Skip to content

พลิกปฐพี 176-2

ตอนที่ 176-2

นายน้อยมู่ต้องการการดูแล!

“ในเมื่อฝ่าบาทล้วนแต่ออกปากแล้ว ก็ไม่สู้ข้าเพิ่มเสริมให้สักหน่อยเป็นอย่างไร พวกเราตระกูลฮวาก็ไม่มีสมบัติลํ้าค่าอื่นใด ที่มีชื่อก็เป็นสุราเลิศรสกับหญิงงาม สำหรับหญิงสาวก็คงต้องดูความยินยอมส่วนตัวของพวกนางแล้ว ข้าที่เป็นผู้นำตระกูลก็คงไม่อาจไปบังคับได้ แต่สุราเลิศรสพวกนั้นข้าก็ยังสามารถส่งมอบได้ข้าก็ขอเพิ่มสุราเลิศรสพันไหเข้าไปกับรางวัลของฝ่าบาทก็แล้วกัน” ประมุขตระกูลฮวาอยู่ๆ ก็เปิดปากขึ้น

“หืม! สุราเลิศรสของตระกูลฮวาที่ด้านนอกต่อให้มีพันตำลึงก็ยากที่จะหาซื้อได้!” ในฝูงชนอยู่ๆ ก็มีคนเอ่ยทอดถอนใจออกมา

ประมุขตระกูลเฉินก็พลันเปิดปากขึ้นเช่นกัน “พวกข้าตระกูลเฉินอื่นใดนั้นไม่มี ที่มีมากนั้นก็คือเงินทอง ดูแล้วคงทำได้เพียงมอบสิ่งของธรรมดาสามัญแล้ว” ความนัยในประโยคก็คือเขาจะส่งเงินทองเพิ่มเข้าไปในรายการรางวัลของจักพรรดิหยวน สี่ตระกูลใหญ่ของเทียนตู ตระกูลฮวากับตระกูลเฉินก็ได้แสดงท่าทีแล้ว ตระกูลหลานกับตระกูลจิ่งก็ทำได้เพียงแค่ตามนํ้าไปเท่านั้น

ตระกูลหลานก็ทำพอเป็นพิธี เพียงแค่เพิ่มหยกโลหิตเข้าไปเพียงคู่หนึ่ง

ส่วนตระกูลจิ่ง ผู้นำตระกูลของตระกูลจิ่งผู้นั้นก็กลับส่งมอบออกมาได้อย่างใจกว้างนัก แต่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอไม่ขาดเหลือ สมบัติพวกนั้นนางก็คิดว่าจะไม่รับไว้

จักพรรดิหยวนกับสี่ตระกูลใหญ่ก็ได้แสดงท่าทีแล้ว ขุมอำนาจที่เหลือก็เริ่มกลายเป็นทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

ตาแก่หัวหน้าโรงโอสถก็พลันยิ้มแย้มขึ้นมาก่อน “ทุกท่านต่างก็ใจกว้างกันเช่นนี้ ข้าผู้เฒ่าก็ขอร่วมด้วยก็แล้วกัน พวกเราโรงโอสถอย่างอื่นนั้นไม่มีที่มีก็คือนักปรุงยา อีกทั้งโรงโอสถสาขาย่อยแต่เดิมก็อยู่ที่แคว้นอวี๋ อีกทั้งคุณชายมู่ก็เป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถเรา องค์ชายจ้าวก็ถือเป็นศิษย์ของโรงโอสถเรา เช่นนี้ก็แล้วกัน กลับไปข้าจะดึงตัวนักปรุงยาระดับสูงสิบคนให้พวกเขาไปประจำการที่โรงโอสถสาขาย่อย จะได้ไปปรุงยาให้แคว้นระดับสามแต่ละแคว้น!”

ซู๊ด—–! อะไรที่เรียกว่ามือเติบ! นี่ก็ถึงจะเรียกว่ามือเติบ!

