างแปลงของอสูรเทวะในทะเลกลุ่มหนึ่ง ลูกหลานที่คลอดออกมาไม่เพียงแต่อยู่ในร่างมนุษย์ทั้งยังมีพลังบางส่วนของอสูรเทวะ
พวกเขามีความสามารถยิ่งใหญ่ พรสวรรค์สูงส่ง ก็คล้ายกับพวกเลือดผสมที่สมบูรณ์ที่มู่ชิงเกอพบเห็นในภพก่อน บุคลิกโดดเด่น ความเฉลียวฉลาดสูงลํ้า
เพราะสายเลือดพิเศษของพวกเขา ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างเหนือชั้น
พวกเขารักความสงบสุข ชอบที่จะอยู่ในแคว้นกู่วู่เท่านั้น น้อยครั้งที่จะออกมาเคลื่อนไหวภายนอก ยิ่งไม่ชอบการทำสงคราม
ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ปกครองของพวกเขาเป็นสตรี เป็นฮ่องเต้หญิง! สกุลเจียง! เป็นตระกูลเก่าแก่ มีพลังของเทพแห่งมนตรา เคารพสตรีเพศ
“ศิษย์น้องมู่ ได้ยินมาว่าสีตาของคนแคว้นกู่วู่ไม่เหมือนกับพวกเรา แม้แต่สีผมก็มีบ้างที่ไม่เหมือนกัน” ซางจื่อซูเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “อีกไม่นานพวกเราก็จะถึงเมืองเจียงเฉิง พอถึงเวลานั้นก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาตนเอง”
พูดแล้วนางก็กำชับมั่วหยาง “ก่อนหน้านี้ท่านอาหญิงบอกว่าจะมาท่องเที่ยวที่แคว้นกู่วู่ เจ้าลองดูว่านางได้เคยติดต่อกับองครักษ์เขี้ยวมังกรหรือกองทหารพันเพลิงแถวแคว้นกู่วู่หรือไม่ ดูว่าสามารถสืบข่าวนางได้หรือไม่?”
มั่วหยางรีบถ่ายทอดคำสั่งของมู่ชิงเกอลงไปอย่างรวดเร็ว
ประชาชนแคว้นกู่วู่มีน้อยมาก มีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง และผู้คนเหล่านี้ส่วนมากก็อาศัยอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นนอกจากเมืองเจียงเฉิงแล้ว จะพบเห็นคนแคว้นกู่วู่ได้น้อย
กลับกันจะเห็นผู้คนจากแคว้นอื่นที่เดินทางมาท่องเที่ยว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่มู่ชิงเกอจำได้ขึ้นใจ นั้นก็คือหอหลอมศาสตราสาขาย่อยก็สร้างอยู่ภายในแคว้นกู่วู่
เพียงแต่สาขาย่อยนั้นไม่เหมือนของโรงโอสถสาขาย่อย ไม่ยอมรับคนนอกเป็นศิษย์แต่ว่าทุกๆหลายปีทางส่วนกลางจะส่งคนผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้า
หอหลอมศาสตราสาขาย่อยตั้งอยู่ที่นี่ คงคาดหวังวัตถุดิบลํ้าค่าจากนอกและในทะเลแห่งทุกข์
แม้ว่าจะจากแคว้นหรงมา แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ลืมว่าตนเองยังเป็นผู้ที่หอหลอมศาสตราประกาศจับ ไม่มีใครรู้ได้ว่า ภาพเหมือนของนางจะถูกส่งมาที่หอหลอมศาสตราสาขาย่อยหรือไม่ ดังนั้นยังคงระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า แคว้นกู่วู่ไม่นับว่าใหญ่ แต่ว่าใช้เวลาเดินจากริมฝั่งสองวัน ทุกคนก็มาถึงเมืองเจียงเฉิง เมืองหลวงของแคว้นกู่วู่
เมื่อมองดูกำแพงเมืองที่มีลักษณะเป็นพระจันทร์เสี้ยวของเมืองเจียงเฉิง มู่ชิงเกอถึงรู้ว่าเดิมทีเมืองเจียงเฉิงมีลักษณะเป็นเมืองทรงกลม ความจริงแล้วกำแพงทรง กลมนี้ มีความสามารถในการรับการโจมตีค่อนข้างแข็งแรง
กำแพงเมืองระยะร้อยหลาสูงเด่นเป็นตระหง่าน ห่อหุ้มทิวทัศน์ด้านในเมืองเอาไว้อย่างมิดชิดแน่นหนา ราวกับกระบอกกลมอย่างไรอย่างนั้น บนกำแพงเมืองสร้าง อย่างสวยงามและประดับตกแต่งด้วยปะการัง ราวกับโลกใต้ท้องทะเล
องครักษ์เวรยามด้านนอกเมืองตรวจเพียงคนนอกแคว้นเท่านั้น ไม่ตรวจสอบคนในแคว้น
“คุณชาย คุณหนูใหญ่ส่งข่าวมาเมื่อห้าวันก่อนว่านางอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง” มั่วหยางเดินกลับมาแจ้งมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าไม่กี่ทีก่อนจะเอ่ยกับทุกคนว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
ในเมืองเจียงเฉิงโอ่อ่างดงาม ราวกับคนแคว้นกู่วู่ชื่นชอบลายเส้นพระจันทร์เสี้ยว สีสันสวยสดงดงาม ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างที่ไม่เหมือนกับแคว้นอื่นๆ เต็มไปหมด ใช้เม็ดสีและเปลือกหอยมาประดับตกแต่งมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
เครื่องแต่งกายของแคว้นกู่วู่ก็ไม่เหมือนกับที่อื่น
