Skip to content

พลิกปฐพี 163-1

ตอนที่ 163-1

ท่านอา ข้าจะแบกเกี้ยวให้ท่าน!

ดวงอาทิตย์ส่องแสง ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิงสะท้อนแสงระยิบระยับ ดุจดังความฝัน ยิ่งดูเหมือนกับเป็นดินแดนสวรรค์

เช้าตรู่ เจียงหลีก็บุกเข้ามาในห้องของมู่ชิงเกอ ลากนางลุกขึ้นจากเตียง

“เจ้ามีอันใดแต่เช้า?” มู่ชิงเกอนวดๆขมับ บนใบหน้ายังคงดูเหนื่อย

เจียงหลีมองนางอย่างแปลกๆ “เมื่อคืนวานเจ้าจะร้อนใจเกินไปแล้ว”

มู่ชิงเกอเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา ลุกนั่งบนเตียง จิตใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย เรื่องของเมื่อวาน มาอย่างกะทันหันไปหน่อย ไม่ได้เตรียมการเลยแม้แต่น้อย ท่านอาก็ให้คำสัตย์สาบานไปแล้ว

เรื่องของความรู้สึก ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการรู้สึกดีต่อคนๆ หนึ่งกับรักคนๆ หนึ่ง

ท่านอามีความรู้สึกประทับใจต่อเซวียเฉียว แต่ว่านั่นเป็นความรักหรือไม่?

ทั้งพวกเขายังเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ถ้าหากว่าสนิทสนมกันต่อไป ท่านอาค้นพบว่าความรู้สึกที่นางมีให้แก่เซวียเฉียวนั้นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นเพราะคำสาบานทำให้ต้องผูกตัวติดกัน เช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องขมขื่นทนทุกข์ไปจนตายหรือ?

“เจียงหลี ถ้าสาบานในแคว้นกู่วู่ แล้วหากละเมิดคำสาบาน ก็จะเป็นจริงตามคำสัตย์อย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอถามฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ผู้นี้อย่างไม่วางใจ เจียงหลีพยักหน้า เอ่ยอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าจริง พันปีมานี้ไม่เคยมีข้อยกเว้น!”

“นี่เป็นเพราะเหตุใด?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เจียงหลีกลับเอ่ยว่า “นี่ก็เป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของแคว้นกู่วู่ ในบันทึกของแคว้นข้า เขียนเอาไว้อย่างคลุมเครือ ดูเหมือนว่าห่างไกลออกไปในยุคบรรพกาล บนผืนดินของแคว้นกู่วู่ เคยเกิดสงครามใหญ่ระหว่างเทพและมารที่สะท้านไปทั่วทั้งฟ้าดิน จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เทพและมารร่วมใจกันสาปผืนดินแห่งนี้ ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีพลังพิเศษ ซึ่งก็คือพลังแห่งคำสาบาน”

‘เทพมารอีกแล้ว?’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักใจ นางค้นพบว่าตั้งแต่นางรับเอาบันทึกฉบับไม่สมบูรณ์ที่เป็นสมบัติสืบทอดกันมาของตระกูลมู่ม้วนนั้นจากท่านปู่มาแล้ว ก็เริ่มได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเทพมารมากขึ้นเรื่อยๆ อักษรของเผ่าเทพด้านบนคัมภีร์จนถึงตอนนั้นนางก็ยังไม่เข้าใจ

ตอนนี้ก็ยังมาได้ยินถึงตำนานเทพมารจากเจียงหลีที่นี่อีก หรือว่า ภายในโลกที่แปลกประหลาดนี้ จะมีเทพมารคงอยู่จริงๆ? เช่นนั้นแล้วเทพมารในโลกนี้แข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน?

“อา เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เมื่อเจียงหลีเห็นมู่ชิงเกอใจลอยไปไกลจึงยื่นมือออกไปโบกไปมาที่ด้านหน้าของนาง มู่ชิงเกอกะพริบตา ได้สติกลับมา ส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ไม่มีอะไร” ทันใดนั้น ภายในหัวของนางก็เกิดแสงสว่างวาบ เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักภาษาของเผ่าเทพหรือไม่?”

เจียงหลีชะงัก ยิ้มออกมาในทันใด “ข้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าเทพมารอยู่ห่างไกลจากพวกเราเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเราจะเกิดอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน แต่พวกเขาก็จากพวกเราไปนับได้หลายหมื่นปีแล้ว ข้าตอนนี้อายุก็แค่เท่าไหร่กันเชียว?”

