ตอนที่ 90-2
สารพัดวิธีรนหาที่ตาย คงมิอาจห้ามได้!
“ได้ข่าวว่า หลายปีมานี้ ปัญหาความขัดแย้งโกงกินภายในแคว้นถูก็รุนแรงมาก หวังจะใช้การอภิเสกสมรสในการคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น และบรรลุเป้าหมายนั่นก็คือการหยุดสงคราม” มู่ซงพูด
“แล้วความจริงล่ะ?” สายตาอันสว่างของมู่ชิงเกอหยุดอยู่ที่มู่ซง
สายตาอันเคร่งขรึมของมู่ซงฉายแววความชื่นชม ราวกับว่ากำลังชื่นชมความคิดอันฉลาดหลักแหลมของหลานสาว และพูดว่า “ความจริงแล้ว สงครามภายในที่เกิดขึ้นในแคว้นถูมีสาเหตุมาจากการแย่งขิงของเหล่าองค์ชาย ในขณะที่เกิดความวุ่นวาย ภายในหนึ่งปีแคว้นถูเปลี่ยนรัชทายาทมาแล้วสามพระองค์และตอนนี้ ตำแหน่งรัชทายาทองค์นี้เองก็ยังไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นจึงหวังอภิเสกสมรสกับแคว้นฉิน ได้รับการสนับสนุนจากแคว้นฉิน เพราะไม่ว่าอย่างไรแคว้นฉินและแคว้นถูก็มีชายแดนติดกัน หากต้องการกำลังทหาร ไม่มีใครจะเข้าไปช่วยเหลือได้รวดเร็วกว่าแคว้นฉินอีกแล้ว”
“ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นถู ยังมีแคว้นปา” มู่ชิงเกอกล่าวเตือน
ช่วงที่ผ่านมานี้นางเสียเวลาจำนวนมากในการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ แต่สำหรับสถานการณ์ของแคว้นต่างๆ ยังไม่กระจ่างได้เท่ามู่ซง เพราะฉะนั้นถือโอกาสนี้ในการเรียนรู้ก็ถือว่าไม่เลว
“แคว้นปาอย่างนั้นหรือ” มู่ซงมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง พลางลูบหนวดยาวและพูดว่า “ แคว้นปานั้นเป็นป่าและเทือกเขา การเดินทางยากลำบาก เพราะทรัพยากร ทางธรรมชาติกั้นระหว่างแคว้นปาและแคว้นถูเอาไว้ และคุ้มครองแคว้นปาจนไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ อีกประการหนึ่ง แคว้นปามีจุดเด่นนั้นก็คือ เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของหลากหลายชนเผ่า โดยปกติแล้วมีการปกครองแบบปกครองตนเอง และภายในก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง หากมีการติดต่อกับภายนอกเท่านั้นจึงจะมีอ๋องที่คัดเลือกโดยท่านผู้เฒ่า ด้วยชื่อเสียงที่เล่าต่อกันมาของแคว้นปาแล้ว หากแคว้นถูคิดจะยืมกำลังก็คงจะเป็นไปได้ยาก”
“แคว้นปา ถือว่าน่าสนใจ” มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย
หากเรื่องราววุ่นวายภายในแคว้นฉินหมดสิ้นแล้ว นางก็อยากจะไปท่องหลินชวนรอบหนึ่ง เพื่อดูว่าโลกอันแตกต่างใบนี้แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร
ก๊อกๆๆ—
เสียวเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะบทสนทนาของมู่ชิงเกอและมู่ซง
หลังจากที่สิ้นเสียงของมู่ซง มู่เหลียนหรงก็ผลักประตูเข้าไปและพูดกับทั้งสองว่า “วันนี้ป๋ายซีเยวี่ยไปพบรุ่ยอ๋องอีกแล้ว”
“นางยังคงไม่รอช้าที่จะไปส่งข่าว” มู่ชิงเกอยิ้มเย็นเยียบ
ทันใดนั้น นางก็พูดขึ้นอีกว่า “ดูเหมือนว่า ข้าคงต้องหาเวลาไปสนทนากับรุ่ยอ๋องเสียแล้ว”
“ชิงเกอ เจ้าคิดจะทำอะไร” มู่เหลียนหรงถาม
แต่ทว่า ไม่ทันที่มู่ชิงเกอจะตอบคำถาม มู่ซงก็ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “ชิงเกอมีวิธีของตัวเอง เจ้าไม่ต้องถามมาก”
มู่เหลียนหรงสะดุ้งทีหนึ่ง แล้วเม้มปากพลางก้มหน้าลง
หากจะลงมือกับป๋ายซีเยวี่ย นางทำไม่ลง ท่านพ่อเองก็ทำไม่ลง งั้นทำได้เพียงแค่พึ่งมู่ชิงเกออย่างนั้นหรือ? เพราะเหตุใดเรื่องราวทั้งหมดของตระกูลมู่ ต้องโยนให้
เด็กคนนี้เป็นผู้แบกรับตลอดเลยนะ?
มู่เหลียนหรงโกรธตนเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หากพูดจากใจแล้ว นางไม่อยากให้ป๋ายซีเยวี่ยมีจุดจบที่ไม่ดี แต่ทว่า นางกลับไม่สามารถให้อภัยป๋ายซีเยวี่ยที่คิดหักหลังตระกูลมู่ได้
บางที ก็อย่างที่ท่านพ่อกล่าวเอาไว้ให้หลานสาวคนนี้จัดการเรื่องราวทั้งหมดจึงจะเหมาะสมที่สุด
มู่เหลียนหรงแอบปลอบใจตนเอง
ในขณะนี้เอง มู่ชิงเกอเพียงพลิกมือและปรากฏแหวนวงหนึ่งขึ้นมา
แหวนวงนี้ เป็นแหวนที่ได้มาจากผู้เฒ่าเป่ยหมิงในตอนแรก และอยู่ในครอบครองของนางมานาน แต่ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
นางให้แหวนกับมู่ซง และพูดกับเขาว่า “ท่านปู่ นี่คือแหวนซวีหมี สามารถเป็นช่องว่างในการเก็บสมบัติได้ ท่านเพียงแค่ใช้จิตแทรกซึมเข้าไป และสลักสัญลักษณ์ของท่านเอาไว้ ก็จะสามารถใช้การมันได้ท่านลองดู”
มู่ซงมองนางด้วยความตกใจ และรับแหวนซวีหมีมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ชิงเกอ เจ้าไปเอาสมบัติอันลํ้าค่านี้มาจากไหนกัน?” มู่เหลียนหรงเองก็พูดด้วยความตกใจ มู่ชิงเกอพูดในสิ่งที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วออกมา “เทือกเขาฉินเป็นแหล่งสมบัติจากธรรมชาติโดยแท้ คนจำนวนมากเข้าไปผจญอันตราย และทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นั่น สมบัติของพวกเขาจึงกลายเป็นของที่ไร้เจ้าของ” ที่เปิดเผยแห วนซวีหมี ก็เพราะรู้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง
ในมือนาง ยังมีกำไลซวีหมีอีกวง สมบัติชิ้นนั้นนางกลับไม่สามารถเอาออกมาใช้โดยพลการ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา
เพราะฉะนั้น นางจึงพูดกับมู่เหลียนหรงว่า “ท่านอา ในอนาคตหากเจอสมบัติเช่นนี้อีก ชิงเกอจะเอามันมาให้ท่านอาให้ได้”
มู่เหลียนหรงพูดด้วยความปลาบปลื้ม “แค่เจ้ามีใจ อาก็ดีใจแล้ว สมบัติเช่นนี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เจ้าอย่าไปเสี่ยงอันตรายเลย”
มู่ชิงเกอยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรมาก
นางมองมู่ซงพลางพูดว่า “ท่านปู่เห็นขวดที่อยู่ภายในแหวนซวีหมีหรอไม่”
มู่ซงที่กำลังศึกษาแหวนซวีหมี เมื่อได้ยินคำถามก็รีบพยัก หน้าพลางพูดว่า “เห็นแล้ว”
“เอามันออกมาได้ไหม” มู่ชิงเกอพูดขึ้นอีก
มู่ซงหลับตาและเงียบไปสักพัก แบฝ่ามือทั้งสองออก บนฝ่ามือนั้นก็ปรากฏขวดเครื่องเคลือบสีขาวสองใบปรากฎอยู่
“พวกมันนี่แหละ” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม หยิบขวดเคลือบใบหนึ่งบนฝ่ามือของมู่ซงขึ้นมามอบให้กับมู่เหลียนหรงแล้วจึงอธิบายกับทั้งสองว่า “ท่านปู่ ท่านอา ภายในขวดนี้มีโอสถระดับสูงที่ชิงเกอปรุงขึ้นมาเอง ชื่อว่าโพ่ปี้ตาน (โอสถทะลวงชั้น) สามารถช่วยให้ทะลวงพลังที่ติดขัดอยู่ได้ พวกท่านทั้งสองต่างก็ติดอยู่ในสายนํ้าเงินชั้นสูงสุดและสายเขียวชั้นสูงสุดมานานหลายปี หากได้กินโพ่ปีตานเข้าไปจะต้องทะลวงเข้าสู่ชั้นที่สูงกว่าได้เป็นแน่”
ทันทีมู่ชิงเกอพูด ก็รู้สึกว่าภายในห้องเงียบลงในทันที มู่ซงและมู่เหลียนหรงต่างก็มองนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ราวกับว่าไม่สามารถประมวลคำพูดของนางได้
จากนั้นมู่ชิงเกอจึงส่งเสียงกระแอมอย่างอึดอัดทีหนึ่ง พลันยื่นนิ้วมือทั้งห้าออกไปโบกตรงหน้าทั้งสองพลาง ตะโกนว่า “นี่! เลิกตกใจกันได้แล้ว!”
ทั้งสองราวกับได้รับการคลายจุดอย่างนั้น ได้สติกลับคืนมาทันที
มู่เหลียนหรงคว้ามือของมู่ชิงเกอขึ้นมา พลางพูดด้วยนํ้าเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นว่า “ชิงเกอ เมื่อครู่นี้ เจ้าพูดว่าอะไรนะ เจ้าหลอมโอสถได้? และยังหลอมโอสถระดับสูงได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ภายในแคว้นฉินแห่งนี้ นักปรุงยามีน้อยมาก นางสามารถเข้าใจความตื่นเต้นของมู่เหลียนหรงได้
“ดีเหลือเกิน! ช่างดีเหลือเกิน! ฟ้าช่างเมตตาตระกูลมู่!” มู่ซงตื่นเต้นจนบนหน้าเต็มไปด้วยนํ้าตาแห่งความดีใจ มือคู่ใหญ่ที่กำขวดเคลือบสั่นไม่หยุด “ตระกูลมู่มีนักปรุงยากำเนิดขึ้นแล้ว และยังเป็นถึงนักปรุงยาระดับสูงอีกด้วย!”
เหตุผลที่ทั้งสองตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะการฝึกพลังของตนเองกำลังจะพัฒนาไปอีกขั้น แต่เพราะความเก่งกาจของมู่ชิงเกอ