Skip to content

พลิกปฐพี 164-2

ตอนที่ 164-2

ปิดประตูปล่อยหยวนหยวน!

หลังจากเดินไปจนสุดทางของถนนสายหลัก เกี้ยวบุปผาที่ได้รับคำอวยพรจากทั่วทั้งเมือง ก็ค่อยๆเคลื่อนกลับไปที่วังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา

ภายใต้การดำเนินพิธีของผู้ควบคุมพิธีการ เซวียเฉียวกับมู่เหลียนหรงก็กราบไหว้ฟ้าดินจนกลายเป็นสามีภรรยาต่อกันอย่างสมบูรณ์หลังจากนั้นก็เป็นงานเลี้ยงที่จัดไปถึงวันที่สอง

เซวียเฉียวถูกฝูงชนมอมเหล้าจนถูกส่งกลับห้องหอ

นี่ก็ถือเป็นคืนสำคัญของคู่บ่าวสาวสองคน ไม่มีคนเข้าไปรบกวนอีก

หอหลอมศาสตราสาขาย่อย เหยียนหวาง้างเท้าถีบเข้าใส่คนที่มารายงานข่าวอย่างเกรี้ยวกราด

“นี่ก็เป็นการจัดการอย่างดิบดีของเจ้ารึ?”

คนผู้นี้ก็เป็นคนที่ถูกมู่ชิงเกอโจมตี เขาดึงผ้าคลุมหน้าออก ไม่กล้าสบตามองไปที่แววตาของเหยียนหวา ทำได้เพียงก้มหน้ากล่าวว่า “ข้าน้อยแต่เดิมคิดว่าตอนที่ เคลื่อนขบวนไปตามถนนก็จะมีคนมากสร้างความวุ่นวายได้ง่าย ถือเป็นโอกาสดีในการลงมือ ดังนั้นก็เลย…ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้หญิงจะปรากฏตัวขึ้นอย่าง

กะทันหัน ทำให้การโจมตีของพวกข้าน้อยล้มเหลวไม่เป็นท่า”

เพื่อที่จะหลีกหนีความผิด เขาก็เอาสาเหตุในการพ่ายแพ้ทั้งหมดโยนไปที่ตัวของเจียงหลี

“พวกเศษสวะไม่ได้เรื่อง!” เหยียนหวาด่าเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้าเด็กนั่นถ้าหากจัดการได้ง่ายๆ สาขาหลักทำไมถึงจับตัวเขาไม่ได้? พวกเจ้าก็ไม่ควรออกไป ปะทะซึ่งๆ หน้า ถ้าหากสามารถจับตัวญาติของเขา บีบคั้นให้เขาวิ่งเข้ามาในกับดักของพวกเราก็ไม่ใช่ว่าเป็นแผนที่ดีกว่ารึ?”

คนของหอหลอมศาสตรานั้นอวดดีนึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่กันมาจนชิน ถึงแม้ว่าจะมีสาขาหลักเป็นตัวอย่างให้เห็น พวกเขาก็ยังคงไม่เห็นมู่ชิงเกออยู่ในสายตา นึกว่านางที่สามารถหนีมาแคว้นกู่วู่ได้ก็เป็นเพราะเชี่ยวชาญในการหลบซ่อน ถึงได้หลบหนีการไล่สังหารของคนจากสาขาหลักได้ บวกกับที่ตอนนี้เหยียนหวาได้เข้าสู่ระดับขั้นสีม่วงแล้ว ทำให้ความมั่นใจของพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก มากขึ้นจนไม่ไปคิดแผนการซับซ้อนพวกนั้น แต่เป็นการใช้วิธีปะทะซึ่งๆ หน้าไปตรงๆ ตอนนี้คนที่คุกเข่ารอรับผิดอยู่บนพื้นพอได้เสียงด่าว่าของเหยียนหวา ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นโง่งมมากเพียงใด!

เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าเจื่อนเจื่อนมองไปทางเหยียนหวา กล่าวขอความเห็นจากเขา “เช่น เช่นนั้นข้าน้อยก็จะลอบเข้าไปในวังหลวงอีกครั้ง จับกุมตัวคนที่เขาให้ความ สำคัญออกมา?”

“เจ้าทำไมถึงได้โง่งมเช่นนี้!” เหยียนหวาก็ง้างเท้าออกไปอีกเท้าหนึ่ง ถีบไปที่ไหล่ของเขา เกือบจะถีบจนไหล่ ข้างนั้นของเขาหักไป “เพราะการโจมตีในตอนกลางวัน เจ้าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว ตอนนี้หากกลับไป เจ้าก็คิดว่าจะถ่อกลับไปหาความตาย? หรือว่าจับตัวคนได้กัน?”

