ตอนที่ 164-4
ปิดประตูปล่อยหยวนหยวน!
“ผู้ใดบังอาจมาก่อกวนที่หอศาสตราสาขาย่อยของข้า!”
ท้องฟ้าอยู่ๆ ก็สะท้อนมาด้วยเสียงคำรามสายหนึ่ง เงาร่างของเหยียนหวาพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เขาพอปรากฏกายออกมาก็ใช้ออกด้วยพลังกดดันอันกล้าแกร่งของยอดยุทธ์ระดับขั้นสีม่วง สั่นสะท้านจนคนบนพื้นทั้งหมดนอกจากมู่ชิงเกอแล้วต้องพากันชันเข่าลงไม่อาจขยับไปไหนได้
มั่วหยางกัดฟันกรอดพยายามแหงนหน้ามองไปทางเหยียนหวา ในแววตาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
เซวียเฉียวก็เช่นกัน เขาพยายามยกดาบเก้าห่วงในมือของตนขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำอันใดได้ กลับกัน กลับเป็นแผ่นหลังของตนที่หลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
“หึ” เสียงสบถเบาๆ เสียงหนึ่งก็คล้ายกับค้อนยักษ์ก็ไม่ปานทุบทำลายพลังกดดันของเหยียนหวา พวกมั่วหยางพลันรู้สึกแผ่นหลังของตนเบาสบายขึ้นพา กันลุกยืนขึ้นมาก่อนจะเริ่มทำการโต้กลับ เซวียเฉียวสีหน้าตกตะลึงจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ ตอนนี้เองเขาก็เพิ่งจะคาดเดาได้ถึงความเก่งกาจของมู่ชิงเกอ
เหยียนหวาก็เช่นกันถูกเสียงสบถของมู่ชิงเกอสะท้านจนขั้วหัวใจหนาวยะเยือก สายตาอันแหลมคมของเขาจ้องมองไปยังมู่ชิงเกอ นัยน์ตาทั้งสองข้างหดเล็กลง จำหน้านางได้ “เป็นเจ้า!”
มู่ชิงเกอคร้านที่จะพูดคุยไร้สาระกับเขา แล้วก็ยิ่งคิดว่าไม่มีอันใดให้ต้องพูดกันอีก
นางสะบัดมือวาดขึ้น เรียกหยินเฉินออกมา
หยินเฉินพอปรากฎกายก็กลายเป็นร่างเดิมอย่างราวเร็ว เงาร่างใหญ่ราวภูเขาก็ทำเอาศิษย์ของหอหลอมศาสตราพากันตื่นตระหนก หางเก้าหางส่ายด้านหลังก็ยิ่งทำให้คนหวั่นเกรงขึ้น
“ฆ่าเขาซะ” มู่ชิงเกอสั่งการขึ้นเสียงหนึ่ง หยินเฉินพลันกลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่ง พุ่งทะยานไปทางเหยียนหวาที่กำลังตกอยู่ใความตกตะลึง
‘อะไรที่เรียกว่าเป็นการกลั่นแกล้งน่ะหรือ?! ก็เป็นเช่นนี้ไง!’ เซวียเฉียวเบิกตากว้างมองไปทางหยินเฉินกับเหยียนหวาที่กำลังปะทะกันอยู่บนฟากฟ้า ตกตะลึงจนไม่สามารถตกตะลึงไปไหนได้อีก
เขาก็รู้สึกว่าตัวเองที่ตามมาก็เหมือนกับเป็นตัวแถม มากอบโกยผลงานโดยไม่ต้องลงแรง!