จะต้องรู้ว่าก่อนหน้าตอนที่มู่ชิงเกอยังไม่ได้โดดเด่นขึ้นมา นักปรุงยาระดับสูงของโรงโอสถสาขาย่อยก็มีอยู่เพียงแค่สามคนน่าสงสารจนแม้แต่มือข้างเดียวก็ สามารถนับคำนวณได้

รางวัลที่ตาเฒ่าโรงโอสถให้ออกมาก็ลํ้าค่าเกินกว่าสมบัติเงินตราหลายเท่านัก!

จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เร่งรีบหันไปประสานมือคารวะทางเจ้าสำนักเฒ่า พร้อมกับกล่าวขึ้นเสียงพร้อมเพรียงกัน “ขอบพระคุณท่านเจ้าสำนัก!”

ตาแก่โรงโอสถโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมองไปทางโหลวเสวียนเถี่ยของหอหลอมศาสตรา กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าสำนักโหลว หอหลอมศาสตราของท่านโรงโอสถของข้าแล้วก็สำนักหมื่นอสูรล้วนถูกเรียกขานว่าเป็นสามสำนักใหญ่ ตอนนี้เจ้าเฒ่าเฮยมู่จากไปแล้วก็พอทำเนา แต่ในเมื่อท่านยังอยู่ที่นี่ ข้าโรงโอสถก็ใจกว้างไปขนาดนั้นแล้ว หอหลอมศาสตราของเจ้าก็จะไม่แสดงท่าทีออกมาหน่อยรึ?”

มู่ชิงเกอที่ได้ฟังก็เกือบจะหลุดขำออกมา

นางก็รู้ว่าตาเฒ่าเขี้ยวลากดินผู้นี้อยู่ๆ จะยอมใจกว้างเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ส่งมอบนักปรุงยาระดับสูงสิบคนไปที่แคว้นระดับสาม? ที่แท้ก็เพราะต้องการสร้างกับดักให้ โหลวเสวียนเถี่ยกระโดดลงไป

ความมีนํ้าใจของเขาฟังดูแล้วก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร

แต่หากลองไตร่ตรองดูดีๆ แล้ว ก็จะสามารถมองออกได้ว่า จริงๆ แล้วตาเฒ่าก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเท่าไรนัก นักปรุงยาระดับสูงพวกนั้นส่งออกไป ก็ยังถือว่าอยู่ในโรงโอสถสาขาย่อย ยังเป็นคนของโรงโอสถ หลอมโอสถให้แคว้นระดับสาม นี่ก็ไม่ใช่คำกล่าวไร้แก่นสารประโยคหนึ่งหรอกรึ?

นักปรุงยาเวลาหลอมโอสถให้ใครไม่ถือว่าเป็นการหลอมโอสถกัน? โอสถที่หลอมออกมาได้ถ้าไม่ให้คนกิน แล้วใครจะกินกัน?

แต่นี่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าตาเฒ่าจากโรงโอสถผู้นี้จ่ายตั๋วเงินที่ไม่มีค่าออกไป ในเมื่อตามความจริงแล้วนักปรุงยาระดับสูงที่ส่งออกไป ในนัยยะ นัยยะหนึ่งก็เป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองและความกล้าแกร่งให้แก่แคว้นระดับสาม

หลักจากนั้นก็ใช้เหตุผลนี้บีบคั้นให้โหลวเสวียนเถี่ยมอบของรางวัลออกมา โหลวเสวียนเถี่ยที่ชิงชังจนอยากจะสังหารมู่ชิงเกอ จะไปยอมมอบรางวัลให้มู่ชิงเกออย่าง ยินยอมพร้อมใจได้อย่างไร?

แต่เดิมความแค้นระหว่างมู่ชิงเกอกับหอหลอมศาสตราก็ไม่มีทางกล่าวออกมาในตอนนี้ได้ ความแค้นนี้เริ่มต้น ด้วยการแย่งชิงพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน และสิ่งของก็ได้ถูกมู่ชิงเกอแย่งชิงไปแล้ว อีกทั้งระหว่างนั้นก็ได้เกิดการปะทะใหญ่กันขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ละฝ่ายต่างได้รับความสูญเสีย เป็นใครที่ผิดนั้นก็ยากที่กล่าวได้อย่างชัดเจน?

