Skip to content

พลิกปฐพี 163-5

ตอนที่ 163-5

ท่านอา ข้าจะแบกเกี้ยวให้ท่าน!

“พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่! เจ้าถึงกับสามารถทำให้พญาเพลิงยอมรับได้?” เจียงหลีกระโดดออกมาจากเก้าอี้อย่างตกตะลึง พิจารณามู่ชิงเกออย่างแปลกใจ

“ตามที่ข้ารู้มา ผู้ที่จะสามารถทำให้พญาเพลิงยอมรับได้ มีเพียงตระกูลบรรพกาลที่มีสายเลือดแห่งเพลิงเท่านั้น! หรือว่าเจ้า…” เจียงหลีเหมือนกำลังจะเอ่ยตามความคิดออกมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าก็รู้เรื่องสายเลือดแห่งเพลิงอย่างนั้นหรือ? รู้จักตระกูลบรรพกาล?”

เจียงหลีค้อนนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นใคร? อย่าลืมว่าที่นี่คือแคว้นกู่วู่ เดิมคิดว่าเจ้าไม่รู้ ข้าจึงพูดอย่างคลุมเครือ แต่ในเมื่อเจ้าล้วนแต่รู้แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้วตรงข้ามของทะเลแห่งทุกข์ที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ก็คือแผ่นดินโลกยุคกลาง ส่วนภายในโลกยุคกลางก็มีหลายตระกูลดำรงอยู่ ภายในนั้นตระกูลบรรพกาลถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธ แต่ว่ามังกรที่ผอมตายก็ยังใหญ่กว่าม้าอยู่ดี ไม่ง่ายที่จะไป หากว่าข้ามทะเลแห่งทุกข์ไปได้อย่างราบรื่นก็จะเข้าสู่ทิศใต้ของแผ่นดินโลกยุคกลาง แต่หากว่าไปทางทะเลทรายขนาดใหญ่จากแคว้นแคว้นตี๋ก็จะเข้าสู่ทิศเหนือของโลกยุคกลาง ทั้งสองทางเข้านี้เป็นเพียงสองทางสำหรับแผ่นดินใหญ่ที่จะเข้าสู่ใจกลางโลกยุคกลาง แต่ทว่า ตามที่ข้ารู้มา คนที่มีสายเลือดแห่งเพลิงของตระกูลบรรพกาลดูเหมือนว่าจะมีแซ่หาน ไม่ใช่แซ่มู่…”

พูดมาถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเจียงหลีก็ฉายแววสงสัย มู่ชิงเกอจึงเอ่ยอธิบายว่า “ข้าไม่ได้มีสายเลือดแห่งเพลิง และก็ไม่ใช่คนตระกูลหาน ข้าก็แค่ใช้อีกวิธี ทำพันธะสัญญากับพญาเพลิง สามารถแบ่งปันความสามารถของมันมาบ้างก็เท่านั้น”

“เป็นเช่นนี้นี้เอง!” เจียงหลีพูดเสียงดัง นางไม่ได้ถามว่าจะใช้วิธีใดในการบรรลุข้อตกลงร่วมกับพญาเพลิง และก็ไม่ได้มีจิตใจที่โลภ เพราะรู้ว่ามู่ชิงเกอมีพญาเพลิง

นี่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกดีกับนางมาก “ในเมื่อเจ้าเข้าใจโลกยุคกลางถึงขนาดนี้ เช่นนั้นเคยได้ ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเล่อที่อยู่ทางใต้ของแผ่นดินโลกยุคกลางหรือไม่?” มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ถามออกมา

“ตระกูลเล่อ?” เจียงหลีชะงัก ส่ายหน้าไปมา “ตระกูลในโลกยุคกลางมีมากมายดุจดั่งขนวัว และแซ่เล่อก็ไม่ใช่แซ่ของตระกูลบรรพกาล ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ไม่เคยได้ยิน”

มู่ชิงเกอรู้สึกสิ้นหวัง ตอนนี้ตระกูลเล่อคือศัตรูของนาง

หากนางได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลเล่อก็จะได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับศัตรูของนาง

“เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินถึงตระกูลซางแห่งทิศตะวันตกหรือไม่?” มู่ชิงเกอถามอีก

เจียงหลียิ้มอย่างหมดหนทางแล้วเอ่ย “ดูท่าเจ้าเข้าใจในโลกยุคกลางจริงๆ! ตระกูลซางเป็นสกุลหนึ่งของตระกูลบรรพกาลจริง ๆ แต่ข้าก็ไม่รู้อะไรมาก ถึงแม้ว่าแคว้นกู่วู่ของข้าจะมีบันทึกมากมายเกี่ยวกับทวีปโลกยุคกลาง แต่ว่าสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันก็หายสาบสูญไปมาก ผุพังไปก็ไม่น้อยแล้ว ข้าสามารถรู้จักแซ่หานตระกูลไฟนั้นก็ถือว่าเก่งมากแล้ว เจ้าอย่าได้ทำให้ข้าลำบากเลย”

มู่ชิงเกอหุบยิ้ม “ได้ ข้าไม่ถามก็ได้ แต่ว่า ถ้าหากว่าสามารถ หากมีโอกาส สามารถให้ข้าดูบันทึกที่เกี่ยวข้องกับโลกยุคกลางได้หรือไม่?”

