Skip to content

พลิกปฐพี 164-3

ตอนที่ 164-3

ปิดประตูปล่อยหยวนหยวน!

แคว้นกู่วู่ก็ไม่ได้ใหญ่โตจริงๆ ระยะห่างของหอหลอมศาสตราสาขาย่อยที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้กับเมืองหลวงเจียงเฉิงก็ไม่ได้ห่างไกลกันเท่าไรนัก

สีฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น เงาร่างของคนยี่สิบกว่าคนพุ่งทะยานไปมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นถือว่ารวดเร็วมาก เหลือแค่เพียงเงาร่างรางๆ เป็นสายๆ

“ความเร็วของพวกเจ้าช่างรวดเร็วนัก!” เซวียเซียวฝืนตามขึ้นมาข้างกายมู่ชิงเกอ หันหน้าไปกล่าวกับนาง

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางๆ นี่ก็ยังเป็นผลลัพธ์ที่พวกนางออมพลังเอาไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าหากพวกนางใช้ออกมาสุดกำลัง เขาก็คงจะถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรทิ้งห่างจนไม่รู้ว่าต้องไปทางทิศไหนแล้ว

เซวียเฉียวหันมองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ด้านหลังสายตาหนึ่ง กล่าวกับมู่ชิงเกอ “พวกเขาล้วนเป็นเจ้าที่ฝึกปรือมา?”

มู่ชิงเกอพยักหน้าขึ้น ต่อให้เขาจะรู้คำตอบอยู่ตั้งแต่แรก แต่พอมาได้เห็นมู่ชิงเกอพยักหน้ายอมรับเองเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเหลือเชื่อนัก เขาที่ชื่นชอบในการฝึกฝนและหลงใหลในศาสตร์การต่อสู้ แน่นอนว่าก็ต้องรู้ว่าหากคิดอยากจะฝึกฝนองครักษ์ประจำตัวที่มีความสามารถเช่นนี้ ก็จำเป็นจะต้องสูญเสียทรัพยากรไปมากมายเพียงไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังมาจากแคว้นลำดับสาม

สำหรับหลานชายที่อายุยังน้อยแต่กลับสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ผู้นี้ เซวียเฉียวก็รู้สึกว่าตนเองไม่อาจวางมาดของผู้อาวุโสได้จริงๆ

“พอถึงหอหลอมศาสตราแล้วเจ้าวางแผนจะทำเช่นไร?” เซวียเฉียวถามอย่างใคร่รู้

มู่ชิงเกอแววตาเย็นเฉียบ เผยรอยยิ้มเย็นชาอย่างถึงที่สุดออกมา คายคำสองคำออกมาเบาๆ “ทำลาย”

คำตอบเช่นนี้ก็ทำเอาดวงตาทั้งสองข้างของเซวียเฉียว หดเล็กลง

แคว้นกู่วู่ ชายขอบทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็มีทะเลทรายตั้งอยู่ผืนหนึ่ง

เพราะว่าใต้พื้นดินมีอุโมงค์ลาวาแอบซ่อนอยู่ และตรงจุดนั้นก็ใช้เป็นที่ตั้งของหอหลอมศาสตราสาขาย่อย คนของสาขาย่อยก็สามารถใช้เพลิงลาวาในนั้นทำการ

หลอมยุทธภัณฑ์ได้ และก็เป็นเพราะอุโมงค์ลาวา ที่ส่งผลให้ในบริเวณหลายสิบลี้ล้วนแต่เป็นพื้นที่อันรกร้าง เป็นการคงอยู่ของผืนทรายสีแดง

พอเข้าใกล้ที่นี่ระดับอุณหภูมิก็พลันพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายส่วน

ทันดันนั้นเอง ในร่องหินแห่งหนึ่งก็พลันปรากฏแววตาแจ่มชัดและเยียบเย็นคู่หนึ่งขึ้น เขาจ้องมองไปทางหมู่ตึกที่ปรากฏรางๆ อยู่ด้านหน้า ก่อนจะลอบจดจำการจัดวางของพวกมันไว้ในใจ

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เขาถึงค่อยลอบถอยออกไป

พอออกมาจากทะเลทรายเขาก็พุ่งเข้าไปทางดงไม้กลุ่มหนึ่ง

ในนั้นก็ยังนั่งอยู่ด้วยคนอีกยี่สิบกว่าคน แต่ละคนพากันนั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่ากำลังฟื้นฟูพลังยุทธ์

เขาพุ่งเข้าไปชันเข่าด้านหน้าของคนสวมชุดสีแดง “คุณชาย ข้าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”

