Skip to content

พลิกปฐพี 169-3

ตอนที่ 169-3

เสี่ยวเฮยแสดงพลัง!

มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ พลิกฝ่ามือ หม้อผลาญสวรรค์ พลันปรากฏขึ้นบนมือของนาง

หม้อหลอมสีแดงเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับสายลม มันที่อยู่ในฝ่ามือของมู่ชิงเกอพลันพุ่งออกไปเอง ยิ่งมายิ่งกลายเป็นขยายใหญ่ขึ้น ความแปลกประหลาดนี้ไม่ทัน ไรก็พากันดึงดูดความสนใจของฝูงชนที่อยู่บนพื้น

“หม้อผลาญสวรรค์!” หัวชางซู่กล่าวอย่างตกตะลึง

เขามองไปทางหม้อหลอมสีแดงเลือดที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เกรงว่าเขาไม่ว่ายังไงก็คงจะไม่อาจคาดเดาได้ว่าหม้อผลาญสวรรค์จะอยู่กับตัวของมู่ชิงเกอ

“มัน…มันอะไรกัน?”

“เหมือนจะเป็นหม้อหลอมโอสถ”

เหล่าศิษย์ของโรงโอสถที่วิ่งออกไปด้านนอกพร้อมกับองครักษ์เขี้ยวมังกร พอได้ยินเสียงก็มองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะเห็นเข้ากับบางสิ่งที่มีลักษณะกลมๆ ที่อยู่ท่าม กลางเปลวเพลิง

แต่เหมยจื่อจ้งกับจ้าวหนานซิงแค่มองตาเดียวก็รู้ว่าเป็น หม้อผลาญสวรรค์

พอเห็นเข้ากับหม้อผลาญสวรรค์พวกเขาก็รู้แล้วว่ามู่ชิงเกอลงมือแล้ว อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาว่า ต่อให้เปลวเพลิงจะยังคงลุกโหมขึ้นมากเท่าไร แต่ในใจของพวกเขาก็ได้กลายเป็นผ่อนคลายลงแล้ว

ทันใดนั้นเอง ปากหม้อของหม้อผลาญสวรรค์ก็พลันคว่ำลง หันไปทางเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งผืนนั้น

อักขระลึกลับบนตัวของมันก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ก่อนจะลอยออกจากตัวหม้อ แล้วหมุนวนล้อมรอบตัวมันอยู่หลายครั้ง หมุนไปมาไม่หยุด กลายเป็นวงแสงสีทองเป็นสายๆ

พลังดึงดูดมหาศาลสายหนึ่งพุ่งออกจากหม้อผลาญสวรรค์พุ่งทะยานไปยังเปลวเพลิงที่อยู่บนพื้นดินพวกนั้น อุโมงค์ลาวาที่ซ่อนอยู่ใต้โรงโอสถสาขาย่อยก็เหมือนกับได้รับการโจมตีอย่างรุนแรงก็ไม่ปาน ไม่อาจต่อต้านได้ ถูกดูดกลืนเข้าไปในหม้อผลาญสวรรค์ เปลวเพลิงในโรงโอสถสาขาย่อยก็เหมือนกับสายนํ้าไหลก็ไม่ปานพุ่งถอยกลับไป อุณหภูมิยิ่งมาก็ยิ่งลดตํ่าลง

“สวรรค์! หม้อหลอมกินไฟได้!”

“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว! ”

“นี่มันเป็นของวิเศษสิ่งใดกัน!”

เหมือนกับว่าในตอนนี้ เปลวเพลิงที่มีทั้งหมดต่างก็พากันถูกดูดกลืนเข้าไปในหม้อผลาญสวรรค์ ในตอนนี้บนพื้นไม่หลงเหลือกองเพลิงอยู่แม้แต่กองเดียวอีก มันก็ค่อยตั้งตรงกลับไปอย่างเสียดาย ก่อนจะร้องเรออย่างพึงพอใจ ออกมาเสียงหนึ่ง

แต่ถึงอย่างนั้นเสียงเสียงนี้พอฟังสะท้อนเข้าไปในหูของผู้คนแล้วก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องในตอนฟ้าสว่างก็ไม่ปาน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว อักขระสีทองที่วนรอบตัวมันเหล่านั้นก็ค่อยๆ หมุนกลับคืนประทับลงไปที่ตัวหม้อของมันดังเดิม

มู่ชิงเกอในตอนนี้หางตากลับค้นพบว่า อักขระพวกนั้นก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะดูคุ้นตานัก

ทันใดนั้นเอง แววตาของนางก็หดเล็กลง คิดขึ้นมาได้ว่า เคยเห็นมันที่ไหน!

