Skip to content

พลิกปฐพี 176-3

ตอนที่ 176-3

นายน้อยมู่ต้องการการดูแล!

มู่ชิงเกอก็พลันครุ่นคิดอย่างละเอียดขึ้นในหัวรอบหนึ่ง ก่อนจะค้นพบว่าก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่ตนเองต้องการ ก่อนที่จะออกเดินทางนางก็ได้รับรายงานแล้วว่าประกาศจับของนางที่แคว้นหรงก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว

ตอนนี้นางยังจะอยากได้อะไรที่แคว้นหรงอีกกัน?

ปัญหาข้อนี้ไม่เพียงยากต่อราชทูตของแคว้นหรง แต่ก็ยังยากสำหรับมู่ชิงเกออีกด้วย

‘เฮ้อ ขนาดต้องการสิ่งของจากผู้คนก็ยังต้องยุ่งยากถึงเช่นนี้!’

ทันใดนั้นเอง ฟ่งอวี๋เฟยก็แววตาไหววูบขึ้น เดินไปที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ กระซิบกระซาบกับนางอยู่หลายประโยคก่อนจะถอยกลับไป

ชั่วขณะนั้นแววตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งแสงวูบขึ้นมา หัวเราะขำพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สู้เอาเงินภาษีหนึ่งปีของแคว้นหรงส่งมอบให้พวกเราก็แล้วกัน ใครให้แคว้นระดับสามอย่างพวกเราค่อนข้างล้าหลังกันเล่า?”

เงินภาษีหนึ่งปีของแคว้นหรงก็มีค่ามากเท่าใด?

หากมีเงินก้อนนี้ในแขนแดนของแคว้นระดับสามก็จะสามารถนำพามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันใดกัน? ที่สำคัญก็คือหลังจากราชทูตแคว้นหรงกลับไปแล้ว แล้ว ถูกฮ่องเต้ของพวกเขาทราบเรื่องเข้าว่าต้องสูญเสียเงินภาษีไปหนึ่งปี จุดจบของเขาก็จะกลายเป็นเช่นไร?

“อะไรนะ? เงินภาษีหนึ่งปี! เจ้ารูรึไม่ว่าเงินภาษีของแคว้นหรงของข้ามีจำนวนเท่าใด? ถึงกับเปิดปากได้อย่างละโมบเช่นนี้! อีกอย่างเรื่องเรื่องนี้ข้าก็ไม่อาจเป็น คนตัดสินใจได้!” ราชทูตของแคว้นหรงพลันกล่าวโต้แย้งขึ้น

มู่ชิงเกอกลับหันหน้ามองไป ดวงตาโค้งรีดุจจันทร์เสี้ยว จ้องมองไปที่เขาพลางกล่าวว่า “ข้าก็ต้องการเพียงสิ่งนี้ หากเจ้าตัดสินใจไม่ได้ก็สามารถถามความเห็นไปที่ฮ่องเต้ของพวกเจ้าได้ว่าจะเลือกจ่ายเงินภาษีหนึ่งปี หรือจะถอนตัวออกจากงานชุมนุมใหญ่ของหลินชวนในครั้งนี้”

ถอนตัวจากงานชุมนุมใหญ่หลินชวน?

นี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้!

ราชทูต แคว้นหรงมองไปทางมู่ชิงเกออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หวงฝู่ฮ่วนอยู่ๆ ก็พยักหน้าพลางกล่าววาจาขึ้น “ข้อเสนอนี้ก็นับว่าไม่เลว ถ้าหากเสียดายเงินภาษี ก็ให้ถอยออกจากการแข่งขัน ก็จะได้ลดความสูญเสียลงไปบ้าง เสด็จพ่อท่านว่าเป็นเช่นไร?”

จักพรรดิหยวนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อืม อย่างนั้นก็เอาเช่นนี้แล้วกัน ราชทูตแคว้นหรงเจ้าออกไปเขียนจดหมายให้ฮ่องเต้ของเจ้าเถอะ แล้วเราจะสั่งให้คนเอา ไปส่งมอบให้เอง ก่อนการเริ่มต้นงานชุมนุมหลินชวน สัญญาว่าจะต้องส่งจดหมายของฮ่องเต้เจ้ากลับมาให้ทัน”

การเสริมรับของสองพ่อลูกนี้ก็ได้กลายเป็นกำหนดบทสรุปของเริ่องนี้ ราชทูตแคว้นหรงความคิดอยากตายก็มีขึ้นมาบ้างแล้ว จดหมายนี้หากถูกส่งออกไป ฮ่องเต้แคว้นหรงจะไม่ทรงอยากเอาชีวิตของเขาหรือ?

แต่ว่าเขากลับไม่สามารถโต้แย้งอันใดต่อจักพรรดิหยวน ที่มีสถานะเป็นผู้ปกครองของแคว้นอันดับหนึ่งได้

การเข้าข้างที่จักพรรดิหยวนกับหวงฝู่ฮ่วนมีต่อมู่ชิงเกอ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจนัก คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ในใจของมู่ชิงเกอกลับชัดเจนดี ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคนคนเดียว…ซือมั่ว!

ซือมั่วสามารถใช้สถานะขององค์มหาปราชญ์ของอาณาจักรเซิ่งหยวนไปไหนมาไหนในหลินชวนได้ตามใจ ก็สามารถกล่าวได้แล้วว่าเขากับราชวงศ์หวงฝู่นั้นมีความใกล้ชิดกันเพียงไร

งานเลี้ยงก็ดำเนินไปจนถึงครึ่งราตรี หลังจากทุกคนสนุกกันอย่างเต็มที่แล้วถึงค่อยๆ พากันแยกย้ายจากไป ส่วนจักพรรดิหยวนในตอนที่ยังไม่ถึงครึ่งราตรีพระองค์ก็ได้จากไปก่อนแล้ว งานเลี้ยงส่งต่อให้รัชทายาทหวงฝู่ฮ่วนเป็นผู้ดูแล

เสียงร้องรำพอจบลงผู้คนก็พากันแยกย้าย วังหลวงที่ครึกครื้นมาทั้งคืนก็ได้กลับไปเงียบสงบอีกครั้ง

ในตอนที่พวกมู่ชิงเกอเตรียมตัวจะจากไป หวงฝู่ฮ่วนอยู่ๆ ก็เดินมาจากด้านหลัง เรียกตัวนางเอาไว้ “คุณชายมู่ โปรดรั้งอยู่ก่อนได้หรือไม่?”

มู่ชิงเกอหันไปมองเขา ถึงต่อให้เขาไม่มาหาตัวเอง นางก็จะต้องไปขอพบเขาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วสักครั้งหนึ่ง ดังนั้นนางก็เลยพยักหน้า ให้จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยกลับไปก่อน

เจียงหลีส่งสายตามองไปทางมู่ชิงเกอกับหวงฝู่ฮ่วนอย่าง สงสัยก่อนจะถามว่าเสียงเบา “พวกเจ้ามีความเกี่ยวข้องอันใด? คงไม่ใช่เป็น…”

“อย่าได้คิดอะไรมั่วๆ ส่งเดช พวกเราเพิ่งจะได้พบกันครั้งแรก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” มู่ชิงเกอพูดประโยคหนึ่ง ส่งเจียงหลีให้จากไป

ที่พักของพวกนางก็ไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน แต่ว่าทางที่จะออกจากวังหลวงกลับเป็นทางเดียวกัน

หลังจากเจียงหลีเดินออกไปอย่างไม่ยินยอมแล้ว หวงฝู่ฮ่วนถึงได้เดินมาที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ยื่นมือออกไปเชื้อเชิญนาง “คุณชายมู่เชิญ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ก่อนจะเดินตามหวงฝู่ฮ่วนไปยังอุทยานหลวงที่อยู่ไม่ไกล

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มค่อยๆ สว่างขึ้น เหล่านางกำนัลต่างทยอยกันดับโคมไฟของวังหลวง เหลือเพียงตะเกียงไม่กี่ใบที่ยังริบหรี่อยู่รางๆ หวงฝู่ฮ่วนได้พามู่ชิงเกอมาถึงศาลาที่ยื่นไปในนํ้าแห่งหนึ่ง

