ตอนที่ 175-1
เถียนจี้แข่งม้า ชิงเกอเดินหมาก
“แม้ว่าคํ่าคืนนี้จักพรรดิหยวนจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อรับรองแขกจากต่างแดน แต่หากเอาแต่นั่งๆ ดื่มๆ อยู่อย่างนี้ก็ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง ไม่สู้พวกเราหาอะไร สนุกๆ ทำ เพื่อให้จักรพรรดิหยวนทรงพระเกษมสำราญ!”
พอราชทูตแคว้นหรงเอ่ยปาก โหลวเสวียนเถี่ยแห่งหอหลอมศาสตราก็หัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีเสียง
แต่เฮยมู่กลับขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นว่า “รัชทายาทฮ่วนให้ความสำคัญกับคนแซ่มู่เพียงนี้ เกรงว่าจะมีความลับใดแอบซ่อนอยู่”
“ผู้อาวุโสเฮยมู่ ท่านกังวลมากไปแล้ว” โหลวเสวียนเถี่ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้น
แต่เฮยมู่กลับไม่คิดว่าตนเองคิดมากเกินไป เขาเคยประมือกับมู่ชิงเกอสองครั้ง อีกฝ่ายมีไพ่ตายออกมาไม่เคยขาด ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
“ผู้อาวุโส คนของแคว้นหรงเสนอตัวออกมาเอง ก็เป็นการดีให้พวกเรารู้ฝีมือของคนแซ่มู่” ไท่สื่อเกาที่อยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น
เขาแทบอยากจะสังหารมู่ชิงเกอลงด้วยมีด เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาส
ตอนนี้คนจากแคว้นหรงเสนอตัวขึ้นมาเอง เขาจะปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้อย่างไร?
“หืม? ทูตแคว้นหรง ท่านคิดจะทำให้ข้าสำราญอย่างไร?” จักรพรรดิหยวนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรฉายพระเนตรทอดมองไปยังราชทูตแคว้นหรง
ความน่าเกรงขามอันทรงพลังนั้นปกคลุมร่างราชทูตแคว้นหรง ทำให้เขาสีหน้าสั่นไหว กล้ามเนื้อไหล่พลันแข็งเกร็ง
“คนจากแคว้นหรงผู้นี้เกรงว่าจะไม่ได้มีเจตนาดี” เจียงหลีโน้มกายมาทางมู่ชิงเกอ ลอบเอ่ยขึ้นเบาๆ มู่ชิงเกอกลับยกจอกเหล้าด้านหน้าขึ้นแตะริมฝีปากอย่างไม่ใส่ใจ
“กราบทูลจักพรรดิหยวน แต่ไหนแต่ไรมาหลินชวนใช้พละกำลังสยบผู้คน คํ่าคืนนี้เป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยาก ที่เหล่าวีรบุรุษจากแคว้นต่างๆ จะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่สู้พวกเราประลองกันสามด่าน ถือเป็นการอุ่นเครื่องให้ การชุมนุมหลินชวน”
แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจะทรงน่าเกรงขามเพียงใด แต่ราชทูตแคว้นหรงก็ยังคงเอ่ยทูลสิ่งที่คิดอยู่ในใจแต่แรกออกมา
ตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น จักรพรรดิหยวนก็เผยนํ้าเสียงแสดงความชื่นชมเจ้าคนที่มาจากแคว้นอันดับสามนั่น และทุกคนต่างพากันพุ่งความสนใจไปที่เขา
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้บรรดาแคว้นอันดับสองรู้สึกไม่ใคร่ชอบใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคว้นหรง
ดังนั้น เมื่อคิดใคร่ครวญในห้วงความคิดหลายตลบแล้ว ในที่สุดราชทูตแคว้นหรงก็คิดหาวิธีกู้หน้ากลับมาได้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเสนอเกมการประลอง ไม่ใช่เพียงความคิดเล่นๆ เท่านั้น
“แข่งอย่างไร?” จักรพรรดิหยวนเอ่ยถามไปตามน้ำ คล้ายกับว่าพระองค์เองก็ทรงรอคอยและคาดหวังต่อการแข่งขันเช่นนี้เช่นกัน
“ในเมื่องานเลี้ยงในคํ่าคืนนี้จักรพรรดิหยวนเป็นผู้จัดขึ้น การออกอาวุธก็จะดูไม่ค่อยเหมาะ การแข่งขันบนเวทีต่อสู้แบบทั่วไปก็ธรรมดาไม่ค่อยน่าสนใจ ช่วงนี้ที่แคว้นของข้ามีการละเล่นที่ประยุกต์การเรียนเข้ากับความสนุกสนานซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ค่อนข้างสนุก หากจักรพรรดิหยวนไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่สู้ใช้การละเล่นนี้มาใช้ในการประลองดูเถิด” ราชทูตแคว้นหรงกล่าว