เส้นขีดต่างๆ ของอักขระพวกนี้ก็เหมือนกับตัวอักษรบนบันทึกฉบับไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของนาง เหมือนกับออกมาจากที่แห่งเดียวกัน

ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ตำราบันทึกเล่มนั้นที่บอกว่าเป็นสิ่งที่เหล่าเทพทิ้งเอาไว้ แล้วหม้อผลาญสวรรค์ใบนี้เล่า…

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจลึกๆ ขึ้น ไม่กล้าคิดมันไปมากกว่านี้อีก

ของข้างกายแต่ละชิ้นก็เริ่มที่จะมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าเทพขึ้นทีละน้อย…ทีละน้อย นี่ก็ทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนกับตกเข้าไปในวังวนขนาดใหญ่ ราวกับว่าในอนาคตนางจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสึกลับเมื่อนานมาแล้ว

หม้อผลาญสวรรค์ก็หมุนวนไปมาไม่หยุด ระหว่างที่ร่อน

ลงมาก็ค่อยๆ กลายเป็นเล็กลง ในตอนที่มันจะร่วงตกไปที่ข้างของมู่ชิงเกอตอนนั้น มู่ชิงเกอก็พลันพุ่งออกไป มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อของหัวชางซู่ ก่อนจะโยนตัวเขาไปทางหม้อผลาญสวรรค์พร้อมกับมืออีกข้างหนึ่งที่หยิบกระเป๋าจัดเก็บของเขาออกมา โยนมันไปทางเซี่ยเทียนอู๋

“อ้า—–!”

ในอากาศก็สะท้อนดังไปด้วยเสียงร้องอันโหยหวนของหัวชางซู่

ไม่รอให้เสียงเงียบหายไป เขาก็ตกลงไปในหม้อผลาญสวรรค์ถูกเปลวเพลิงในหม้อหลอมรุมล้อมเอาไว้

ตึง—–!

หม้อผลาญสวรรค์ร่วงลงไปบนพื้นด้วยนํ้าหนักอันหนักอึ้ง ทำเอาผิวดินถูกกระแทกจนเป็นรอยแตกยาวออกไป

เหมือนกับว่ากำลังขุ่นเคืองที่มู่ชิงเกอยัดของกินที่มันไม่ชอบมาให้มันกิน

“อ้า—–! ช่วยข้า——! อ้า——! อ้า อ้า อ้า—–!” ในหม้อผลาญสวรรค์เสียงร้องของหัวชางซู่ดังก้องไปมาไม่หยุด

เสียงร้องเรียกอันน่าอนาถนั่น ก็ทำเอาคนรอบข้างอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมาหลังจากนั้น มู่ชิงเกอก็เดินไปทางด้านข้างของหม้อผลาญสวรรค์อย่างนิ่งขรึม ยื่นมือไปตบที่ด้านข้างของหม้อผลาญสวรรค์“เผาสามวันสามคืน ถึงค่อยปล่อยให้ เขาสิ้นใจ”

ซู๊ด—–!

คำกล่าวที่นิ่งขรึมราบเรียบเช่นนี้ก็ทำเอาเหล่าผู้คุมกฎพากันสูดลมหายใจเย็น แววตาที่มองไปทางมู่ชิงเกอก็เต็มไปด้วยความเกรงกลัว

เกรงว่า พวกเขาก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ามู่ชิงเกอที่มีอายุน้อยเช่นนี้ทำไมถึงสามารถมีนิสัยโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะชิงชังหัวชางซู่เข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะต้องไปทรมานเขาเช่นนาง

การถูกเปลวเพลิงแผดเผานั้นจะมีความรู้สึกเช่นไร?

ทั้งยังต้องถูกเผาติดต่อสามวันสามคืน นี่ก็ถือเป็นการทรมานที่ทรมานที่สุดในโลกมนุษย์แล้ว แต่ว่าเซี่ยเทียนอู๋กลับจ้องมองไปทางเงาร่างของหัวชางซู่ ที่อยู่ในหม้อผลาญสวรรค์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับว่ากำลังรู้สึกเห็นด้วยมากกับวิธีการเช่นนี้ของมู่ชิงเกอ หม้อผลาญสวรรค์ส่งเสียงสะท้อนออกมาเสียงหนึ่ง ราวกับกำลังโต้แย้งว่าภารกิจที่มู่ชิงเกอมอบให้นั้นมันยากเกินไป การจะเผาคนให้ตายนั้นง่ายดาย แต่ให้รับรองว่าคนที่ถูกเผาผ่านไปสามวันสามคืนจะไม่ตายนั้น ก็ดูจะยากสำหรับหม้อหลอมเช่นมันมากเกินไป!