การปะทะบนพื้นดินกับการปะทะบนท้องฟ้า ก็ไม่จำเป็นต้องให้มู่ชิงเกอลงมือเอง นางก็ดูค่อนข้างเบื่อหน่ายยืนนิ่งอยู่กับที่ เตะเศษหินใกล้ๆ เท้าฆ่าเวลาไปพลาง
ทันใดนั้นเอง นางก็กะพริบตาวาววับขึ้น คิดถึงงาน งานหนึ่งที่ช่วยให้ตนเองไม่ต้องใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่าเช่นนี้อีก
ชั่วขณะนั้น นางก็พลันหายไปโดยไร้เสียง หายตัวไปจากจุดนั้น
ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ได้มาปรากฏอยู่ด้านนอกโกดังที่ใช้เก็บวัตถุดิบของหอหลอมศาสตราแล้ว ด้านล่างของหอหลอมศาสตราก็กำลังตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย ที่นี่ก็ไม่มีใครคอยเฝ้าอยู่
มู่ชิงเกอถีบประตูเข้าไปเท้าหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ มือไขว้หลังก้าวเท้าออกเดินเข้าไปด้านในอย่างผ่าเผย
“ผู้ใดบังอาจบุกเข้า…”
ผู้อาวุโสที่ลอบเฝ้าอยู่ในเงามืดยังไม่ทันได้กล่าวประโยคเตือนจบ ซากศพก็พลันล้มตกลงบนพื้น แยกขาดเป็นสองส่วน
มู่ชิงเกอมองไปทางศพศพนั้นอย่างนึกรังเกียจ กล่าวเสียงเรียบ “ระดับนํ้าเงินขั้นสูงสุด” ตอนนี้นางก็เป็นถึงระดับสีม่วงขั้นกลาง อยากจะฆ่าเขาก็ง่ายดายเหมือน กับเหยียบมดตัวหนึ่ง
พอจัดการผุ้อาวุโสที่เฝ้าอยู่อย่างลับๆ ได้แล้ว มู่ชิงเกอก็เดินเข้าไปในตัวโกดัง กวาดตามองไปยังวัตถุดิบของหอหลอมศาสตรา วัตถุดิบส่วนมากของสาขาย่อยก็มาจากในทะเลเของแคว้นกู่วู่ ทั้งยังมีบางส่วนที่ได้รับมาจากนักพเนจรที่มาจากต่างแดน
ของพวกนี้มู่ชิงเกอมองคร่าวๆ คราหนึ่ง ก่อนจะกวาดพวกมันทั้งหมดเก็บไปในช่องว่าง
ต่อจากนั้นนางก็ไปที่เรือนพักของเหยียนหวาอีกรอบหนึ่ง เอาเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับการหลอมศาสตราของหอหลอมศาสตราจำนวนหนึ่งเก็บมาจนหมด
จากนั้น นางก็ครุ่นคิดอยู่หนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่าของดีจริงๆ น่าจะอยู่ที่ตัวของเหยียนหวา
ในเมื่อตามความจริงแล้ว โรงโอสถก็ยังมีการคงอยู่ของกระเป๋าจัดเก็บ หอหลอมศาสตราก็ไม่น่าจะไม่มีมันได้
พอคิดถึงจุดนี้ได้มู่ชิงเกอก็เคลื่อนกลับไปทางสนามรบอันดุเดือด
แหงนหน้าขึ้นไปมองการต่อสู้บนท้องฟ้า แล้วมู่ชิงเกอก็หายวับไปอีกครั้ง ในตอนที่ปรากฏกายออกมาก็โผล่มาที่ข้างกายของเหยียนหวาที่ถูกหยินเฉินจัดการจนมีสภาพสะบักสะบอม
นางที่อยู่ๆ ก็ปรากฏกายออกมาก็ทำเอาเหยียนหวาตกใจยิ่งนัก
สายตาของมู่ชิงเกอก็จ้องมองไปยังกระเป๋าจัดเก็บที่เขาซ่อนอยู่ในเสื้อตรงๆ บางคนแววตาไหววูบขึ้นมา ด้วยความเร็วอันสูงสุดที่ไม่คิดปิดปัง ล้วงดึงเอากระเป๋าจัดเก็บออกมา หลังจากนั้นในขณะที่เหยียนหวายังตกตะลึง อยู่ก็เผยรอยยิ้มฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น “ข้าเพียงแค่ผ่านทางมา พวกเจ้าต่อได้ ข้าไม่รบกวนแล้ว”
พอกล่าวจบนางก็หมุนกายเตรียมจะจากไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะทิ้งคำกล่าวอันเย็นยะเยือกเอาไว้ “หยินเฉิน โจมตีรวบรัดหน่อย พวกเรายังต้องรีบกลับไปกินข้าวเย็น”