“เช่น…เช่นนั้น…” คนผู้นั้นสีหน้าขมขื่น ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีไปชั่วขณะ

เมื่อตอนกลางวันก็ถูกมู่ชิงเกอชกไปหมัดหนึ่ง ตอนนี้ยังมาโดนถีบอีกสองเท้า เขาก็เจ็บจนเหงื่อไหลพรั่งพรูออกมาเต็มไปหมด รู้สึกเหมือนตนชีวิตทิ้งหายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งหมดอาศัยพลังฝืนทนเอาไว้เลยทำให้เขายังไม่ได้สลบไป ตอนนี้ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะใช้วิธีการเช่นไรดี

“ไสหัวออกไป! พรุ่งนี้เช้าข้าก็จะไปพบเขาด้วยตัวเอง! ถ้าหากเขายังรู้ความอยู่บ้างยอมมอบของที่ขโมยไปกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่เขามีออกมา ข้าก็จะไว้ชีวิตของเขา สักครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากไม่รู้ความ หึ” ในแววตาที่เต็มไปด้วยความโลภของเหยียนหวาพลันพุ่งออกมาด้วยจิตสังหารอันร้ายกาจสายหนึ่ง

ในวังหลวงเมืองเจียงเฉิง ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น งานเลี้ยงดื่มเหล้ามงคลก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่ตอนนี้มู่ชิงเกอกลับออกมายืนลอยชายอยู่ด้านนอกตัวตำหนัก ที่อยู่ด้วยกันกับนางยังมีองครักษ์เขี้ยวมังกรที่นำโดยมั่วหยาง

ซางจื่อซูริมฝีเม้นสนิทเข้าหากัน จ้องมองไปทางนาง นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา

เจียงหลีเดินเข้ามา เอ่ยถามขึ้น “เจ้าคิดจะไปในเวลานี้จริงๆ หรือ?”

“ไปเร็วดีกว่าช้า” มู่ชิงเกอค่อยๆ กล่าว

“แต่ว่าหากอาศัยเพียงพวกเจ้าไม่กี่คน…” เจียงหลีขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน นางกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “หอหลอมศาสตราสาขาย่อยถึงแม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้อง อันใดกับราชวงศ์ ถึงความเป็นตายของพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่พวกเขาฝั่งนั้นอย่างน้อยก็มีเหล่าลูกศิษย์คอยเฝ้าคุ้มกันอยู่หลายร้อยคน เขตแดนอยู่ทางฝั่ง ตะวันตกเฉียงใต้ หัวหน้าสาขาย่อยของพวกเขาตามข่าวที่รายงานมาก็ได้ยินมาว่าไม่นานนี้เพิ่งจะเข้าสู่ระดับชั้นสีม่วง”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” มู่ชิงเกอก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

เจียงหลีจ้องมองไปทางนางสีหน้ากังวลใจ แต่อยู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา ชี้ไปทางตนพลางถามว่า “ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยดีหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะมีอัตราความ สำเร็จมากขึ้นมาหน่อย!”

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า กล่าวปฏิเสธออกไป “ฐานะของเจ้าไม่ว่ายังไงก็ไม่ค่อยเหมาะ”

“ศิษย์น้องมู่ เช่นนั้นข้า…” ซางจื่อซูเพิ่งจะเปิดปากได้ไม่ทันไรก็พลันถูกมู่ชิงเกอขัดขึ้นก่อน “ศิษย์พี่ซาง ครั้งนี้ท่านไม่จำเป็นต้องไป อยู่วังหลวงอย่างวางใจแล้วรอข้ากลับมาก็พอแล้ว”

ซางจื่อซูเม้มปากเข้าหากัน อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

นางจ้องมองไปทางมู่ชิงเกออย่างลํ้าลึกลายตาหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “ก็ได้ เจ้าระวังตัวด้วย” หลังจากนั้นก็หมุนกายเดินจากไป แผ่นหลังตั้งตรงไม่สั่นไหว

มองไปยังแผ่นหลังของนาง เจียงหลีก็กล่าวเสียงเบากับมู่ชิงเกอ “นางโกรธแล้วรึ?”