คำพูดพอจบลง มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น

แต่องครักษ์เขี้ยวมังกรผู้นี้ก็ไม่ได้ส่งเสียงอันใด แต่เป็นหยิบกิ่งไม้หักบนพื้นขี้นมา ภายใต้สายตามหัศจรรย์ใจของเซวียเฉียว เขาก็วาดการจัดวางอย่างง่ายๆ ของหมู่อาคารลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากวาดเสร็จ เขาทิ้งกิ่งไม้ลง ชี้ไปทางหมู่อาคารแล้วกล่าวว่า “ในหอหลอมศาสตรา มีเพียงหอคอยหนึ่งแห่ง ในตัวหอคอยก็เหมือนจะมีแสงไฟเปล่งประกายอยู่ ตรงนี้เป็นบริเวณที่พักของเหล่าลูกศิษย์ จุดนี้เป็นโกดังเก็บวัตถุดิบในการหลอมศาสตรา ส่วนหัวหน้าของสาขาย่อยพำนักอยู่ที่นี่”

หลังจากเขาอธิบายไปรอบหนึ่ง การจัดวางของทั้งหอหลอมศาสตราสาขาย่อยก็พลันปรากฏชัดเจนขึ้นมา

ต่อจากนั้นก็พลันกล่าวต่อว่า “ในตอนที่ข้าน้อยกำลังตรวจสอบ ก็ค้นพบว่าคนคุ้มกันของพวกเขาค่อนข้างหละหลวม แต่กลไกที่คอยป้องกันศัตรูก็ดูจะพิเศษอยู่ บ้าง”

พอกล่าวจบเขาก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาอีกครั้ง วาดลงไปบนพื้นหลายขีดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกออย่างละอายใจ “ของสิ่งนี้ ข้าน้อยก็ไม่เคยพบมาก่อน ไม่ทราบว่ามันมีการใช้งานเช่นไร”

เขาก็วาดออกมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ยังสามารถทำให้คนที่มองดู มองเข้าใจรูปลักษณ์ของมันได้ เซวียเฉียวขมวดคิ้วมองดู ก่อนที่อยู่ๆ จะกล่าวว่า “ของสิ่งนี้ข้ารู้จัก! เป็นของที่หอหลอมศาสตราคิดค้นขึ้น เป็นอาวุธสงครามที่ใช้ในการป้องกันชนิดหนึ่ง เห็นบอกว่า ครั้งหนึ่งสามารถปล่อยธนูออกไปได้จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังยิงออกไปได้อย่างต่อเนื่อง พลังของแต่ละศรก็ล้วนแต่เทียบเท่ากับผู้ฝึกพลังขั้นสีเหลือง ของชิ้นนี้พวกเขาก็เคยขายให้ทางแคว้นอวี่ ในตอนนี้บนกำแพงเมืองของ เมืองขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่แคว้นอวี่ก็ล้วนแต่ติดตั้งอาวุธสงครามชนิดนี้”

พอกล่าวจบ เขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอ ก่อนจะเห็นว่านางก็ขมวดคิ้วอยู่เช่นกัน เดิมทีนึกว่านางจะรู้สึกตึงมือ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว กลับคายคำพูดประโยคหนึ่งออกมา “ล้าหลังเกินไปแล้ว”

ยังไม่ทันทำความเข้าใจกับคำพูดประโยคนั้นได้ชัดเจน มู่ชิงเกอก็พลันลุกยืนขึ้น สั่งให้ออกเดินทาง

พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อย ทำการเก็บกวาดสิ่งของทั้งหมด ไปจนถึงปัดกวาดร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ก่อนจะตามติดมู่ชิงเกอไปทางทะเลทรายสีแดงผืนนั้น

ระหว่างเดินทาง เซวียเฉียวก็เขยิบไปข้างๆ องครักษ์เขี้ยวมังกรคนก่อนหน้าที่ออกไปดูลาดเลามา กล่าวอย่างชื่นชม “เจ้าเพียงแค่ออกไปชั่วครู่ก็สามารถสืบเสาะเรื่องราวออกมาได้มากมายเช่นนี้เชียว?”

องครักษ์เขี้ยวมังกรผู้นั้นมองไปทางเขาอย่างนิ่งๆ ก่อนจะทิ้งคำพูดไว้ให้เขาด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ยังไม่พอ”

เซวียเฉียวนิ่งชะงักไป ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

มั่วหยางพุ่งผ่านมาพอดี พอเห็นเขามีท่าทางงุนงง คิดขึ้นว่าไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นสามีของคุณหนูใหญ่ ก็เลยเจตนาดีกล่าวอธิบายออกไป “ที่เขากล่าวก็ถูก ข้อมูลเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ”

พอเขาอธิบายจบก็พุ่งผ่านเซวียเฉียวไปตรงๆ เซวียเฉียวกลับยิ่งงงขึ้นกว่าเก่า จ้องมองไปทางมั่วหยาง เหมือนอยากจะร้องไห้ เขาที่อธิบายเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ เข้าใจอะไรมากขึ้นเลยมิใช่หรือ?