ศาลาหลังนี้สร้างอยู่กลางทะเลสาบ โดยมีสะพานโค้ง เชื่อมต่อกับริมฝั่ง ในทะเลสาบ สะท้อนภาพได้กระจ่างชัดนัก ราวกับผิวนํ้าและผืนฟ้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน

บนโต๊ะกลมที่อยู่ในตัวศาลาตั้งวางไว้ด้วยผลไม้กับขนมว่างเลิศรสหลายจานทั้งยังมีกาน้ำชาแก้สร่างเมาอีกกาหนึ่ง

มู่ชิงเกอสายตากวาดมองไปยังสิ่งของเหล่านั้น ก่อนจะลอบครุ่นคิดขึ้นในใจ ‘ดูท่าหวงฝู่ฮ่วนผู้นี้จะเตรียมการได้พร้อมสรรพนัก’

“คุณชายมู่ เชิญนั่ง” หวงฝู่ฮ่วนชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก่อนจะกล่าวแย้มยิ้มกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา ก่อนจะกล่าวอย่างเกรงใจเช่นเดียวกัน “รัชทายาทเกรงพระทัยเกินไปแล้ว” พอกล่าวจบนางก็ค่อยทำตามที่หวงฝู่ฮ่วนบอก นั่งลงไป บนเก้าอี้

หลังจากหวงฝู่ฮ่วนรินชาร้อนให้นางถ้วยหนึ่งแล้วถึงค่อยกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าคุณชายมู่ก็มีเรื่องราวมากมายที่คิดอยากจะถามข้า ส่วนข้าเองนั้นก็มีเรื่องมากมายที่อยากจะถามคุณชายมู่เช่นกัน”

มู่ชิงเกอยิ้มกล่าวว่า “กระหม่อมชอบพูดคุยกับคนฉลาด และองค์รัชทายาทก็นับว่าเป็นพวกคนฉลาด”

หวงฝู่ฮ่วนรอยยิ้มไม่ได้จางลง ค่อยๆ กล่าวอย่างช้าๆ “เพื่อที่จะแสดงความจริงใจ คุณชายมีอันใดอยากถามก็ สามารถถามออกมาก่อนได้ ถ้าหากข้ารู้ก็แน่นอนว่าจะต้องบอกท่าน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้กระหม่อมก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวแย้มยิ้มขึ้นมา

หลังจากเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก สีหน้าท่าทางของมู่ชิงเกอก็กลายเป็นนิ่งขรึมลงหลายส่วน “องค์รัชทายาททรงเคยได้ยินชื่อของกระหม่อมจากองค์มหาปราชญ์มาก่อนงั้นรึ?”

“ไม่ผิด” หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้าพลางกล่าวว่า

มู่ชิงเกอแววตาหดเล็กลง ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นเขาเอ่ยถึงกระหม่อมว่าเช่นไรบ้าง?”

ประโยคคำพูดนี้ก็แอบซ่อนไว้ด้วยความสงสัยอยู่หลายข้อ

ข้อหนึ่งก็คือ ซือมั่วพูดถึงนางภายใต้สถานการณ์แบบไหน

ข้อสอง ซือมั่วพูดถึงนางว่าอย่างไร

ข้อสาม ซื่อมั่วที่พูดถึงนางมีความต้องการอะไรแอบแฝง?