เหยียนหวาอีกนิดเดียวก็เกือบพ่นเลือดออกมา เขาก็อยากจะฆ่ามู่ชิงเกอ แต่การโจมตีอันร้ายกาจของหยินเฉินก็พลันพุ่งเข้ามาถึงก่อน มู่ชิงเกอกลับไปยืนอยู่ที่เดิม ส่งจิตเข้าไปตรวจสอบกระเป๋าจัดเก็บของเหยียนหวาอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าตรงชั้นนอกของมันกลับมีพลังชั้นหนึ่งขวางกั้นพลังวิญญาณของนางเอาไว้ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ วาดมือส่งพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าออกไปตรงๆ ลบ ทำลายพลังที่ขวางกั้นอยู่บนกระเป๋าจัดเก็บ
เจ้าของเดิมยังมีชีวิตอยู่ แต่ตราประทับวิญญาณกลับถูกฝืนลบทิ้งออกไป เหยียนหวาก็พลันกระอักเลือดออกมาในทันใด พลังวิญญาณได้รับบาดเจ็บ
แววตาอันเคียดแค้นของเขากวาดตามองไปยังมู่ชิงเกอที่กำลังตรวจค้นกระเป๋าจัดเก็บของตน กัดฟันกรอดพลางกล่าวอย่างชิงชัง “จะหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว! จะรังแกกันเกินไปแล้ว! ได้ เป็นเจ้าเองนะที่บีบคั้นข้า!” พอกล่าวจบ เขาก็ยอมถูกหยินเฉินฟาดใส่กรงเล็บหนึ่ง ก่อนจะถอยกลับไปยังหอคอยของหอหลอมศาสตรา เขาร่วงตกไปยังยอดบนสุดของตัวหอคอย ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เส้นผมปลิวสยายไปมา ท่าทางน่าอนาถนัก มู่ชิงเกอในตอนนี้กลับยังคงพึมพำอยู่กับตัวเอง “มีของดีอยู่จริงๆ ด้วย! วัตถุดิบชั้นสูงก็ล้วนแต่ถูกจัดเก็บเอาไว้ที่นี่กระมัง? ก็เป็นเจ้าโจรเฒ่าผู้นี้ที่ลอบยักยอกเอาไว้เองรึ?”
เหยียนหวาก็มองดูจนดวงตาปูดบวมออกมา เกรี้ยวกราดจนร่างกายสั่นไหว
เขาคำรามขึ้น “ดี! วันนี้ข้าก็ขอแลกชีวิตกับพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ให้พวกเจ้าตกตายไปพร้อมกันกับข้า!” พอกล่าวจบ พลังทั่วร่างของเขาก็แผ่พุ่งออกมาส่งมันเข้าไป ในยอดหอคอยด้านล่าง
ในหอคอยก็เต็มไปด้วยแสงของเปลวไฟราวกับเป็นปากทางออกของอุโมงค์ลาวาที่อยู่ใต้ดิน
อุโมงค์ลาวาก็ถือเป็นปล่องภูเขาไฟใต้ดิน
เซวียเฉียวดวงตาทั้งสองข้างหดเล็กลงเร่งรีบก้าวถอยไปข้างกายของมู่ชิงเกอ กล่าวว่าอย่างเร่งร้อน “ไม่ดีแล้ว! เขาจะชักนำให้อุโมงค์ลาวาระเบิดออกมา! รีบถอยเร็วเข้า! ”
แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีท่าทางกังวลใจแม้แต่น้อย เพียงแค่จ้องมองไปทางการดิ้นรนของเหยียนหวาด้วยสายตาเย็นเยือก
มั่วหยางกับพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็พากันถอยมาข้างกายของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ส่วนศิษย์ของหอหลอมศาสตราพวกนั้นพอเห็นหัวหน้าสาขาของตนกลายเป็นบ้าคลั่งไปแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนวันโลกาวินาศกำลังจะเข้ามาเยือนนั้น ก็ทำเอาพวกเขาถอยกระเจิงออกไปรอบทิศอย่างไม่คิดชีวิต
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า—–
ครืน ครืน ครืน—–
ปัง ปัง ปัง—–! ปัง ปัง ปัง—–!