หลังจากการสื่อสารไม่ได้ผล เซวียเฉียวก็เร่งเท้าขึ้นไป ข้างกายของมู่ชิงเกอ ถามว่า “เจ้ามีแผนการหรือยัง?”

“มีแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างจริงจัง “บุกตีตรงๆ!”

“อ่อ บุกเข้าไปตรงๆ…เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” เซวียเฉียวพลันได้สติกลับมา อีกนิดเดียวก็เกือบจะกัดลิ้นของตัวเอง การบุกเข้าไปตรงๆ ก็เป็นแผนการด้วยรึ?

“ทำไม? กลัวรึ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นถามเขา

เซวียเฉียวพลันเชิดอกขึ้น ตีมือลงไปแรงๆ “พูดอะไรกัน? ข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรู้จักว่าคำว่ากลัวสะกดเช่นไร!”

“เช่นนั้นก็ดี” มู่ชิงเกอเปิดปากหัวเราะขึ้น

ในขณะเดียวกัน นางคิดแล้วคิดก่อนจะกล่าวให้กำลังใจขึ้นมา “ก็แค่กวาดล้างเศษเดนของหอหลอมศาสตรากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่เห็นจำเป็นจะต้องคิดแผนการอันใด”

“ใช่ ยกย่องพวกเขาเกินไปแล้ว” มั่วหยางกล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยคอย่างเย็นชา

เซวียเฉียวกลายเป็นนิ่งงันอ้าปากค้างขึ้น นึกสงสัยไปว่า หูของตัวเองไม่ได้ฟังเพี้ยนไปใช่หรือไม่

ตระกูลมู่ก็คงไม่ใช่แคว้นระดับสามแล้วกระมัง พวกเขาจริงๆ แล้วก็เหมือนกับมาจากตระกูลทรงอำนาจของแคว้นอันดับหนึ่ง แต่ต่อให้เป็นตระกูลทรงอำนาจของ แคว้นอันดับหนึ่งพวกนั้น หากต้องมาเผชิญหน้ากับหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ของแผ่นดินหลินชวนเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางมีท่าทีนิ่งขรึมเช่นนี้ได้หรอกกระมัง?

เศษเดน?

จะต้องรู้ก่อนว่า เศษเดนกลุ่มนี้เวลาอยู่ที่แคว้นอวี่ ตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ต่างก็ให้เกียรติกันเป็นอย่างมาก

ไปจนถึงขั้นที่การได้รับยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณจากหอหลอมศาสตราชิ้นหนึ่งก็ถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง

แต่ว่า การที่สามารถบุกมาฆ่าล้างเศษเดนที่มีความอวดดีพวกนี้ถึงถิ่นได้ ก็ถือเป็นเรื่องทำให้คนรู้สึกสะใจอย่างถึงที่สุดเรื่องหนึ่ง! พอคิดถึงตรงนี้ได้อกและไหล่ของเซวียเฉียวก็พลันเชิดตรงขึ้น ตาเห็นระยะห่างของหอหลอมศาสตรายิ่งมายิ่งใกล้มากขึ้น มู่ชิงเกออยู่ก็กล่าววาจาขึ้นมา “เพิ่มความเร็วขึ้นหน่อยพวกเราจะได้กลับไปกินข้าวเย็นทัน!”

เสียงของนางพอจบลง มั่วหยางก็นำพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรชักอาวุธกันออกมา พุ่งตรงไปทางหอหลอมศาสตรา

เซวิยเฉียวจับจ้องมองไป กลับค้นพบว่าที่พวกเขาถืออยู่ ล้วนแต่เป็นยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณ อีกทั้งในมือก็ยังมีสิ่งของที่เขายังไม่เคยพบมาก่อนอยู่ด้วย “นี่มันอุปกรณ์พวกนี้ก็จะดู ดู…”

เวลาใดกันที่ยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณมีจำนวนล้นตลาดเช่นนี้?