จะเร็วจะช้าอย่างไรนางก็ต้องไปโลกยุคกลางสักครั้ง ก่อนจะจากไป หากสามารถเข้าใจสถานการณ์ทางนั้นก่อนได้ก็จะยิ่งดี

เจียงหลีเอ่ยอย่างสบายใจ “แน่นอนว่าได้ แต่ทว่าบันทึกเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของเมื่อพันปีก่อน ใครจะรู้ว่าภายในพันปีมานี้ แผ่นดินทางนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างแล้ว”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก” มู่ชิงเกอเอ่ย

“กับข้ายังต้องแสร้งเกรงใจไปทำไม คนเจ้าเล่ห์!” เจียงหลีขบริมฝีปาก ยื่นมือออกไปทุบบนไหล่ของมู่ชิงเกอ

ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสียงระฆังในพระราชวัง ก็ดังขึ้นมาในทันใด

เจียงหลีพลันคิดขึ้นได้ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ไอหยา! เกือบลืมเวลาแล้ว พวกเรารีบออกไปกันเถอะ งานแต่งงานใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว”

มูชิงเกอยิ้มและพยักหน้า นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินไปพร้อมกันกับเจียงหลี งานแต่งงานของท่านอาของตนเอง เหตุใดนางจึงมีความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนงานแต่งของลูกสาวตนเองได้?

มู่ชิงเกอยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าพร้อมกันกับเจียงหลีเดินมาถึงห้องที่มู่เหลียนหรงอยู่

ซางจื่อซูอยู่ข้างกายมู่เหลียนหรงมาโดยตลอด ใครใช้ให้นางอยู่ในกลุ่มของบ้านเจ้าสาวที่เป็น ‘เพศหญิง’ เพียงคนเดียว?

เห็นมู่ชิงเกอกับเจียงหลีมาถึงพร้อมกัน บนใบหน้าของซางจื่อซูที่ยิ้มแย้มเพราะว่างานแต่งงาน ก็ค่อยๆ เจื่อนลง

“ท่านอา วันนี้ท่านงดงามจริงๆ!” มู่ชิงเกอเดินมาถึงข้างกายของมู่เหลียนหรง เอ่ยอย่างจริงจังออกมา

เมื่อพูดจบนางก็มองไปทางซางจื่อซู แล้วพยักหน้า เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “ศิษย์พี่ซาง ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือในวันนี้”

ซางจื่อซูพยายามยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ศิษย์น้องมู่ ระหว่างเจ้าข้าไม่ต้องเกรงใจ”

“ว้าว! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะดูเหมาะสมกับชุดเจ้าสาวของแคว้นกู่วู่มากเช่นนี้!” เจียงหลีมองมู่เหลียนหรงในชุดสีแดงชมพูอย่างตกตะลึง

สีแดงชมพูจะทำให้นางดูหยาดเยิ้มคล้ายกับสาวน้อย

การแต่งหน้าและคิ้วเพิ่มความเป็นผู้หญิงและงดงามของนาง

ชุดของผู้หญิงแคว้นกู่วู่ ขับเน้นเรือนร่างที่เพรียวงามของผู้หญิงที่แต่ก่อนถูกมู่เหลียนหรงซ่อนเรือนร่างงดงามเอาไว้ในชุดออกศึก แต่ตอนนี้ล้วนปรากฏออกมาให้เห็น มงกุฎจ้าสาวที่สวมอยู่บนศีรษะนั้นความสวยงามไร้ที่เปรียบ อัญมณีที่อยู่ด้านบนส่องแสงแวววาว ม่านสีขาวด้านหลังก็เทลงมาดูเหมือนนํ้าตก

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ชมเพคะ” นัยน์ตาของมู่เหลียนหรงฉายแววอับอาย ถอนหายใจแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ “เจ้าก็แหย่ข้า”

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่ได้แหย่ท่าน แต่เป็นความจริง!”