“การละเล่นอะไรรึ?” ประโยคนี้จักรพรรดิหยวนไม่ได้ทรงตรัสขึ้น แต่เป็นประมุขหลานเอ่ยถาม การเอ่ยปากของเขาในตอนนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงจักรพรรดิหยวนที่มองไปที่เขาเท่านั้น คนอื่นรวมถึงราชทูตแคว้นหรงก็มองมาที่เขาเช่นกัน
แต่ตัวเขากลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ไม่เพียงไม่รู้ตัวว่าตนเองพูดผิด ทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถเรียกสายตาจากทุกคนให้หันมาที่เขาอีกด้วย
“สมองของประมุขตระกูลหลานถูกลาเตะหรืออย่างไร? กล้าสอดปากองค์จักรพรรดิท่ามกลางธารกำนัลและสายตาที่จ้องมาของผู้คน” มู่ชิงเกอเอ่ยเย้าแหย่ขำๆ
เจียงหลีเอ่ยตอบว่า “ไม่ใช่ถูกลาเตะ แต่เป็นเพราะตระกูลของเขามีบุตรสาวที่โฉมงามเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีพรสวรรค์และเลิศเลอ”
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอหันหน้ากลับมามองนาง
ดวงตาสีทองของเจียงหลีที่อยู่โผล่พ้นผ้าคลุมเต็มไปด้วยสายตายั่วเย้า “ได้ยินมาว่า คุณหนูหลานผู้นี้เอ่ยปฏิญาณตั้งแต่ยังเล็กว่าจะถวายตัวแด่มหาปราชญ์หลัง จากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนต่างก็ยอมรับเป็นนัยๆ ว่านางคือสตรีของมหาปราชญ์ไว้หน้านางและตระกูลหลานอยู่หลายส่วน”
“สตรีของมหาปราชญ์?” มู่ชิงเกอหลุบตาลง บิดนิ้วมือเบาๆ เอ่ยพึมพำประโยคดังกล่าว ทำให้คนอื่นเดาอารมณ์ที่แท้จริงไม่ถูก
เจียงหลีไม่ทันได้สังเกตเห็นอาการผิดปกติของมู่ชิงเกอ พยักหน้าและเอ่ยต่อว่า “เจ้าว่าเป็นเพราะคำโกหกที่พูดนานวันไป แม้แต่คนพูดเองก็นึกไปว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? หลายปีที่ผ่านมา ยิ่งหลานเฟยเยว่เติบโตขึ้น ท่าทางและความอวดดีของตระกูลหลานก็เพิ่มขึ้นตาม คล้ายกับว่าหลานเฟยเยว่ประสบความสำเร็จในการเป็นสตรีของมหาปราชญ์อย่างไรอย่างนั้น การไม่ไว้หน้าจักรพรรดิหยวนในค่ำคืนนี้ยังดีที่จักรพรรดิหยวนทรงมีเมตตา หากเป็นข้าคงได้ริบทรัพย์และประทานโทษตายให้ตั้งนานแล้ว”
มุมปากมู่ชิงเกอปรากฏรอยยิ้มที่สื่อความหมายไม่ชัดเจน นางมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของตระกูลหลาน ไม่ได้ให้ความสนใจต่อประมุขตระกูลหลาน หากแต่มอง ตรงไปที่ที่นั่งของหลานเฟยเยว่
ชุดสีนํ้าเงินตัดขาดกับโลกภายนอก ผ้าคลุมหน้าบางเบา รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เป็นดรุณีที่รูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง แต่ว่า…ซือมั่วจะชอบสตรีเช่นนี้หรือ?
ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงการลอบพิจารณาของมู่ชิงเกอ หลานเฟยเยว่ที่รักษาท่วงท่าสง่างามมาโดยตลอดก็หันหน้ามามอง
สายตาของนางเย็นชาหรือเรียกได้ว่าวางตัวสูงส่งเหนือผู้ใด
สำหรับการลอบพิจารณาของมู่ชิงเกอนั้น นางแค่มองมานิ่งๆ เพียงหนเดียวก่อนจะละลายตาจากไป คล้ายกับว่าไม่อยากที่จะสบสายตาด้วย แต่ทว่า ก่อนที่นางจะละสายตาไปนางก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ซ่อนสายตารังเกียจ
คล้ายกับว่าสำหรับนางแล้ว สายตาของมู่ชิงเกอเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง
มู่ชิงเกอยิ้มมุมปากเบาๆ เก็บสายตามาอย่างไม่ใส่ใจ หลุบตาลงดื่มเหล้า คิดในใจว่า หากปีศาจเฒ่าซือมั่ว ต้องตาต้องใจสตรีประเภทนี้จริงก็ควรจะไปทำความ สะอาดดวงตาจริงๆ
ไม่ว่านางจะใบหน้าสะสวยหรือไม่ แต่อันดับแรกคือท่าทางทะนงตนเกินไปก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาได้
คำพูดของประมุขหลานทำให้แท่นชั้นสองตกอยู่ในความเงียบ
จักรพรรดิหยวนยังคงรักษารอยยิ้มไว้เช่นเดิม แต่สายตากลับฉายถึงความเย็นชาที่ซุกช่อนอยู่
ราชทูตแคว้นหรงมุมปากกระตุก ลอบมองบัลลังก์มังกรที่อยู่สูงนั่น
ตอนนี้เองที่หวงฝู่ฮ่วนก็เอ่ยขึ้นว่า “เป็นการละเล่นอะไรหรือที่กำลังเป็นที่นิยมในแคว้นหรง?”