หากมีปัญญา โหลวเสวิยนเถี่ยก็สามารถสังหารมู่ชิงเกอที่นี่ได้ ไม่ว่าใครก็จะไม่กล่าวอันใด

แต่ถ้าหากไม่สามารถ เขาก็ทำเพียงอดกลั้นมันเอาไว้ นำเอาความชิงชังกลืนกลับลงไป

“…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าหอหลอมศาสตราก็จะขอมอบอาวุธระดับจิตวิญญาณสิบชิ้นเพิ่มในรายการของรางวัลของจักพรรดิหยวน” โหลวเสวิยนเถี่ยในใจครุ่นคิดอยู่นาน ถึงค่อยเปิดปากขึ้นอย่างไม่ยินยอม

แค่สิบชิ้น?

มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้นในใจ

“แค่สิบชิ้นรึ? เจ้าลองบอกมาซิว่าเจ้าที่เป็นถึงผู้กุมอำนาจคนปัจจุบัน ทำไมถึงได้ตระหนี่เช่นนี้? จะดูขี้เหนียวเกินไปแล้ว!” ยังดีที่ตาเฒ่าโรงโอสถยังทวงความเป็นธรรมให้แก่นาง

คำกล่าวนี้ของเขาพอจบลง มู่ชิงเกอก็เกือบจะปรบมือ ร้องเรียกว่า ดี

มองดูสีหน้าของโหลวเสวียนเถี่ยที่กลายเป็นเขียวคลํ้า มู่ชิงเกอในใจก็เบิกบานอย่างถึงที่สุด

“ข้าเพิ่มให้อีกสิบชิ้นพอแล้วรึยัง?” โหลวเสวียนเถี่ยก็ถูกเจ้าสำนักโรงโอสถถากถางจนเกินจะทนไหว ทำได้เพียงฝืนทนเอาไว้เพียงเท่านั้น

“นั้นก็แค่ยี่สิบชิ้น แคว้นระดับสามมีมากมายเช่นนี้ ทุกแคว้นแบ่งกันจำนวนหนึ่ง แคว้นหนึ่งจะได้แค่เท่าไรกันเชียว? เพิ่มอีก เพิ่มอีก” เจ้าสำนักเฒ่าของโรงโอสถยังคงกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย

“เจ้า!” ฝ่ามือของโหลวเสวียนเถี่ยที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อก็ได้กำเข้าหากันจนแน่น เหล่าศิษย์ของหอหลอมศาสตราที่อยู่ด้านหลังเขาพวกนั้นก็ต่างพากันเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมาแล้ว

สูดหายใจลึกๆ เข้าไปหลายที โหลวเสวียนเถี่ยพยายามระงับความโกรธในใจ กล่าวเสียงขรึม “อย่างมากก็ยี่สิบห้าชิ้น ไม่สามารถมากกว่านี้ได้อีก!”

เจ้าสำนักเฒ่าพอเห็นว่าดีก็หยุดเพียงเท่านั้น ยกยิ้มให้โหลวเสวียนเถี่ยขึ้นรอบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นดื่มสุรา ราวกับว่าคนเมื่อครู่ที่ทำการต่อรองราคากับโหลวเสวี ยนเถี่ยไม่ใช่เขาก็ไม่ปาน

การเพิ่มเติมของรางวัลนี้หลังจากวนไปรอบหนึ่ง รายกายของรางวัลอันยาวเหยียดก็เย้ายวนสายตาของผู้คนนัก

แต่ถึงอย่างนั้นมู่ชิงเกอกลับยังส่งสายตาจับจ้องไปทางราชทูตของแคว้นหรง การแข่งขันครั้งนี้ก็เป็นเขาที่เสนอขึ้นมา ตอนนี้แพ้แล้วกลับทำตัวราวกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ปาน เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง

คณะทูตของแคว้นหรงฝั่งนั้นพอถูกสายตาเช่นนี้ของมู่ชิงเกอมองไปก็ทำเอาสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว

ความหมายที่สื่อออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้นมีใครกันที่ไม่เข้าใจกัน

แต่ว่าในใจของพวกเขานั้นก็ไม่ได้ยินยอมที่จะทำมัน!