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่พูดมากอีก คำตอบเช่นนั้นนางไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย เดิมทีก็แค่จะถามเล่นๆ ก็เท่านั้น ถ้าหากว่าอักษรของเผ่าเทพเข้าใจได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นบรรพบุรุษตั้งหลายรุ่นของตระกูลมู่ก็คงไม่รอจนมาถึงนางแล้ว นางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยถามไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ในเมื่อคำสาบานกลายเป็นจริง เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีใดที่สามารถถอนมันได้เลยหรือ? หรือไม่ก็เปลี่ยนบทสรุปให้

ดีขึ้น?”

เจียงหลีมองนางอย่างละเอียด พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดว่า “ชิงเกอ เจ้ากำลังกังวลใจเรื่องอะไรกันแน่?”

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น ภายใต้การให้ความสนใจของเจียงหลี พูดถึงความกังวลในใจของตนเองออกมาจนได้

เมื่อฟังจบ เจียงหลีก็เอ่ยว่า “เจ้ากังวลใจอะไร? ท่านอาของเจ้าก็ไม่ได้กลัว แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?”

“นางกำลังถูกความรู้สึกทำให้ความคิดพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่ข้านั้นมีสติดี” มู่ชิงเกอโต้กลับ

“หรือว่าความรักไม่ได้มีผลมาจากความรู้สึกในใจหรืออย่างไร? สองคนรักกัน ไหนเลยจะต้องมีเหตุผลหรือการประเมินอะไรมากมาย?” เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ย

มู่ชิงเกอชะงัก คำพูดของเจียงหลีแทงใจของนาง ทำให้นางนิ่งเงียบลงไป

เจียงหลีถอนหายใจ “ที่จริงแล้วการที่คนสองคนอยู่ด้วยกัน ใครจะสามารถรับรองได้ว่าผลสรุปจะดีหรือว่าร้าย? เพียงแค่ใจเดิมเริ่มแรกไม่เปลี่ยน ก็ไม่ใช่ว่าเพียงพอแล้วมิใช่หรือ? จะต้องมาคิดมากไปทำไมกัน? เจ้ากลัวนั่น กลัวนี่ กลัวเพียงสุดท้ายแล้วทำอะไรก็ไม่ได้ เจ้ากลัวว่าท่านอาจะแยกความรู้สึกต่อเซวียเฉียวไม่ออกว่าเป็นความรักระหว่างชายหญิงหรือไม่ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนที่ท่านอาของเจ้าตัดสินใจลงไปนั้น นางคิดอะไรอยู่?”

มู่ชิงเกอมองเจียงหลีด้วยท่าทางล่องลอย เอ่ยขึ้นในทันใด “สุดท้ายแล้วความรู้สึกอย่างไรถึงเรียกว่าความรัก?”

หากว่าท่านอาไม่ได้สาบานออกไป เช่นนั้นแน่นอนว่านางก็จะไม่ต้องเป็นกังวล แต่ว่า ตอนนั้นนางกล่าวสาบานไปแล้ว หากว่าเสียใจย้อนหลัง ก็ต้องตอบแทนด้วยชีวิต

เจียงหลีชะงัก ชี้มือกลับมาทางตนเอง เอ่ยถามอย่างตกตะลึง “เจ้าถามข้า? ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ข้าไม่เคยมีความรัก ข้าก็แค่ตั้งจุดมุ่งหมายให้ตนเอง สามีของข้า ต้องเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างน้อยก็ต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากๆ!”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในการตั้งเกณฑ์สามีของเจียงหลี

“ไอหยา เจ้าอย่ากังวลใจไปอีกเลย ถ้าหากว่าเจ้าเป็นห่วง ยังไม่สู้ไปพูดคุยกับท่านอาของเจ้าให้รู้เรื่อง อีกอย่าง ข้าได้ตกลงกับเจ้าแล้วว่า ภายในสามวันจะมอบ ข่าวสารทั้งหมดของตระกูลเซวียแล้วก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับเซวียเฉียวแก่เจ้าทั้งหมด เจ้ายังจะกลัวอะไรอีก?” เจียงหลีแกว่งแขนของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ย

มู่ชิงเกอเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง แล้วหลุบตาลง ตอนนี้ นางเหลือญาติสนิทแค่เพียงสองคน นางจะไม่เป็นห่วงเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของท่านอาได้อย่างไร?

แต่ว่า เจียงหลีพูดถูก ถ้าหากว่ากังวลใจ ยังไม่สู้ไปหาท่านอาแล้วถามให้แน่ชัดไปเลยจะดีกว่า

“เจ้ามาหาข้าตั้งแต่เช้ามีเรื่องอะไร?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็มองเจียงหลีแล้วถามขึ้นมา

เจียงหลีถูกคำพูดของนางกล่าวเตือน คิดถึงเรื่องที่ทำให้ตนเองต้องวิ่งมา จึงตื่นเต้นขึ้นมาในทันที “ช่วงก่อน ตอนที่ข้าเสนอขึ้นมาเจ้าไม่รับปาก ตอนนี้ท่านอาของเจ้ากับเซวียเฉียวก็ร่วมใจกันสาบานแล้ว พวกเราก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย?”

