ตอนที่ 176-1
นายน้อยมู่ต้องการการดูแล!
“ที่พวกเขาใช้จริงๆ แล้วเป็นทักษะสงครามระดับใดกันแน่? ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้?”
“ดูจากระดับพลังแล้วคงไม่มีทางตํ่ากว่าระดับปฐพี!”
“ไม่ตํ่ากว่าระดับปฐพี? แคว้นระดับสามทำไมถึงมีทักษะสงครามระดับนี้ได้?”
องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ทำเอารอบด้านตกตะลึงกันไปหมด พร้อมกับความสงสัยที่ไหลแล่นขึ้นมาเต็มอก
ส่วนจิ่งเทียนที่จะได้ออกโรงในอีกไม่นานบนแผ่นหลังก็มีเหงื่อซึมจนชื้นแฉะไปหมด ชั่วขณะนั้น เขามีความคิดอยากให้ไท่สื่อเกาพ่ายแพ้หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปเผชิญหน้ากับคนที่ร้ายกาจกว่าอย่างมู่ชิงเกอ อีกทั้งจะได้ไม่ต้องออกไปเสียหน้า!
ความตื่นตระหนกยังไม่ทันถูกดึงกลับ ก็เห็นไท่สื่อเกาที่อยู่ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้นมา ยื่นกรงเล็บแหลมคมพุ่งออกไปทางฟ่งอวี๋เฟย ในปากร้องคำรามเสียงอำมหิต “ข้าจะฆ่าเจ้า—–!”
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้ก็ทำเอาผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นั่งต่างตื่นตระหนกขึ้น พากันตกตะลึงยืนขึ้นมา
เฮยมู่ก็ตื่นตระหนกจนต้องกระโดดขึ้นจากที่นั่ง ยื่นมือออกไปขวาง “นายน้อยยั้งมือ—–!”
ที่นี่เป็นวังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวน อยู่ภายใต้สายตาขององค์มหาปราชญ์ทั้งยังอยู่หน้าพระพักตร์ของจักพรรดิหยวน การทำลายกฎการแข่งขันอย่างเหิมเกริม ลง มือสังหารคนตรงๆ ผลลัพธ์ที่จะรออยู่นั้น…
ในใจของเฮยมู่เย็นยะเยือก ไม่อาจหาญคิดถึงผลลัพธ์ต่อไปได้
เขาออกปากขัดขวาง แต่ว่าไท่สื่อเกาที่ตกอยู่ในความเกรี้ยวกราดจะได้ยินรึ?
จักพรรดิหยวนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอันสูงศักดิ์ตอนนี้ สีหน้าก็กลายเป็นเคร่งขรึม ร้องตวาดขึ้นเสียงดัง “หยุดเขา!”
คำพูดของเขาพอกล่าวออกมา หวงฝู่ฮ่วนที่เร้นกายอยู่ก็พลันพุ่งออกมา ฝ่ามือปรากฏแสงสีม่วงเรืองรอง พุ่งฟาดไปทางแผ่นหลังของไท่สื่อเกา
แต่ว่า ไท่สื่อเกาก็ราวกับว่าจะสัมผัสได้ตั้งแต่ต้น ตรงส่วนเอวมีแสงเปล่งวูบขึ้นมา อสูรวิญญาณของเขาร้องคำรามก่อนจะพุ่งออกไป พุ่งเข้าไปปะทะกับท่าโจมตี ของหวงฝู่ฮ่วนตรงๆ
ระหว่างเหตุพลิกผลันนี้ไท่สื่อเกาก็ได้พุ่งไปถึงด้านหน้าของฟ่งอวี๋เฟยแล้ว
ระดับการฝึกของไท่สื่อเกาก็ได้เข้าสู่ขั้นนํ้าเงินแล้ว แต่ฟงอวี๋เฟยยังคงอยู่ที่ขั้นสีคราม
ทั้งสองคนถ้าหากปะทะกันขึ้นมาก็สามารถแบ่งแยกแพ้ชนะได้ภายในฝ่ามือเดียว!
ฝ่ามือของไท่สื่อเกาก็พุ่งตรงไปทางหัวใจของฟ่งอวี๋เฟย ตรงๆ ไม่ได้มีท่าทางถนอมบุปผาแม้แต่น้อย
ฟ่งอวี๋เฟยนัยน์ตาทั้งสองข้างหดเล็กลง ไม่สามารถหลีกหนีได้ ทำได้เพียงฝืนต้านรับออกไป
และในตอนนั้นเองอยู่ๆ นางก็ถูกฝ่ามือหนึ่งผลักออกไป หลบการโจมตีที่มาจากไท่สื่อเกาได้ ส่วนจุดเดิมที่นางยืนอยู่เมื่อครู่ ก็ถูกแทนที่ด้วยมู่ชิงเกอ พอต้องมาเผชิญหน้ากับการโจมตีของไท่สื่อเกา มู่ชิงเกอก็นิ่งเงียบสงบไร้การสั่นไหวแต่อย่างใด เพียงแค่ค่อยๆ ยกมือขวาของตนเองขึ้นตรงหน้าอยู่ๆ ก็ถูกเปลี่ยนคน นัยน์ตาของไท่สื่อเกากลายเป็นไหววูบ เผยร้อยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา “มาได้ดี นัก!”