มู่ชิงเกอจ้องเขม็งไปทางนางหนหนึ่ง ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “นางไม่กี่วันนี้บางทีอาจจะเก็บตัวฝึกฝน อย่าให้คนไปรบกวนนาง”

“หมายความว่ายังไง?” เจียงหลีใบหน้างุนงงจ้องมองไปทางนาง

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ได้กล่าวอธิบายแต่อย่างใด

นางก็เข้าใจซางจื่อซูดี นางที่จากไปนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่านางยอมเชื่อฟังแต่อย่างใด แต่กลับกันเป็นนางที่รู้ตัวว่าตนเองไม่อาจช่วยอันใดได้เลย เลยส่งผลให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ทำได้เพียงขยันขันแข็งใช้ทุกนาทีที่มีในการฝึกฝนให้มากที่สุด

“ออกเดินทางได้!” มู่ชิงเกอหันไปสั่งการกับองครักษ์เขี้ยวมังกร

“ช้าก่อน ยังมีข้า!” ทันใดนั้นเองด้านหลังก็ลอยดังมาด้วยเสียงเรียกเร่งร้อนสายหนึ่ง

มู่ชิงเกอกับเจียงหลีหันหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับเซวียเฉียวที่ก้าวเดินเข้าพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าไปด้วย

เจียงหลีกวาดตามองไปทางเขา กล่าวหยอกเย้าว่า “เจ้าไม่อยู่ในห้องหอเป็นเพื่อนภรรยาแสนรักของเจ้า วิ่งออกมาทำไมกัน?”

เซวียเฉียวสีหน้าแดงระเรื่อ ไม่ได้ตอบนาง แต่เป็นมองไปทางมู่ชิงเกอ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะไปทำอะไร ข้าจะตามไปกับเจ้าด้วย”

มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง กล่าวยิ้มๆ “ท่านรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร? แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกเขามาเพื่ออะไร?”

“ก็ไม่ใช่สาขาย่อยของหอหลอมศาสตรารึ? ข้าจะไปสนทำไมว่าพวกเขามาเพื่อสิ่งใด? ขอเพียงพวกเขาเข้ามาทำลายงานแต่งงานของข้า ทำให้เหลียนหรงน้อยเกิด ตกใจ ข้าก็จะต้องไปสั่งสอนพวกเขา!” เซวียเฉียวเชิดคอขึ้น

“ฟู่—! น่าขนลุกเชียว” เจียงหลีถูกคำเรียกมู่เหลียนหรง ของเขาทำเอาขนลุกชันขึ้น

มู่ชิงเกอในแววตาแฝงแววแย้มยิ้ม สำหรับท่าทีของเซวียเฉียวแล้วนางก็พอใจเป็นยิ่งนัก แต่นางก็ยังปฏิเสธ “พวกเขามาเพราะข้าและก็ถือเป็นความแค้นส่วนตัวของข้า จริงๆ แล้ววันนั้นที่ท่านกับอาหญิงโดนลูกหลงนั้นก็เป็นเพราะข้า พวกท่านไม่ถือโทษก็ดีมากแล้ว เรื่องที่เหลือให้ข้าจัดการเองเถอะ รับรองว่าพวกท่านจะต้องพอใจ”

ใครจะไปรู้ ดวงตาทั้งสองของเซวียเฉียวพลันเบิกกว้างขึ้น กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “นั่นก็ไม่ถูกต้อง! ข้าไม่ว่ายังไงก็ต้องไป! มีที่ไหนกันที่หลานชายถูกคนรังแก และข้าที่เป็นอาเขยผู้นี้กลับไม่ออกหน้าจัดการกัน?”

“ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นยอดฝีมือขั้นสีม่วงเชียวนะ!” เจียงหลีกล่าวลองเชิงขึ้น

แต่เซวียเฉียวก็ยังกล่าวว่าอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ยอดฝีมือขั้นสีม่วงน่ากลัวที่ไหนกัน! คนเดียวจัดการไม่ได้ หลายคนไปรุมเขาจนตายก็ได้แล้ว!”

เจียงหลีสูดลมหายใจลึกเข้าไป ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้แก่เขา รู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเขาขึ้นมา สามารถคิดถึงการใช้จำนวนคนไปรุมล้อมตัวการใหญ่ อย่างยอดยุทธ์ขั้นสีม่วงได้นี่ก็ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง!

มู่ชิงเกอกล่าวยิ้มๆ “อาหญิงรู้หรือไม่?”