“จะโต้แย้งอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์หากทำไม่ได้ก็อยู่ให้ฝุ่นเกาะที่ข้างกำแพงต่อไปเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าวข่มขู่ขึ้นเสียงเรียบ

หม้อผลาญสวรรค์ก็พลันส่งเสียงสะท้อนดังออกมาอีกเสียงหนึ่ง ราวกับกำลังต่อว่าถึงความเย็นชาที่มู่ชิงเกอใช้จัดการเรื่องราว

แต่มันก็ยังคงทำตามในสิ่งที่มู่ชิงเกอสั่งให้มันทำ

ที่ก้นของหม้อผลาญสวรรค์ในขณะที่ผู้คนมองไม่เห็น ในแต่ละครั้งที่หัวชางซู่กำลังจะถูกเผาจนตายไป ก็จะมีสายสีเงินที่เรียวบางราวกับเส้นไหมสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปในกายของหัวชางซู่ ทำให้บาดแผลของเขาได้รับการเยียวยา หลังจากก็ให้ถูกเผาต่อไป วนเช่นนี้ไปซํ้าแล้วซํ้าเล่า

เพลิงลาวาถูกหม้อผลาญสวรรค์กลืนกิน ศิษย์ของโรงโอสถก็ไม่มีความจำเป็นต้องหนีออกไปด้านนอกอีก

พวกเขาก็พากันมุ่งหน้ามาที่หอเก็บโอสถโดยไม่ได้นัดหมาย ค่อยๆ รวมตัวกันเข้ามาใกล้ๆ กับหม้อผลาญสวรรค์ มองดูสภาพอันน่าอนาถของหัวชางซู่ที่ถูกเผาอยู่ ในหม้อผลาญสวรรค์ด้วยตาตัวเอง

ท่าทางอันน่าหวาดผวานั้น เสียงร้องบาดแก้วหูนั้นก็ทำให้ทั่วร่างของพวกเขาเกิดหนาวยะเยือกขึ้นมา สายตาอันเยียบเย็นของมู่ชิงเกอกวาดมองไปทางพวกเขาหนหนึ่ง

“ดูจุดจบของหัวชางซู่เอาไว้ให้ดี อย่าได้ให้จุดจบของเขาเช่นนี้ไปเกิดขึ้นที่ตัวของพวกเจ้า”

นี่ก็ถือเป็นการกล่าวเตือน แล้วก็ถือเป็นคำข่มขู่

ซึ่งพอคำพูดของนางได้กล่าวออกไป เหล่าอาจารย์และศิษย์ของโรงโอสถก็พากันหยุดลืมหายใจไป

ชั่วขณะนี้ก็ไม่มีใครไปโต้แย้งมู่ชิงเกอว่า เจ้าใช้สถานะอะไรมากล่าวคำพูดเช่นนี้ และก็ไม่มีใครคิดจะกระโดดออกไปหาเรื่องนาง

เพราะพวกเขารู้ว่าชีวิตของตัวเองเป็นใครที่ช่วยเอาไว้ หม้อผลาญสวรรค์ก็ด้วยลักษณะเช่นนี้ถูกมู่ชิงเกอตั้งเอาไว้ที่ลานด้านนอกของหอเก็บโอสถให้ทุกๆคนสามารถมองเห็นจุดจบของหัวชางซู่ด้วยสายตาของตัวเอง เสียงร้องของหัวชางซู่ก็ดังกังวานอยู่ในโรงโอสถสาขาย่อยไปสามวันสามคืน ความทรมานเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเสียใจนัก เสียใจต่อการกระทำทั้งหมดของตน เสียใจที่ตนเองไม่ยอมปลิดชีพตนก่อนที่มู่ชิงเกอจะปรากฏตัวออกมา!

และที่เขายิ่งเสียใจมากกว่าก็คือตอนแรกทำไมจะต้องรับมู่ชิงเกอเข้าโรงโอสถด้วย!

ในสามวันนี้ เซี่ยเทียนอู๋ก็พาคนอื่นๆ ของโรงโอสถรวมถึงเหล่าผู้คุมกฎซ่อมแซมโรงโอสถสาขาย่อยขึ้นมาใหม่ โหลวชวนป่ายก็ถูกเขาดึงตัวไปช่วยเหลือ

ส่วนมู่ชิงเกอ จ้าวหนานซิงและเหมยจื่อจ้งก็พาซางจื่อซูที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจกลับไปยังเรือนหลังเล็กที่เมืองซางจื่อ ทำการตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลาชั่วคราว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version