Skip to content

พลิกปฐพี 175-2

ตอนที่ 175-2

เถียนจี้แข่งม้า ชิงเกอเดินหมาก

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดพร่ำ เจียงหลีเพิ่งจะถามจบประโยค จักรพรรดิก็เอ่ยปากว่า “ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นก็แข่งขันกันสักสามตาแล้วกัน ใครจะแข่งกับใคร ข้าไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการ พวกเจ้าสามารถท้าประลองกันเองได้เลย”

“ขอบพระทัยจักรพรรดิหยวน”

ราชทูตแคว้นหรงที่เป็นผู้เอ่ยเสนอการแข่งขัน กล่าวขอบพระทัยจักพรรดิหยวนที่ทรงมีพระเมตตาอนุญาตเป็นคนแรก

หลังจากนั้นก็มองมาทางมู่ชิงเกออย่างอดใจรอไม่ไหว เมื่อสายตาแฝงแววกุมชัยชนะแน่ๆ ของราชทูตแคว้นหรง ทอดมองมาที่นาง นางก็ลอบเอ่ยขึ้นในใจ “โชคไม่ดี!”

“คุณชายมู่ ด่านแรกนี้เป็นพวกเราสองแคว้นเป็นเช่นไร? ไม่ทราบว่าคุณชายมู่กล้ารับคำท้าจากแคว้นหรงหรือไม่” ราชทูตแคว้นหรงเอ่ยกับมู่ชิงเกอด้วยความไม่ประสงค์ดี จริงตามคาด

มู่ชิงเกอหลุบสายตาที่เป็นประกาย ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใสพุ่งตรงไปยังราชทูตแคว้นหรง เผยรอยยิ้มอ่อนๆ “ได้”

“เจ้ารับปากไปได้อย่างไร!” เจียงหลีเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ

เรื่องที่มู่ชิงเกอเดินหมากไม่เป็น บทสนทนาที่นางคุยกับเจียงหลีเมื่อครู่นี้ จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋ฟงได้ยินหมดแล้ว

เมื่อเห็นว่านางตกปากรับคำ ทั้งสองก็ค่อยๆ เช็ดเหงื่อ มองนางด้วยความตึงเครียด

“ดี! ด่านแรก แคว้นหรงประลองกับแคว้นฉิน” เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อย จักรพรรดิหยวนก็เอ่ยอย่างว่องไว

เวลาเดียวกันนี้ไท่สื่อเกาก็ผุดลุกขึ้นยืน ไม่สนใจปฏิกิริยาของเฮยมู่ มองไปยังมู่ชิงเกอด้วยสายตาแฝงความเจ้าเล่ห์เยือกเย็น เอ่ยขึ้นตรงไปตรงมาว่า “สำนักหมื่นอสูรเองก็อยากขอคำชี้แนะจากคุณชายมู่เช่นกัน เช่นนั้นการประลองในด่านที่สอง ขอเป็นพวกข้าได้หรือไม่?”

“โห!”

คำขอท้าประลองจากแคว้นหรงและสำนักหมื่นอสูรที่ส่งให้มู่ชิงเกอ ในสายตาของผู้คนในงานต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่แฝงอยู่ ระเบิดที่ไร้รูปลักษณ์ชนิดหนึ่งราวกับอบอวลอยู่บนแท่นชั้นสองอย่างเงียบเชียบ

ชนวนเชื้อเพลิงคือมู่ชิงเกอผู้ที่ทุกคนจับตามองก่อนหน้านี้

ไท่สื่อเกาส่งสายตาท้าทายมองมู่ชิงเกอ คล้ายกับว่าหากนางปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้

มู่ชิงเกอละลายตาจากราชทูตแคว้นหรงมองไปที่ไท่สื่อเกา ในขณะที่ทุกคนคิดว่านางจะเอ่ยปฏิเสธการแข่งขันในครั้งนี้ จู่ๆ นางก็เผยรอยยิ้มยิงฟันเผยให้เห็นถึงฟันขาวมุกที่เรียงตัวเป็นระเบียบ เอ่ยขึ้นว่า “ได้สิ”

การตอบตกลงของนาง เหนือความคาดหมายของผู้คน เพราะว่าการประลองติดต่อกันสองด่านเช่นนี้พูดตามตรงว่าไม่ยุติธรรม ถึงแม้จะเอ่ยปากปฏิเสธก็ถือว่ายังสมเหตุสมผล แต่ทว่านางกลับตอบตกลงเสียนี่