คำพูดของหวงฝู่ฮ่วนคลี่คลายบรรยากาศอึมครึมได้เป็นอย่างดี
ราชทูตแคว้นหรงรีบเอ่ยขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาชาวแคว้นหรงชื่นชอบการเดินหมาก เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คือใช้ทหารกล้าแทนตัวหมาก เป็นการละเล่นที่วัดผลแพ้ชนะระหว่างสองฝ่าย ไม่เพียงแต่ทดสอบความกล้าหาญและพลังยุทธ์ของทหารกล้าเท่านั้น ยังทดสอบทักษะการการวางกลยุทธ์และศิลปะการเดินหมากของผู้เล่นอีกด้วย”
วิธีการเล่นเช่นนี้นับว่าแปลกใหม่
หลังจากที่ราชทูตแคว้นหรงพูดจบ ก็เกิดเสียงแสดงความคิดเห็นด้วยความสนใจกันเซ็งแซ่
หวงฝู่ฮ่วนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นระบายรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “วิธีการเล่นเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ทราบว่ามีกติกาอย่างไร?”
“กติกาง่ายมาก ไม่มีอะไรแตกต่างจากการเดินหมากเลยสักนิด มีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือว่าตอนที่กินหมากนั้น ทั้งคู่จะต้องประลองกันรอบหนึ่ง โดยตอนที่ ประลองฝีมือนี้จะออกกระบวนท่าไหนต้องฟังคำสั่งของผู้เดินหมากเท่านั้น ไม่สามารถออกกระบวนท่าตามใจตัวเอง”
เมื่อฟังจบหวงฝู่ฮ่วนก็มองไปยังจักพรรดิหยวน คล้ายกับว่ารอให้เสด็จพ่อของตนเป็นผู้ตัดสินใจ
จักรพรรดิหยวนตรัสขึ้นเลียงก้องกังวานว่า “พวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”
“ตามแต่พระบัญชาของจักรพรรดิหยวน”
บรรดาข้าราชบริพารประสานเสียงตอบด้วยความพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้น เจียงหลีก็เอ่ยกระซิบถามมู่ชิงเกอว่า “นี่ เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่?”
มู่ชิงเกอตอบตามสัตย์จริงว่า “ไม่เป็น”
คำสัตย์ซื่อของนาง ทำเอาเจียงหลีถึงกับสูดลมหายใจ เบิกตากว้างขณะเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าคนจากแคว้นหรงนั่นพุ่งเป้ามาที่เจ้า หากเจ้าเดินหมากไม่เป็นแล้วจะทำเช่นไร?”
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากมิได้เอื้อนเอ่ยวาจา
นางเดินหมากไม่เป็นอย่างแท้จริง หมากทหาร หมากรุก หมากล้อมอะไรในชาติภพก่อนนางล้วนไม่เป็นสักอย่าง ดูก็ไม่รู้เรื่อง นางเล่นเป็นแค่โกะกับหมากข้ามเพียงสองอย่าง
พอมาชาติภพนี้นางก็มัวแต่ฝึกพลังยุทธ์ศึกษาเทคนิค ศิลปะ ปรุงโอสถและฝึกอาวุธหลากหลายแขนง เดินทางร่อนเร่พเนจรไปทั่ว ไหนเลยจะมีอารมณ์มาเรียนเดินหมาก? อย่าพูดถึงเรื่องเรียนเลย กระทั่งชาติภพนี้เดินหมากอะไรนางล้วนไม่เคยรู้
ถ้าหากแคว้นหรงจับจุดนี้มาเล่นงานนาง เหอะ เหอะ นางจะต้องกล่าวยกย่องสรรเสริญสักประโยคอย่างไม่ขี้เหนียวเลยว่า ‘ยินดีด้วยพวกท่านสามารถค้นพบจุดอ่อนของข้าได้แล้ว!’