ส่วนมากผู้ชายจะสวมชุดทับตัวสั้นแขนกุด กางเกงทรงกว้างบนเอวและข้อเท้าใช้แถบผ้าไหมรัดไว้แน่น เท้าสวมรองเท้าไม้
ส่วนผู้หญิงมีหลากหลายรูปแบบ แต่โดยมากจะเน้น รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของตัวเองเป็นหลัก เผยอกเอววับแวมให้เห็น
พอเข้ามาด้านในเมือง ซางจื่อซูก็มีสีหน้าแดงระเรื่อตลอด
คล้ายกับไม่ชินกับการไม่ถือปฏิบัติของคนแคว้นกู่วู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาผมสีเงิน สีแดง สีนํ้าเงิน สีนํ้าหมึก ยังมีรูปร่างหน้าตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
“พวกเขาหน้าตาดีมาก” ซางจื่อซูประเมิน มู่ชิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย พึมพำในใจว่า ‘ไม่ว่าจะโลกไหน พวกลูกครึ่งเลือดผสมก็จะมียีนเด่นพิเศษ!’
แม้ในบรรดาคนแคว้นกู่วู่จะมีบางส่วนที่มีเกล็ดเงาวับบนลำคอ หรือมีบางส่วนที่หูแหลมๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำลายความสวยงามของพวกเขาแต่อย่างใด
บุรุษหล่อเหลา สตรีงดงาม นี่เป็นลักษณะภาพรวมของคนแคว้นกู่วู่
ถนนสายสำคัญของแคว้นกู่วู่ไม่กว้างแต่ก็ไม่ได้แคบ
นอกจากร้านค้าสองข้างทางแล้วยังมีแผงลอยชั่วคราว เมื่อแสงแดดสาดส่องลงมาเปลือกหอยที่ประดับบนอาคารก่อสร้างเหล่านั้นก็เปล่งประกาย เหมือนว่าทั้ง เมืองกำลังเปล่งแสง
คนที่นี่แทบทั้งหมดมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า นัยน์ตาไม่ได้แฝงความเรียกร้องอะไรมากนัก คล้ายกับพึงพอใจชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ แคว้นที่สงบเงียบเรียบง่ายเช่นนี้พาให้ความรู้สึกดีในใจของมู่ชิงเกอเพิ่มขึ้นมาหน่อย
ทันใดนั้นก็มีคนไม่น้อยเดินเฉียดพวกเขาไป รีบเร่งเดินไปทางเดียวกัน
“ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วถาม มั่วหยางรีบรั้งคนไว้ผู้หนึ่งสอบถามสถานการณ์ เขาเดินกลับมาอย่างว่องไวเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ด้านหน้านี้มีจัตุรัสที่เป็นสถานที่รวมตัวยามมีงานสำคัญ ได้ยินมาว่าวันนี้ฮ่องเต้หญิงของพวกเขาจะเลือกคู่ครองที่นั่น นางเลือกไว้คนหนึ่งแต่มีคนขัดขวาง และเหมือนว่าชายผู้นั้น จะไม่ยินยอม ได้ยินว่าฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่เป็นคนหน้าตาสะสวย สวยจนเป็นที่ตะลึงในแผ่นดินนี้ น้อยนักที่จะมีชายใดปฏิเสธ ดังนั้นผู้คนจึงรีบจะไปชมความสนุกนี้”
“ฮ่องเต้หญิงถูกปฏิเสการแต่งงาน ราษฎรกลับวิ่งไปรอชมความสนุก?” มู่ชิงเกอเปลี่ยนไปเป็นรู้สึกแปลกประหลาด
นี่เป็นแคว้นที่พิศวงแห่งหนึ่งทีเดียว!
“ศิษย์น้องมู่ พวกเราอย่าไปเลย” หลังจากที่ซางจื่อซูฟังที่มั่วหยางบอกแล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอทันใด
มู่ชิงเกอมองหน้านางด้วยความไม่เข้าใจ
ในสายตาของมู่ชิงเกอเห็นว่าซางจื่อซูกัดริมฝีปากตนเอง และเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหาก ถ้าหากฮ่องเต้หญิงผู้นั้นชอบเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
‘เหอะ เหอะ’
มู่ชิงเกอริมฝีปากกระตุก
มั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรพลันมีอาการแปลกๆ ขึ้นมาทันที
ที่ซางจื่อซูเอ่ยขึ้นมามีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามู่ชิงเกอไม่มีทางไปขอฮ่องเต้หญิงนั่นแต่งงานอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่บอกว่าฮ่องเต้หญิงนั่นชอบใครแล้วหรือ? พวกเราเบียดผู้คนดูเอา ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” มู่ชิงเกอเอามือลูบปลายจมูก เอ่ยขึ้นด้วยความเก้อเขิน
ในเมื่อได้มาแคว้นกู่วู่ทั้งทีแล้วยังเจอเรื่องน่าสนุก นางจะไม่ไปตอบสนองความต้องการของตัวเองเพียงเพราะความกังวลที่ยากแก่การเข้าใจได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อมีคนปฏิเสธเป็นตัวอย่างแล้ว ก็ไม่กลัวที่จะต้องถูกปฏิเสธอีกครั้งหรอก!