พวกเขาที่เป็นคนของตระกูลใหญ่ก็ล้วนแต่ยากนักที่จะได้ครอบครองยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณ แต่พอมาอยู่กับมู่ชิงเกอที่นี่ กลับเป็นองครักษ์ประจำกายแต่ละคนมีคนละชุด

องครักษ์เขี้ยวมังกรพุ่งเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ไม่ได้ปกปิดรูปลักษณ์ของตน และแน่นอนว่าก็ถูกศิษย์ของหอหลอมศาสตราตรวจพบได้อย่างรวดเร็ว

“หยุด! พวกเจ้าเป็นใครกัน? ผู้บุกรุกหอหลอมศาสตราสาขาย่อยจักต้องตาย!” บนหอสังเกตการณ์มีเสียงตวาดเตือนสะท้อนลงมา

และอาวุธสงครามชิ้นนั้นที่เซวียเฉียวกล่าวถึง ก็ได้เล็งไปทางพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้ว ราวกับว่าสามารถยิงมันออกมาได้ทุกเมื่อ

แต่พวกเขาก็ไม่ได้รอให้อาวุธชิ้นนั้นได้แสดงพลัง เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรพากันยกปืนพกในมือขึ้นเล็งมันไปทางอาวุธชิ้นนั้นก่อนจะพากันลั่นไกปืนออกไปอย่างบ้าคลั่ง ชั่วขณะนั้นอาวุธประจำป้อมปราการที่ถูกกองทัพของแคว้นอวี่ยกย่องพวกนั้นก็พลันมลายกลายเป็นเศษซากอยู่ตรงหน้าของเซวียเฉียว

เขามองดูจนดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง ถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ

ส่วนการโจมตีที่ไหลลื่นคล่องแคล่วขององครักษ์เขี้ยวมังกร ก็ทำเอาหอหลอมศาสตราสาขาย่อยตกเข้าสู่ความวุ่นวายไปชั่วขณะ

ข่าวสารก็ส่งไปถึงหูของเหยียนหวาที่เตรียมจะอาบนํ้า หลังจากเพิ่งตื่นนอนได้อย่างรวดเร็ว

“ว่ายังไงนะ? ศัตรูลอบโจมตีรึ? ใครกันที่บังอาจมาล่วงเกินหอหลอมศาสตราของข้า?” เหยียนหวาพอได้ฟังก็พลันผลักศิษย์หญิงที่เมื่อคืนคอยปรนนิบัติตนออกไป ก้าวยาวๆ เดินออกไปด้านนอก

ส่วนด้านนอก การโจมตีอันดุเดือดขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้เข้าไปถึงกำแพงป้องกันของหอหลอมศาสตราแล้ว!

มู่ชิงเกอมือไขว้หลังเดิมตามไป ท่าทางเช่นนั้นก็เหมือนกับว่าตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ที่เรือนพักต่างเมืองก็ไม่ปาน

เห็นเซวียเฉียวยังคงนิ่งตะลึงอยู่ มู่ชิงเกอก็คิดหวังดีกล่าวเตือนขึ้น “อาเขย ถ้าหากท่านยังเดินอยู่ตรงนี้ เกรงว่าการมาในครั้งนี้ก็คงจะมาอย่างเสียเปล่าแล้ว”

การกล่าวเตือนประโยคนี้ก็ทำให้เซวียเฉียวหลุดออกจากภวังค์

เขาเร่งรีบระเบิดพลัง ราวกับนกอินทรีก็ไม่ปานพุ่งดิ่งเข้าไป เข้าสู่การปะทะ

ศิษย์ของหอหลอมศาสตรายิ่งนานก็ยิ่งพุ่งออกมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าพอต้องเผชิญหน้ากับเขี้ยวเล็บขององครักษ์เขี้ยวมังกร พวกเขาก็ทำได้แต่ถอยร่นไม่เป็นท่า

“ช้าก่อน”

ในตอนที่เซวียเฉียวฟาดฝ่ามือโจมตีไปทางศิษย์ของหอหลอมศาสตราผู้หนึ่ง มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็กล่าวกับเขา

เซวียเฉียวหันมองไปอย่างงุนงง ก่อนจะเห็นว่ามีของชิ้นหนึ่งพุ่งลอยมาทางเขา เขายื่นมือออกไปรับ จับจ้องมองไปก่อนจะพบว่ามันเป็นดาบยักษ์เก้าห่วง ยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณชั้นยอดขึ้นหนึ่ง

ในดวงตาของเขาปรากฏแววตกตะลึง แต่ก็ยังกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “ข้ายังมีอาวุธของตนอยู่!” เขาก็ไม่ได้พูดโกหก ตอนที่ออกมาจากตระกูล เขาก็ได้นำอาวุธที่ บิดามอบให้ตนตอนที่เขาเพิ่งจะทะลวงเข้าระดับขั้นสีนํ้าเงินติดตัวมาด้วย เป็นดาบห่วงเดี่ยวยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณขั้นกลาง

มู่ชิงเกอกล่าวเสียงเรียบ “ของขวัญวันแต่งงาน”

ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำก็ทำเอาเซวียเฉียวต้องดึงคำพูดของตนเองกลับ เขาแหงนหน้าขึ้นหัวเราะฮ่าๆ ยกดาบเก้าห่วงขึ้นเริ่มต้นการล่าสังหาร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version