ระหว่างที่แคว้นหรงนิ่งชะงัก แคว้นตี๋กับแคว้นอวี่ที่ถูกลากเข้ามาข้องเกี่ยวข้องด้วยก็พลันกลายเป็นทำอะไรไม่ถูก ใช่พวกเขาจริงๆ แล้วก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างที่จักพรรดิหยวนให้ความสำคัญแก่มู่ชิงเกอ ถ้าหากมู่ชิงเกอเกิดเรื่องอับอาย พวกเขาก็ยินดีที่จะดูชม

แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้ทำ และก็ไม่ได้คิดที่จะทำ แต่กลับต้องมาโดนลูกหลงเช่นนี้ด้วยน่ะหรือ? พอคิดถึงตรงนี้ได้ ตัวแทนของแคว้นตี๋กับแคว้นอวี่ก็ล้วนแต่ลอบด่าแคว้นหรงว่าเป็น ‘พันธมิตรสมองหมู’ ขึ้นในใจ

ทันใดนั้นเองฝั่งที่นั่งของแคว้นอวี่ก็พลันมีคนผู้หนึ่งยืนขึ้นมา

มู่ชิงเกอพอหันหน้ามองไปก็พบว่าคนที่ยืนขึ้นมาก็เป็นพี่ชายของเซวียเฉียว เซวียฉงผู้ที่ถูกร่ำลือว่าเป็นอัจฉริยะของแคว้นอวี่ ผู้ที่เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายบุ๋นของแคว้นอวี่เมื่อไม่นาน เซวียฉงก็มีท่าทางทรงภูมิดูสง่างามนัก แต่เดิมตอนที่นั่งอยู่ในที่นั่งก็ไม่รู้สึกสะดุดตาเท่าไร แต่ตอนนี้พอยืนขึ้นมา รูปลักษณ์ที่ดูสูงโปร่งนั้น ชั่วขณะนั้นก็ดึงดูดมาซึ่งการจับจ้องจากที่นั่งตระกูลฮวา

พอต้องเผชิญหน้ากับการจับจ้องของหญิงสาว เขาก็ไม่เผยท่าทีเขินอายแม้แต่น้อย

แต่เป็นหันไปถวายบังคมทางจักพรรดิหยวนอย่างองอาจ ก่อนจะหันกายไปกล่าวกับมู่ชิงเกอขึ้นด้วยรอยยิ้มสง่างาม “พวกเราชาวแคว้นอวี่ก็ยินดีที่จะเพิ่มของรางวัล สมบัติลํ้าค่า แก้วแหวนเงินทอง ทักษะสงคราม แก่นอสูร อาวุธชั้นจิตวิญญาณก็ล้วนแต่มีครบหมดแล้ว ประจวบเหมาะกับที่สำนักหมื่นอสูรเมื่อไม่นานก่อนหน้าได้ส่งมอบสัตว์อสูรที่ผ่านการฝึกฝนแล้วมาที่วังหลวงของ แคว้นอวี่ ถ้าหากคุณชายมู่ไม่รังเกียจข้าก็สามารถมอบ

มันให้กับท่านได้ครึ่งหนึ่ง ส่งมอบไปให้ที่แคว้นฉิน”

เขาตรงจุดนี้ก็กล่าวแค่แคว้นฉิน แต่ไม่ได้บอกว่าแคว้นระดับสามแต่อย่างใด จุดประสงค์ก็ชัดเจนเป็นอย่างมากว่าต้องการเน้นมาที่มู่ชิงเกอ

เกี่ยวกับการที่สำนักหมื่นอสูรส่งมอบอสูรวิญญาณให้แคว้นอวี่นั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าสำนักหมื่นอสูรตามจริงแล้วก็ตั้งอยู่ตรงชายแดนระหว่างแคว้นหรงกับแคว้นอวี่

เซวิยฉงก็ไม่ได้กล่าวถึงจำนวนเฉพาะเจาะจงของอสูรวิญญาณ แต่ตามการคาดเดาของมู่ชิงเกอ ในเมื่อเขาเปิดปากแล้วก็คงไม่มีทางน้อยไปได้