พอกล่าวถึงมู่เหลียนหรง สีหน้าของเซวียเฉียวก็พลันเปลี่ยนสี กล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้าอาศัยจังหวะที่นางหลับวิ่งออกมา รอจนจัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว ข้าค่อย กลับไปรินชาขอรับผิดกับนาง”

“ในเมื่ออาหญิงไม่รู้ข้าก็ไม่มีทางพาท่านไปด้วย” มู่ชิงเกอส่ายหน้าขึ้นอย่างเอือมๆ

“ไม่ได้!” เซวียเฉียวขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ข้าเป็นสามีของอาหญิงเจ้า งานแต่งงานของพวกเราถูกก่อกวน ทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าผู้นี้ที่เป็นสามีก็จะต้องไปทวงความเป็นธรรมให้แก่นาง เจ้าที่เป็นเด็ก ปกป้องคุ้มครองเจ้าก็ถือเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสอย่างพวกข้า ถ้าหากให้ข้ารั้งอยู่แล้วเบิกตามองดูเจ้าจากไป หากอาหญิงของเจ้าตื่นขึ้นมาก็นางก็คงจะผิดหวังที่แต่งให้กับคนไม่ได้ความเช่นข้า!”

“ที่เขาพูดก็ดูมีเหตุผล!” เจียงหลีกะพริบตาปริบๆ มองไปทางมู่ชิงเกอ

ราวกับกำลังจะพูดว่า ในเมื่อเจ้ามั่นใจกับการเดินทางครั้งนี้มาก จะพาคนไปด้วยอีกคนก็คงไม่เป็นไร

มู่ชิงเกอทอดถอนใจขึ้นอย่างหมดหนทาง มองไปทางเซวียเฉียว “ก็ได้ไปด้วยกัน”

รอจนส่งพวกมู่ชิงเกอจากไปแล้ว ขณะที่เจียงหลีกลับไปถึงตัวตำหนักถึงค่อยค้นพบว่ามู่เหลียนหรงกำลังห่มผ้าคลุมผืนยาว ยืนเฝ้ามองอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดสายตา มองไปยังทิศทางที่มู่ชิงเกอกับเซวียเฉียวเดินจากไป

เจียงหลีจ้องมองไปทางนางพร้อมกับก้าวเดินเข้าไป พอมาถึงข้างกายของนางถึงได้ถามว่า “เจ้าตื่นอยู่แต่แรกแล้ว?”

มู่เหลียนหรงไม่ได้ถอนสายตากลับ ทำเพียงแค่พยักหน้าขึ้นเบาๆ เป็นการตอบกลับคำถามของเจียงหลี

“เช่นนั้นทำไมถึงไม่ออกไป?” เจียงหลีถามอย่างไม่เข้าใจ

มู่เหลียนหรงยิ้มขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหดหู่อยู่รางๆ “ข้าออกไปก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้ และพวกเขาก็คงไม่มีทางยอมให้ข้าไปด้วย แต่ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เชื่อมั่นในตัวมู่ชิงเกอ เด็กผู้นี้ก็ได้เติบใหญ่แล้ว ชะตาของตระกูลมู่ ไม่ทันรู้ตัวก็ได้ตกอยู่ในกำมือของนาง ไม่เพียงแต่แค่ตระกูลมู่ แม้กระทั่งผืนฟ้าของแผ่นดินฉินก็ล้วนแต่เป็นนางที่ควบคุมมันเอาไว้”

“พอได้ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจมู่ชิงเกอจริงๆ” เจียงหลีกล่าวเสียงเบา มู่เหลียนหรงยกมุมปากขึ้น นางก็ไม่สามารถตอบกลับคำพูดของเจียงหลีได้ ตั้งแต่เด็กสูญเสียบิดาผู้ให้กำเนิด อีกทั้งมารดาก็ยังมาหายสาบสูญไป ตัวคนเดียวแบกรับคำโกหกที่หนักหนาเอาไว้กับตัว เพียงเพื่อแลกมาด้วยความสงบสุขของตระกูล ลอบอดกลั้นอดทนอย่างเงียบเชียบแล้วในท้ายที่สุดก็ผงาดขึ้นมา ทุกย่างก้าวมู่ชิงเกอก็ล้วนแต่พึ่งพาตัวเองก้าวข้ามมันมา

มู่เหลียนหรงบางคราก็ยังรู้สึกว่าตัวเองที่เป็นอาหญิงไม่เพียงช่วยอันใดไม่ได้ กลับกันยังต้องให้หลานสาวผู้นี้มาคอยปกป้องคุ้มครอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version