มู่ชิงเกอก็ช่างมั่นใจในหน้าตาของตนเองยิ่งนัก ไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้หญิงจะชอบหรือไม่ชอบนางมาก่อน
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะความจริงที่ปรากฏเด่นชัดอยู่บนใบหน้าทรงเสน่ห์ของมู่ชิงเกอว่ามีผลการทำลายล้างมากมายขนาดไหน ทำให้นางไม่มั่นใจในตัวเองไม่ได้!
ซางจื่อซูเห็นว่าการกล่าวทักท้วงของตนเองไม่เป็นผล ทำได้เพียงเดินตามมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ เข้าไปที่จัตุรัสแห่งนั้น
ตอนนี้เองที่จัตุรัสแห่งนี้กำลังเกิดศึกชิงนาย
บนจัตุรัสทรงกลมมีหอคอยตั้งอยู่ มีเงาร่างอรชรสูงส่งยืนอยู่ในนั้น
ส่วนด้านล่างจัตุรัสก็มีหนึ่งหญิงหนึ่งชายเผชิญหน้ากับนาง
บริเวณโดยรอบโอบล้อมไปด้วยนายทหารองครักษ์ของแคว้นกู่วู่ พวกเขาสวมชุดเกราะ ในมือวาดหอกกระดูกใส่ชายหญิงคู่นั้น
หญิงผู้นั้นเอ่ยกับสตรีที่อยู่ในหอคอยนั้นด้วยความโมโหว่า “ท่านมีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้หญิง เหตุใดต้องบีบบังคับให้ผู้อื่นลำบากใจ? เขาก็ปฏิเสธท่านแล้ว ตอนนี้ท่านจะใช้ไม้แข็งหรือ?”
“เขาเป็นผู้ชนะบนสนามประลอง ฉะนั้นก็ต้องเป็นสวามีของข้า” นํ้าเสียงเย่อหยิ่งเยือกเย็นลอยแว่วออกมาจากหอคอย
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “แต่ว่าสนามประลองนี้ ไม่ได้บอกไว้แต่แรกว่าเป็นสนามประลองให้ท่านหาคู่ ตอนนี้มารวบรัดนี่มันหลอกลวงกันชัดๆ”
“คนที่นี่ต่างรู้กันดี” สตรีในหอคอยยังคงเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงหยิ่งผยองเช่นเดิม
ตอนนี้เองที่บุรุษผู้นั้นลุกขึ้นยืนกันหญิงสาวผู้นั้นไว้ด้านหลังตนเอง เงยหน้าเอ่ยกับสตรีในหอคอยนั้นว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ขอแต่งงานกับท่าน”
“ไม่มีใครให้เจ้าขอข้าแต่งงาน แต่เป็นเจ้าแต่งให้ข้า” ฮ่องเต้หญิงตอบกลับอย่างผู้อยู่เหนือกว่า
สีหน้าชายหนุ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยเสียงเข้มว่า “นั่นก็ไม่ได้!”
“จะตามข้าเข้าวังหรือจะตาย” ฮ่องเต้หญิงให้สองทางเลือก
แต่สองทางเลือกนี้สำหรับหนึ่งหญิงหนึ่งชายแล้วต่างก็เป็นทางตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้เองมู่ชิงเกอก็พาพวกซางจื่อซูเบียดเข้าไปท่ามกลางผู้คน องครักษ์เขี้ยวมังกรลอบกระจายกำลังล้อมพวกนาง กันพวกนางไว้ป้องกันการเบียดเข้ามาของคนข้างๆ
เพียงไม่นานมู่ชิงเกอก็เบียดไปอยู่ข้างหน้า
ได้ยินเสียงประกาศกร้าวด้วยความองอาจของฮ่องเต้หญิงเข้าพอดี
นางเงยหน้าขึ้นมองสตรีบนหอคอย แต่ว่าหอคอยย้อนแสงทำให้นางมองฮ่องเต้หญิงไม่ชัด จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามายังหนึ่งชายหนึ่งหญิงบนจัตุรัสนั้น
เมื่อนางเห็นรูปร่างหน้าตาของหญิงผู้นั้นชัดๆ นัยน์ตาก็หดเล็กลง
เสียงตื่นตะลึงของมั่วหยางลอยแว่วเข้าหู “คุณหนูใหญ่!”