“ขอบคุณเสนาบดีเซวียมาก” มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ

เซวียฉงยิ้มบางๆ ให้นาง ก่อนจะนั่งกลับไปยังที่นั่ง

แคว้นอวี่แสดงท่าทีแล้ว ราชทูตของแคว้นตี๋ก็เลยยืนตามขึ้นมาบ้าง หากจะกล่าวไปแล้วเขตแดนของแคว้นตี๋ก็อยู่ติดกับแคว้นฉิน เพียงแต่ตรงกลางถูกขวางกั้นด้วยเทือกเขาฉินเพียงเท่านั้น

เพื่อนบ้านเก่าแก่ทั้งสองกลับมาพบหน้ากันที่อาณาจักรเซิ่งหยวน

ราชทูตของแคว้นตี๋ยิ้มขื่นๆ ขึ้นมา ก่อนจะหันไปประสานมือกล่าวกับมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่ ชื่อเสียงท่านที่แคว้นฉิน ข้าถึงแม้จะอยู่ที่แคว้นตี๋แต่ก็ยังได้ยินมันมาบ้าง เรื่องราวต่างๆ พวกนั้นก็ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก เพียงแต่แควันตี๋ของเราถึงแม้จะอยู่ในแคว้นระดับสอง แต่ว่าเพราะข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ ตั้งแต่ฝ่าบาทไปจนถึงประชาชนก็ ล้วนแต่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด สิ่งของที่เก็บเอาไว้ก็ ล้วนเตรียมเพื่อการศึก แคว้นตี๋ของข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมอบของรางวัลเช่นไร เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าก็สามารถเป็นตัวแทนของฝ่าบาททำหนังสือประทับตราความร่วม มือ ในหนึ่งร้อยปีนี้ถ้าหากมีคนอาจหาญกล้ารุกรานแคว้นฉิน กองทหารของข้าแคว้นตี๋ก็จะข้ามผ่านเทือกเขาฉิน ออกทำศึกเพื่อแคว้นฉิน!”

นํ้าเสียงของเขาก็ฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งนัก ไม่มีท่าทางเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าคำมั่นข้อนี้จะดูเหมือนจะมีหรือไม่มีมันก็ได้ เพราะด้วยชื่อเสียงและความเก่งกาจของมู่ชิงเกอในตอนนี้ อยากจะปกป้องความสงบสุขร้อยปีของแคว้นฉินก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่มู่ชิงเกอก็ยังคงพยักหน้า ตอบกลับไป

“ดียิ่ง! มู่ชิงเกอก็ขอขอบคุณท่านแม่ทัพ ณ ที่นี้ด้วย ขอบพระทัยฮ่องเต้แคว้นตี๋” มู่ชิงเกอก็ขอบคุณด้วยธรรมเนียมในกองทัพ

แคว้นตี๋ประชากรทั้งแคว้นล้วนแต่เป็นทหาร ไม่ว่าเวลาใดก็สามารถต้านรับการโจมตีของพวกสัตว์อสูรได้ ราชทูตยู้นี้ทั่วร่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นไอของเหล็กและเลือด มู่ชิงเกอก็เห็นแล้วถูกชะตานัก

ที่ควรพูด ที่ไม่ควรพูดก็ล้วนแต่กล่าวกันไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแคว้นหรงที่เป็นคนสร้างเรื่องเพียงเท่านั้น

ไม่เพียงแค่มู่ชิงเกอ ก็แม้แต่จักพรรดิหยวนก็มองไปทางเขา

ราวกับใช้สายตากล่าวอย่างไร้เสียงว่า ‘เจ้าที่เป็นผู้เสนอแนะ หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็จะไม่แสดงท่าทีหน่อยรึ นี่เหมาะสมแล้วรึไง?’

ราชทูตแคว้นหรงก็ถูกมองจนทำตัวไม่ถูก กล่าวออกไปตรงๆ ด้วยท่าทางพ่ายแพ้ “เจ้าบอกมาดีกว่าต้องการสิ่งใด ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถตัดสินใจได้ ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ท่าทางกลํ้ากลืนเช่นนั้นก็ราวกับว่าถ้าหากมู่ชิงเกอยังบีบคั้นเขาอีก เขาก็จะกระโดดออกไปแขวนคอแล้ว

จะขออะไรกับแคว้นหรงดี?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version