ตาเฒ่าปีศาจนั่น ความฉลาดของเขาก็นับว่าเข้าขั้นปีศาจ นางไม่มีทางเชื่อว่าเขาจะทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ส่วนหวงฝู่ฮ่วนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เป็นคนฉลาด นางก็ไม่ เชื่อว่าเขาจะไม่เข้าใจความนัยที่แท้จริงของประโยคคำถามของนาง

หวงฝู่ฮ่วนแย้มยิ้ม ค่อยๆ ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้น จรดมันไปจิบที่ริมฝีปากก่อนจะวางมันลง “ในใต้หล้าผู้คนล้วนทราบว่า ฮ่วนตัวอักษรนี้เป็นองค์มหาปราชญ์ที่ประทานให้ข้า และในพันปีมานี้ข้าก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวในราชวงศ์ที่ได้รับเกียรติยศนี้ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คำรํ่าลือกับความจริงก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง”

มู่ชิงเกอไม่คิดว่าหวงฝู่ฮ่วนจะไม่ได้ตอบคำถามของนางออกมาตรงๆ แต่กลายเป็นพูดถึงเรื่องของตัวเองแทน

แน่นอนนางไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหวงฝู่ฮ่วนที่อยู่ๆ พูดถึงเรื่องๆ นี้จะมีเป้าหมายอะไร ดังนั้นก็ทำได้นั่งฟังเงียบๆ ต่อไป

“เมื่อตอนนั้น หลังจากข้าคลอดออกมา ตามธรรมเนียมของในวังหลวงก็จะให้เสด็จพ่ออุ้มข้าไปที่ตำหนักหลีกง ขอเข้าเฝ้าองค์มหาปราชญ์ขอให้เขาประทานชื่อให้ข้า ก็เคยได้ยินเสด็จพ่อเล่าว่าตอนนั้นองค์มหาปราชญ์กำลังเขียนพู่กันอยู่ หลังจากได้ฟังคำร้องขอของเสด็จพ่อแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ก็เหมือนกับพวกพี่ๆ ของข้าพวกนั้น พระองคํไม่ได้สนใจเรื่องการตั้งชื่ออะไรนั้น เสด็จพ่อของข้าคุกเข่ารออยู่ที่พื้นอย่างยาวนาน และตัวข้าก็เหมือนจะรู้ว่าตำหนักหลีกงไม่ใช่สถานที่ที่จะร้องไห้โวยวาย ก็เลยไม่ได้ร้องแม้แต่เสียงเดียว หลังจากนั้นหลังจากองค์มหาปราชญ์เขียนพู่กันเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เสด็จพ่อของข้าที่ไม่รู้ความก็ทำได้เพียงลุกขึ้นอย่างผิดหวัง แต่ในตอนนั้นเองเขากลับเห็นว่าบนโต๊ะที่องค์มหาปราชญ์เขียนพู่กันมีตัวอักษร ‘ฮ่วน’ เขียนเอาไว้อยู่ตัวหนึ่ง จากนั้นมาข้าก็กลายเป็นมีชื่อแล้ว” หวงฝู่ฮ่วนพอกล่าวจบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นขึ้นมา “อักษรฮ่วนจริงๆ แล้ว องค์มหาปราชญ์ได้ประทานชื่อให้ข้าจริงๆ หรือไม่นั้น? ปริศนานี้ก็เกรงว่าจะมีเพียงแต่องค์มหาปราชญ์เท่านั้นถึงจะรู้ได้ แต่ข้ากลับเพราะเหตุนี้ได้กลายเป็นรัชทายาทของอาณาจักรเซิ่งหยวน อีกทั้งสถานะก็ไม่มีใครมาสั่นคลอนได้”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

มู่ชิงเกอคาดเดาขึ้นในใจ ‘ตัวอักษรส่วนนี้ก็คงไม่ใช่ตาเฒ่าปีศาจนั้นแค่เขียนทิ้งไว้พอดีกระมัง?’ ด้วยความเข้าใจที่นางมีต่อซือมั่ว บุรุษผู้นี้ถ้าหากอยากจะมอบชื่อให้ใครจริงๆ ก็ไม่มีทางทำอะไรอ้อมค้อมเช่นนี้

แน่นอนการคาดเดาข้อนั้นนางก็ไม่มีทางพูดออกไป

อีกทั้งหวงฝู่ฮ่วนก็ไม่ได้มีท่าทางอยากในวิเคราะห์ในจุดๆ นี้กล่าวต่อว่า “จากนั้นเป็นต้นมาเสด็จพ่อของข้าก็เลยยึดถือมาตลอดว่าองค์มหาปราชญ์มีความสนใจในตัวข้า เขามักจะส่งข้าไปที่ตำหนักหลีกงอยู่บ่อยครั้ง ไปอยู่เป็นเพื่อนองค์มหาปราชญ์ภาพฉากนี้จากมุมมองของคนนอกก็คือความโปรดปรานที่หล่นลงมาจากฟ้า”

ส่งเด็กตัวน้อยไปเป็นเพื่อนซือมั่ว?