ภายใต้เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของเหยียนหวา หอคอย ใต้ร่างของเขาก็พลันถล่มลง เปลวเพลิงจากใต้ผืนดินก็พลันพวยพุ่งขึ้นมา ลุกลามออกไปจนทะเลทรายตรง หน้ากลายเป็นทะเลเพลิงไปในทันใด
ศิษย์หอหลอมศาสตราที่วิ่งออกไปไม่ทันกับพวกที่วิ่งหนีออกไปไกลแล้ว ล้วนแต่ถูกทะเลเพลิงกลืนกินเข้าไปจนหมด ถึงขนาดเสียงร้องโหยหวนก็ยังเปล่งมันออกมาไม่ทัน
ทะเลเพลิงค่อยๆ ลุกลามไปทางมู่ชิงเกอ
เหยียนหวาที่ถูกเปลวเพลิงล้อมรอบกายเอาไว้ ก็พลันหัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า—–! ข้าก็จะพาพวกเจ้าตกตายตามไปด้วย! ข้าไม่รอดพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอด—–!”
“แย่แล้ว!” เซวียเฉียวสีหน้าเคร่งเครียด ยืนออกไปขวางหน้ามู่ชิงเกอเอาไว้
แต่แล้วมู่ชิงเกอก็ยื่นมือออกไปผลักเขาไปอีกทาง เรียกขึ้นประโยคหนึ่งท่าทางนิ่งขรึม “หยวนหยวนออกมา”
ทันใดนั้นข้างกายของมู่ชิงเกอก็พลันปรากฏทารกอวบอ้วนที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อนผู้หนึ่ง ขาทั้งสี่คลานอยู่กับพื้น เหมือนกับว่าแม้แต่การเดินก็ยังทำไม่เป็น
หยินเฉินที่ยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอก็เหล่มองไปทางหยวนหยวนสายตาหนึ่ง ปากจิ้งจอกยกยิ้มขึ้น
“…..แม่”
หยวนหยวนที่เตรียมจะเรียก ‘ลูกพี่ท่านแม่’ กลับถูกมู่ชิงเกอกลึงตาใส่หนหนึ่งจนกลืนคำพูดลงไปไม่ทัน เขาก็เบะปากขึ้นอย่างเจ็บชํ้าใจราวกับว่าอีกนิดเดียวก็จะร้องไห้ออกมา
“นี่ นี่มันลูกชายบ้านไหนกัน?” เซวียเฉียวจ้องมองไปทางหยวนหยวนอย่างงุนงง ไม่ต้องกล่าวถึงเขา แม้แต่พวกมั่วหยางก็ยังมีสีหน้างุนงงเช่นกัน
นี่ก็เป็นเด็กดวงซวยที่โผล่มาจากที่ไหนกัน พอมองเห็นนายน้อยของพวกเขากลับเปิดปากเรียก ‘แม่?’ ขึ้นมาได้
“ดับไฟ” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงเย็น
หยวนหยวนตอนนั้นเองถึงได้หันมองไปทางทะเลเพลิงที่อยู่ตรงหน้า
ทันใดนั้นเองกลิ่นไอของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนไป แววตากระจ่างใสก็พลันกลายเป็นดุดันขึ้นมา เขากล่าวว่าในใจ ‘เปลวเพลิงดาษดื่นเช่นพวกเจ้ากลับกล้ามารังแกลูกพี่ท่านแม่ของข้า!’