“ถึงเวลาแล้ว ขอเชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวบุปผาเจ้าค่ะ” แม่สื่อที่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ เดินเข้ามาเตือน

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดคุย ทุกคนเปิดทาง ให้มู่เหลียนหรงขึ้นไปบนเกี้ยวบุปผาที่จอดรอไว้

เกี้ยวบุปผา เป็นคนของฝ่ายหญิงเป็นผู้แบก จะวนรอบเมืองหนึ่งรอบ รับคำอวยพรจากราษฎร ส่วนเจ้าบ่าวนั้น จะไปรอที่หน้าประตูวังหลวงก่อน รอจนเกี้ยวบุปผาถึง แล้วก็จะคุกเข่าขอร้องเจ้าสาวขอขึ้นไปบนเกี้ยว

แคว้นกู่วู่นั้นเคารพผู้หญิง งานแต่งงานของพวกเขาก็จะจัดกิจกรรมบางอย่างที่เน้นสถานะของเพศหญิง

แต่ก่อนเจียงหลีเคยพูดกับมู่ชิงเกอ ถ้าหากว่าเจ้าสาวไม่ยอมให้เจ้าบ่าวขึ้นเกี้ยวบุปผา เจ้าบ่าวก็จะเหมือนกับถูกทิ้งในทันที ส่วนเจ้าสาวถ้าหากว่าต้องตาใคร ก็จะ สามารถลากคนผู้นั้นขึ้นเกี้ยวบุปผาได้จากนั้นก็ดำเนินตามพิธีกรรมต่อ

ประเพณีเช่นนี้ มู่ชิงเกอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก รู้สึกสนใจมาก

มู่เหลียนหรงนั่งอยู่บนเกี้ยวบุปผา

คนที่แบกเกี้ยวบุปผาก็คือมั่วหยางกับองครักษ์เขี้ยวมังกร

มู่ชิงเกอมองไปทางท่านอาที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้แล้วก็ไปข้างหน้าในทันใด เปลี่ยนกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เดินอยู่ด้านหน้า เอาคานหามวางไว้บนไหล่ของตนเอง

“คุณชาย!” มั่วหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างของนางมองนางอย่างประหลาดใจ

มู่เหลียนหรงก็ร้องขึ้นว่า “ชิงเกอ เจ้า ”

มู่ชิงเกอยิ้มไปที่นาง “ท่านอาแต่งงาน ข้าจะยืนมองดูความครึกครื้นอยู่ด้านข้างได้อย่างไร? ในบรรดาคนที่นี่ คนที่เหมาะสมที่จะแบกเกี้ยวที่สุดนั้นก็คือข้า”

พูดแล้ว นางก็ร้องตะโกนขึ้น เกี้ยวบุปผาถูกยกขึ้น ค่อยๆ เดินออกไปนอกวังหลวง

บนถนน มีนางกำนัลสองคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว ดอกไม้สดในมือโยนมาทางเกี้ยวบุปผา เปรียบเหมือนการอวยพรแก่งานแต่งงานในครั้งนี้ เจียงหลีและซางจื่อซูรวมถึงคนอื่นๆ ก็ตามเกี้ยวบุปผาไปด้านหลัง ค่อยๆ เดินไป

แต่ทว่า เมื่อถึงประตูวังหลวง เพราะสถานะของเจียงหลี นางจึงทำได้เพียงยืนมองอยู่บนหอคอย

ส่วนซางจือซูก็เดินตามไปต่อ เกี้ยวบุปผามาถึงประตูวังหลวง เซวียเฉียวที่สวมชุดเจ้าบ่าวของแคว้นกู่วู่ได้เตรียมรอรับเกี้ยวบุปผาอยู่ก่อนแล้ว มู่เหลียนหรงนั่งอยู่บนเกี้ยว มองเห็นเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มหวานออกมา

เซวียเฉียวขึ้นไปบนเกี้ยวได้อย่างไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเกี้ยวบุปผาโดยมีมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ แบก มุ่งออกไปจากวังหลวง

ที่นั่นมีราษฎรนับพันรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้วดอกไม้สดในมือก็แย่งกันโยนเข้าไปในเกี้ยวบุปผา

เพียงครู่เดียว ดอกไม้สดในเกี้ยวบุปผา ก็เต็มไปหมด เซวียเฉียวและมู่เหลียนหรงยิ้มให้กันและกัน ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ซาบซึ้งใจ งานแต่งงานเช่นนี้ จะอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปจนชั่วชีวิต

งานแต่งงานของแคว้นกู่วู่ ช่างลึกลํ้าและอบอุ่น งานแต่งงานในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทั่วทั้งเมืองล้วนแต่เฉลิมฉลอง มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเกี้ยวบุปผา เดินอยู่ด้านหน้าสุด มุมปากยกยิ้ม นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขแทนท่านอาของตนเอง

ทันใดนั้น รอยยิ้มของนางก็จางลง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น มองไปด้านหน้า ที่อยู่ๆ ก็มีคนคลุมหน้านับร้อยที่ในมือถืออาวุธชั้นจิตวิญญาณพุ่งแหวกมาตามฝูงชน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version