มู่ชิงเกอก็รู้สึกเลื่อมใสความกล้าหาญของจักพรรดิหยวนยิ่งนัก เขาก็ไม่กลัวรึว่าลูกชายของตัวเองจะถูกซือมั่วใช้ฝ่ามือเดียวตบจนตาย?

ฟังจากนํ้าเสียงของหวงฝู่ฮ่วนแล้วเกรงว่าวันเวลาที่เขาอยู่ในตำหนักหลีกงก็จะไม่ได้ราบรื่นนัก

แล้วก็จริงๆ หวงฝู่ฮ่วนยิ้มขื่นขึ้นมา “ตามจริงแล้วตอนที่ข้าอยู่ตำหนักหลีกง จำนวนครั้งที่ได้พบกับองค์มหาปราชญ์ในยี่สิบกว่าปีมานี้ ก็มีเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น สองครั้งก่อนหน้าล้วนแต่เป็นช่วงเวลาเพียงครู่เดียว มีเพียงครั้งที่สามที่องค์มหาปราชญ์ตั้งใจเรียกข้าเข้าไปพบ”

หวงฝู่ฮ่วนหลังจากกล่าวจบก็มองไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกะพริบตาปริบๆ นางทำไมถึงรู้สึกว่าแววตาของหวงฝู่ฮ่วนกำลังบอกนางว่าซือมั่วที่เรียกพบเขาก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับนาง?

“ไม่ผิดก็เป็นเพราะว่าเจ้า” หวงฝู่ฮ่วนพลันพยักหน้ายืน

ยันขึ้นมา

พอมองเห็นท่าทางประหลาดใจบนใบหน้าของมู่ชิงเกอ หวงฝู่ฮ่วนก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนที่ข้ารู้ครั้งแรกก็ประหลาดใจเช่นกัน เสด็จพ่อหวังว่าองค์มหาปราชญ์จะรับข้าเป็นศิษย์นี่ก็ถือเป็นสาเหตุหลักที่เขาส่งข้าไปที่ตำหนักหลีกงบ่อยๆ แต่ว่า ข้ากลับไม่มีโอกาสนี้ในตอนที่องค์มหาปราชญ์เรียกไปเข้าพบนั้นข้านึกเลยเถิดไปว่า การตั้งมั่นไม่ย่อท้อมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีของข้านั้นทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจ ในที่สุดก็ทำให้เขารับข้าเป็นศิษย์ได้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าในตอนที่ข้าได้พบกับบุรุษที่แข็งแกร่งจนแม้แต่เทพบนสรวงสวรรค์ยังต้องเกรงกลัวนั้น ประโยคแรกที่เขากล่าวกับข้าก็คือ ‘มู่ชิงเกอของแคว้นฉิน จะมาที่อาณาจักรเซิ่งหยวน อย่าปล่อยให้เขาถูกรังแก’ นี่ก็ถือเป็นประโยคแรกและก็เป็นประโยคเพียงหนึ่งเดียวที่เขากล่าวออกมา”

อย่าปล่อยให้นางถูกรังแก อยู่ๆ ในใจของมู่ชิงเกอก็เกิดความอบอุ่นที่ได้รับการปกป้องไหลแล่นขึ้นมา ที่แท้ต่อให้ชายผู้นี้จะไม่ปรากฏตัวขึ้นข้างกายนาง แต่เขาก็ยังห่วงใยนาง ทำการปกป้องนางอย่างรอบด้าน

มู่ชิงเกอแววตาปรากฏแววสั่นไหวกับอบอุ่นขึ้นมาสายหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version