ทันใดนั้นเองเขาก็พลันเปิดปากขึ้น เปลวเพลิงสีขาวอมนํ้าเงินก็พลันพวยพุ่งออกไป พริบตาพุ่งไปทางทะเลเพลิง ทำการเผาทำลายมันจนกลายเป็นทุ่งหิมะ
อุณหภูมิที่ลดตํ่าลงอย่างกะทันหันกับฉากภาพที่แปลกประหลาดฉากภาพนี้ก็ทำเอาฝูงชนตกตะลึงขึ้น ทำเอาพวกเขาร่างกายแข็งค้างในทันใด
แต่หยวนหยวนก็เหมือนกับไม่สนใจแม้แต่น้อย ปากพองขึ้นก่อนจะพ่นไฟออกไปอีกครั้ง ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงก็ถูกตีร่นออกไป พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ก็พลันล้อมรอบทั่วทั้งหอหลอมศาสตราเอาไว้
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ พญาเพลิง พญาเพลิงปีศาจไปกู่…”
เป็นถึงหัวหน้าสาขาย่อยของหอหลอมศาสตรา ความเข้าใจในพญาเพลิงของเหยียนหวาก็ไม่ได้น้อยไปกว่ามู่ชิงเกอ เขาจำได้ถึงความเป็นมาของพญาเพลิงตนนี้ แล้ว ในตอนที่จำได้นั้นเองก็ได้ตกตายด้วยเงื้อมมือของมัน พอร่างของเหยียนหวาที่ตกอยู่ภายใต้พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่กลายเป็นกลุ่มไอสีขาว หยวนหยวนก็พลันสูดลมหายใจกลับ ดึงพญาเพลิงไป๋กู่เก็บกลับไป
ไม่รอให้เขาเข้ามาร้องเรียกของรางวัล ก็พลันถูกมู่ชิงเกอเก็บกลับเข้าช่องว่างไป
ส่วนหอหลอมศาสตราภายใต้สายตาของกลุ่มคนก็สลายกลายเป็นควันสีขาว พอถูกลมพัดเข้าใส่วูบหนึ่ง ก็พลันสลายหายลับไป………..
ทะเลทรายสีแดงกลายเป็นสีดำ เหมือนกับว่าที่นี่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ที่นี่ก็ไม่เคยมีหอหลอมศาสตราตั้งอยู่
“กลับกันเถอะ” มู่ชิงเกอสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเตรียมจะเดินจากไป
หยินเฉินมองไปทางมู่ชิงเกอพลางกล่าวว่า “นายท่าน ข้าพาท่านกลับไป”
มู่ชิงเกอคิดแล้วคิดแต่ก็ยังปฏิเสธออกมา เก็บหยินเฉินกลับเข้าไปในช่องว่าง
หยินเฉินถือเป็นคู่หูของนาง ไม่ใช่สัตว์พาหนะของนาง อีกอย่างนางก็ไม่ได้สูญเสียพลังออกไปแต่อย่างใด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้หยินเฉินพานางกลับไป
ยามคํ่า มู่ชิงเกอก็นำพากลุ่มคนกลับเข้าไปในวังหลวงของเมืองเจียงเฉิงอย่างเงียบเชียบ
“กลับมาแล้วรึ?” เจียงหลีนั่งอยู่บนบัลลังก์ของนาง หยิบกินผลไม้เลิศรส สำหรับการกลับมาของมู่ชิงเกอก็เหมือนจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
มู่ชิงเกอพยักหน้า กล่าวว่ากับนาง “ข้าไปล้างตัวก่อน”
เจียงหลีพยักหน้า
หลังจากนางจากไปแล้ว นางก็มองเห็นเข้ากับพวกเซวียเฉียวกับมั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรที่มีท่าทางไม่ถูกต้อง กล่าวอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าเป็นอันใดรึ? แต่ละคนก็ดูเหมือนกับวิญญาณหลุดออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น”
เซวียเฉียวสูดลมหายใจเข้าไปสายหนึ่ง ส่ายหน้าขึ้นแรงๆ “ไม่มีอันใด แหะ แหะ การเร่งเดินทางครั้งนี้ก็ค่อนข้างเหนื่อยยากนัก ข้ากลับไปหาเหลียนหรงน้อยก่อนแล้ว”
พอกล่าวจบก็หมุนกายถอยออกไป
“เร่งเดินทางมันเหนื่อยมากรึ?” เจียงหลีทวนคำพูดของเซวียเฉียวขึ้น ปากกัดไปที่ผลไม้อีกคำหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
นางก็มองไปทางมั่วหยาง
มั่วหยางก็ไม่รอให้นางถาม พูดออกไปตรงๆ “ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
หลังจากนั้นก็เดินจากไปเพียงลำพัง
องครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ ก็พากันบอกว่าตนเองอยากอยู่เงียบๆ เช่นกัน อยากจะทบทวนตนเพียงลำพัง ชั่วขณะนั้นด้านหน้าของเจียงหลีก็กลายเป็นว่างเปล่าไร้ผู้คน นางนั่งนิ่งอยู่กับที่ กล่าวพลางกะพริบตาปริบๆ “เงียบๆ? ทำไมต้องอยู่เงียบๆ?”