ทั้งยังตอบรับด้วยท่าทีสบายๆ ไม่มีวี่แววฝืนใจ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอข้าสักหนึ่งด่าน ตระกูลจิ่งจากเทียนตูก็ใคร่ขอคำชี้แนะจากคุณชายมู่เช่นกัน” บริเวณที่นั่งของตระกูลจิ่ง จิ่งเทียนก็ผุดลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“เทียนเอ่อร์!” การกระทำอันมุทะลุอุกอาจของบุตรชาย ทำให้ประมุขตระกูลจิ่งเกิดโมโหขึ้น แต่ก็ห้ามปรามเอาไว้ไม่ทัน

คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้วก็เหมือนกับนํ้าที่สาดออกไป

ตอนนี้ในเมื่อจิ่งเทียนได้กล่าวออกไปแล้ว ประมุขตระกูลจิ่งแม้จะไม่สมัครใจเช่นไรแต่ก็ต้องสู้เดินหน้าไป ส่วนการกระทำอันหุนหันพลันแล่นของบุตรชายค่อยกลับไปสั่งสอนภายหลัง

สายตาของประมุขตระกูลจิ่งเป็นประกายชั่วครู่ใบหน้า เคร่งขรึม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ตระกูลจิ่งก็อยากจะท้าประลองกับคุณชายมู่?”

“นี่จะไม่ใช่เป็นสามต่อหนึ่งหรือ?”

“มีอะไรสนุกๆ ดูแล้วสิ”

“ท่านแม่ พวกเราไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยหรือ?” ดรุณีน้อยที่ชื่นชมมู่ชิงเกอซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ประมุขตระกูลฮวา กระตุกชายเสื้อมารดาเบาๆ เอ่ยถามเสียงหวาน

ประมุขตระกูลฮวากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มถือตัว ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับมุมปาก เอ่ยด้วยนํ้าเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรานั่งดูเรื่องสนุกเฉยๆ พอ”

ขณะเดียวกันฝั่งตระกูลเฉิน ประมุขตระกูลเฉินก็เทเหล้าให้ตนเอง ใบหน้าเจ้าเนื้อระบายรอยยิ้มแฝงความเมามายหลายส่วน เอ่ยรำพึงรำพันกับตนเองว่า “งานเลี้ยง ในคํ่าคืนนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว”

“ทำไมหรือ? คุณชายมู่ไม่กล่าวอันใด ใช่เพราะมองไม่เห็นตระกูลจิ่งของข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?” อาการนิ่งเงียบของมู่ชิงเกอทำให้จิ่งเทียนเอ่ยเสียงดัง มุมปากเผย รอยยิ้มเย้ยหยัน

มู่ชิงเกอมองมาที่เขา สายตาของทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ เกิดประกายไฟแปลบๆ ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นทำให้จิ่งเทียนหวนนึกถึงลักษณะท่าทีของนางในวันที่ทั้งสองต่อสู้กันที่โรงโอสถกลาง “เช่นนั้นก็มาพร้อมกันเถอะ” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค

ประโยคตอบรับคำท้าคำนี้กลายเป็นว่านางจะต้องประลองทั้งสามตา

แต่ว่านางเดินหมากไม่เป็นแท้ๆ จากนี้ไปจะทำเช่นไร

หากพ่ายแพ้ เกรงว่าจะไม่ใช่แค่อับอาย แต่ยังต้องรับคำเยาะเย้ยเหยียดหยามจากศัตรูกระทั่งขุมอำนาจที่รอดูท่าทีก็อาจจะเอนเอียง

“เหอะ เหอะ สามต่อหนึ่ง นี่ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง” ตาเฒ่าโรงโอสถเอ่ยขึ้นท่าทางเมามาย

มองดูรวมๆ แล้วคล้ายกับว่าเป็นคำพูดที่เกิดจากความเมา แต่ว่าความหมายในคำพูดนั้นกลับเอ่ยฟ้องถึงความไม่ยุติธรรมต่อมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองไปที่เขาสายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ผู้เฒ่าเป็นคนสนุกสนาน พอเห็นมู่ชิงเกอมองมาก็เผยท่าทาง ‘รีบขอบคุณข้าเถอะ’

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ การละเล่นนี้ไม่ใช่เพียงสมอง ยังมีเรื่องพละกำลัง หากเล่นทั้งสามตาออกจะไม่เป็นธรรมต่อคุณชายมู่” จักรพรรดิหยวนตรัสขึ้นในตอนนี้เอง