มู่ชิงเกอเข้าใจในคำพูดของนางว่าอะไรคืออย่าเสียเวลา ทั้งยิ้มขันทั้งหัวเราะออกมาในทันใด “เจ้าที่เป็นฮ่องเต้หญิงว่างถึงขนาดไหนกันเชียว? ถึงได้สามารถมาวุ่นวายเรื่องงานแต่งงานของคนอื่นได้?”

“เอ้! หากไม่ใช่ว่าสิ่งของเหล่านั้นข้าล้วนแต่เตรียมไว้เสร็จหมดแล้ว แล้วเจ้าคิดจะล้มเลิกงานแต่งงานอีก ข้าก็คงจะไม่สนใจเช่นนี้หรอก!” เจียงหลีหงุดหงิดบิดกายไปมา

มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างไร้คำที่จะพูด “ฮ่องเต้หญิงพูดกันดีแล้วว่าจะทำตัวนิ่งขรึมและดูสูงส่งมิใช่หรือ?”

“นั่นเป็นต่อหน้าคนอื่น เจ้าไม่ใช่เสียหน่อย” เจียงหลีกลอกตากลับ

มู่ชิงเกอถูกความกระตือรือร้นของนางทำให้พ่ายแพ้ ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ดี งั้นข้าขอไปถามความคิดเห็นของท่านอาดูก่อน”

“ดีเลย! เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าไปถามนาง หากมีผลสรุปอย่างไรก็บอกข้า ถ้าหากว่าพวกเขาสองคนไม่มีปัญหาอะไร เช่นนั้นงานแต่งงานก็จะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง พอดีกับเจ้าสามารถดูข้อมูลของตระกูลเซวียก่อน จะได้วางใจ” เจียงหลีตบมือ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของนาง

เวลานั้น นอกประตูห้องที่เปิดอยู่ ปรากฏเป็นเงาร่างของซางจื่อซู

ดูเหมือนว่านางจะมาหามู่ชิงเกอ ไม่คิดว่าฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่กลับอยู่ในห้องของมู่ชิงเกอ ทั้งสองคนยังสนิทกันถึงขนาดนี้ทั้งฮ่องเต้หญิงก็ยังนั่งอยู่บนเตียงของมู่ชิงเกออีก

ซางจื่อซูตกใจจนหลีกไปอีกทาง ซ่อนเงาร่างของตนเองเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะกลัวคนพบเห็น

แต่ว่าภาพของคนทั้งสองที่พูดคุยกันอยู่บนเตียงคอยปรากฏรบกวนอยู่ในหัวของนางไม่หยุด

นัยน์ตาของซางจื่อซูหดหู่ลง ขบริมฝีปากแน่น หมุนตัวเดินกลับไป

“ดู ดู ทำให้หญิงสาวปวดใจอีกแล้วใช่ไหม?” เจียงหลีมองไปทางแผ่นหลังที่จากไปของซางจื่อซูแล้วเอ่ย

อาศัยระดับพลังของมู่ชิงเกอและเจียงหลี ตอนที่ซางจื่อซูเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนก็รู้สึกถึงนางแล้ว

มู่ชิงเกอมองไปทางแผ่นหลังของซางจื่อซูแล้วเอ่ย “ข้างกายของนางมีคนที่ดีกว่ารอนางอยู่”

ดวงตาของเจียงหลีมองมาที่นางแล้วถาม “เหตุใดเจ้าไม่บอกเรื่องราวแก่นางอย่างที่บอกแก่ข้า? ข้ามองแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าก็สนิทสนมกันมาก”

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น “นางไม่ได้เคยพูดอะไรหรือแสดงออกอะไรกับข้า ข้าไม่อาจจะอยู่ดีๆ ก็วิ่งออกไป บอกว่า ข้าจะบอกความลับแก่เจ้าอย่างหนึ่ง ข้าเป็น

หญิงสาวได้”

เจียงหลีถอนหายใจแล้วเอ่ย “ดูแล้ว การพูดตรงๆ ก็มีข้อดีของการพูดตรงๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกหัวใจคิดลบของเจ้ารังแกไปนานเกินไป! ตกอยู่ในขวดเย็นเฉียบที่แสนอึดอัดมีแต่ทรมาน”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก ในใจลอบตัดสินใจว่าต้องรักษาระยะห่างจากซางจื่อซู อย่างน้อยก็จะสามารถทำให้นางไม่มีความผิดพลาดอะไรที่ไม่ควรมี!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version