ประโยคนี้ทำเอาคนเอ่ยท้ามู่ชิงเกอประลองทั้งสามฝ่ายถึงกับขมวดคิ้ว

ส่วนมู่ชิงเกอกลับลอบยิ้มอยู่ในใจ

นางยิ้มให้กับคำกล่าวของจักรพรรดิหยวน

เดิมทีหากนางเป็นผู้เอ่ยขึ้นมาเองผลที่ได้อาจจะไม่ดี แต่หัวหน้าโรงโอสถกลับช่วยออกหน้าแทนนางเอ่ยขึ้นต่อหน้าพระพักตร์

เช่นนั้น เมื่อจักรพรรดิเอ่ยตรัสออกมาเช่นนี้ ต่อไปในส่วนของนางก็ต้องปฏิบัติตนไปตามหลักเหตุผล

“จักพรรดิหยวน” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนตรงที่นั่งของตนเอ่ยกับหวงฝู่เฮ่าเทียนที่ประทับบนบัลลังก์มังกรว่า “แคว้นอันดับสามของเราเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน แต่ไหนแต่ไรมาตกอับก็ตกอับด้วยกัน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน ครั้งนี้ชิงเกอมาในฐานะผู้นำแคว้นอันดับสาม ในเมื่อแคว้นหรง สำนักหมื่นอสูรและตระกูลจิ่งท้าพวกเราประลอง เช่นนั้นก็แข่งขันแบบชนะสองในสามตา หมากสามารถใช้ร่วมกันได้แต่คนที่เดินหมากไม่สามารถซํ้าคนเดิมได้ พระองค์ทรงคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

“ได้!” จักรพรรดิหยวนรับคำเพราะว่าไม่พบส่วนที่ไม่ถูกต้องจากในคำพูดของนาง

มีเพียงข้อเดียวนั่นคือเดิมทีนางต้องเป็นผู้เล่นสามตา ก็ลดลงเหลือเพียงตาเดียว แน่นอนว่านี่ย่อมไม่สามารถพูดอะไรได้ ตอนที่พวกเขาท้าประลองนาง มิใช่สามต่อหนึ่งหรอกหรือ?

มีสิทธิ์อะไรจะมาสามต่อหนึ่ง?

“เช่นนั้นในด่านแรกขอให้องค์ชายแคว้นอวี๋จ้าวหนานซิงเป็นตัวแทนแคว้นอันดับสามลงแข่ง” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ

เอ๋? คล้ายกับว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง?

เมื่อมู่ชิงเกอพูดจบจ้าวหนานซิงก็ลุกขึ้นยืน

ใบหน้าของเขาระบายไปด้วยรอยยิ้มและความนอบน้อมอันแสนอบอุ่น

เขาเดาออกถึงเจตนาของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองตั้งแต่ราชทูตแคว้นหรง ไท่สื่อเกาและจิ่งเทียน เอ่ยขึ้นพร้อมระบายยิ้มว่า “ไม่ทราบว่า ในด่านแรกนี้ท่านทั้งหลายใครจะขึ้นมาก่อน?”

ฝ่ายที่ถูกท้าประลองใจกว้างเพียงนี้

เพียงไม่นานก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ!

ทั้งสามฝ่ายยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอดังขึ้น

“พวกข้าก่อน!” ไม่ได้คิดอะไรมาก ราชทูตแคว้นหรงก็ลุกขึ้นยืน

มู่ชิงเกอหัวเราะน้อยๆ หันกลับมามองจ้าวหนานซิง ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นสุขุมจริงจัง เอ่ยเสียงทุ้มตํ่าว่า “ส่งองครักษ์เขี้ยวมังกรลงสนาม จำเอาไว้ชนะได้อย่างเดียว ห้ามแพ้อย่างเด็ดขาด”

จ้าวหนานซิงหัวเราะเอ่ยคำมั่น “วางใจเถอะ ในศิลปะการเดินหมาก ข้ายังมีโอกาสอยู่หลายส่วน”

เขาไม่ได้ปฏิเสธความคิดที่มู่ชิงเกอเสนอให้ใช้องครักษ์เขี้ยวมังกร เพราะว่าเขารู้ดีว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอร้ายกาจเพียงใด หากเป็นองครักษ์ประจำตัวของเขาลงสนามเกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทหารกล้าแคว้นหรง

จ้าวหนานซิงเดินออกไปด้วยความองอาจผ่าเผย องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เดินตามออกไป

ตอนที่องครักษ์เขี้ยวมังกรท่าทีดุดันห้านายเดินออกไป ทำเอาผู้คนมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย รอคอยการประลองอย่างใจจดใจจ่อ

จ้าวหนานซิงนำองครักษ์เขี้ยวมังกร ส่วนราชทูตแคว้นหรงนำทหารกล้าลงสู่กลางแท่นที่นั่งประจัญหน้ากัน

มู่ชิงเกอก็สะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลง ท่าทีสบายอารมณ์

“เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก!” นางเพิ่งจะนั่งลง เสียงหัวเราะของเจียงหลีก็ลอยแว่วมา

จากนั้นนางก็เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ด่านที่สองเจ้าจะให้รัชทายาทหญิงฟ่งลงแข่ง องค์ชายจ้าวและรัชทายาทหญิงฟ่งล้วนแต่เป็นเชื้อพระวงศ์ มีท่านอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญสอนศิลปะการเดินหมากตั้งแต่เด็ก อีกทั้งพวกเขายังเป็นอัจฉริยะ สติปัญญาเป็นเลิศ การเอาชนะคู่ต่อสู้มิใช่เรื่องยากอันใด แม้ว่าจะมีความ เสี่ยงแต่องครักษ์เขี้ยวมังกรของเจ้าก็สามารถชดเชยความเสี่ยงนั้นได้ ดังนั้นแล้วสองด่านนี้จึงชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อพวกเขาชนะแล้วด่านสุดท้ายก็ไม่มี ความจำเป็นต้องแข่ง เจ้าไม่แตกฉานเรื่องการเดินหมาก ก็ไม่ต้องเปิดเผยจุดด้อยของตนเองออกมา กลับยิ่งเพิ่มความลึกลับในสายตาผู้อื่น”

“รู้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยออกมา” มู่ชิงเกอมีท่าทีไร้กังวลสุดๆ ปลายนิ้วเคาะลงบนชุดตัวเอง

เจียงหลีส่ายหัวอุทานขึ้นว่า “จากนี้ไปข้าต้องเตือนตัวเองว่าอย่าได้ไปทำผิดต่อเจ้า มิฉะนั้นจะถูกเจ้าคิดบัญชีอย่างไรก็ไม่ทราบได้” นางรู้ว่ามู่ชิงเกอเดินหมากไม่เป็น จึงสามารถคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางได้

แต่ว่าผู้อื่นไม่รู้นี่นา เมื่อมู่ชิงเกอใช้ไม้นี้กลับทำให้รู้สึกว่า ฝีมือการเดินหมากของนางลํ้าเลิศ จึงได้ไว้ด่านสุดท้าย

จิ๊จิ๊ จิตใจที่ซับซ้อนยากหยั่งถึงนี้เจียงหลีเทียบไม่ได้

“กล่าวชมเกินไปแล้ว แค่เพียงความสามารถอันน้อยนิดของเถียนจี้แข่งม้า* เท่านั้นเอง” เมื่อเผชิญหน้ากับการ ‘ยกยอ’ ของเจียงหลี มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นอย่าง ‘ถ่อมตน’

“เถียนจี้แข่งม้า? เถียนจี้คือใครกัน? และเขาแข่งม้าอย่างไร?” เจียงหลีเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน

มุมปากมู่ชิงเกอกดลึก ไม่ได้แจงความประหลาดใจสงสัยของนาง

มู่ชิงเกอมองไปยังสนามแข่งขัน องครักษ์เขี้ยวมังกรยืนอยู่ด้านหน้าจ้าวหนานซิง จัดวางกำลังในการสู้รบของกองกำลังทหารตามคำบอกของจ้าวหนานซิง ด้านแคว้น หรงเองก็เหมือนกัน

มองดูการจัดวางตำแหน่งตัวหมากของทั้งสองฝ่ายแล้วมู่ชิงเกอถึงกับขมวดคิ้ว ลอบเอ่ยขึ้นในใจว่า “นี่มันหมากอะไรกัน?”

ทุกคนมีหมากเพียงห้าตัว แล้วจะวางรูปแบบทหารอย่างไร?

มู่ชิงเกอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเดินหมากในโลกนี้เป็นเช่นนี้

*สำนวนจีน กล่าวถึงเถียนจี้ที่แข่งม้าโดยใช้กลยุทธ์จากกุนซือจนสามารถเอาชนะการแข่งสองในสามตาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version