คำกล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ามือของทั้งสองคนก็พลันปะทะเข้าหากัน
เสียงระเบิดก้องกังวานอยู่ๆ ก็ดังขึ้น แรงลมไร้ลักษณ์ก็สะเทือนจนแท่นที่นั่งชั้นสองกลายเป็นสั่นไหวอยู่หลายที
“อั๊ก—–!” เงาร่างสายหนึ่งกระอักเลือดออกมา พุ่งลอยสวนออกไป
เหล่าผู้คนที่กำลังตื่นตระหนกส่งสายตาจ้องมองไป ก่อนจะค้นพบว่าคนที่ถูกต่อยออกไปในฝ่ามือเดียวก็เป็นไท่สื่อเกา!
แล้วมู่ชิงเกอเล่า?
ฝูงชนดึงสายกลับหันมองไป เห็นเพียงมู่ชิงเกอยังคงยืนอยู่ที่เดิม แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้ขยับ นางสะบัดแขนเสื้อแรงๆ หนหนึ่งก่อนจะเอามือไปไพล่ไว้ด้านหลัง บนใบหน้างามลํ้าฉายแววราบเรียบดูเย็นชา
“นายน้อย!” เฮยมู่ร้องเสียงตระหนกขึ้นเสียงหนึ่ง พุ่งทะยานออกไป พุ่งออกไปรับร่างของไท่สื่อเกาที่กำลังร่วงตกลง
“แค่ก แค่ก…” ไท่สื่อเกาไอขึ้นหลายเสียง ทั้งยังกระอักเลือดออกกองหนึ่ง ย้อมไปที่เสื้อจนกลายเป็นสีแดง สีหน้าของเขาดำคลํ้า เส้นเอ็นปูดออก พยายามยกมือที่ สั่นไหวชี้นิ้วไปทางมู่ชิงเกอ กล่าวกับเฮยมู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “ผู้อาวุโสสังหารเขา ข้าขอสั่งให้ท่านสังหารเขา…!”
“นายน้อย โปรดสงบสติอารมณ์ด้วย!” เฮยมู่กดมือที่ยกขึ้นของเขาเอาไว้ ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของเขา
หลังจากนั้นก็เร่งร้อนหยิบเม็ดโอสถใส่เข้าไปในปากของไท่สื่อเกา
เม็ดโอสถหลังจากเข้าไปในปากแล้ว ตรงหน้าของไท่สื่อเกาก็ปลายเป็นดำมืดลง สลบลงไป
พอเห็นเขาสลบลงไป เฮยมู่ก็ลอบถอนหายใจโล่งอกขึ้นในใจ ไม่เช่นนั้นคืนนี้ก็ไม็รู้ว่าจะต้องเก็บกวาดสถานการณ์เช่นไรแล้ว
“มู่ชิงเกอเจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากลับกล้าลงมือทำร้ายนายน้อยของสำนักหมื่นอสูร?” โหลวเสวียนเถี่ยตบโต๊ะ พร้อมกับลุกยืนขึ้นชี้นิ้วร้องคำรามไปทางมู่ชิงเกอขึ้นเสียงดัง
ความเกรี้ยวกราดที่ปรากฏอยู่เต็มใบหน้านั้นก็ราวกับว่า มู่ชิงเกอเป็นตัวชั่วช้าที่รังแกผู้อ่อนแอ
แววตาเย็นยะเยือกของมู่ชิงเกอกวาดมองไปทางเขา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “เจ้าสำนักโหลวอยากจะขึ้นมาประมือกันสักรอบหรือไม่?”
“เจ้า! เจ้าคนอวดดี!” โหลวเสวียนเถี่ยถูกคำกล่าวของมู่ชิงเกอทำเอาโมโหจนสะอึก
เขาแน่นอนว่าอยากจะลงมือสังหารศัตรูคู่แค้น แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เวลานี้ เพราะว่าอยู่ที่นี่ จักพรรดิหยวนไม่มีทางยอมให้คืนนี้มีคนได้รับบาดเจ็บต่อหน้าพระองค์
“พอแล้ว!” เสียงเกรี้ยวกราดดุจอัสนีบาตดังสะท้อนลงมาจากบัลลังก์มังกร
เสียงเตือนที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์กริ้วของจักพรรดิหยวน ทำเอาผู้คนตื่นขึ้นมาจากภวังค์ต่างคนต่างกลับไปยังที่นั่งของตน
“ไท่สื่อเกาเป็นคนทำผิดกฎการแข่งขันก่อน ลงมือทำร้ายผู้คน แต่เดิมก็มีความผิดอยู่ก่อนแล้ว คุณชายมู่ช่วยเหลือผู้คน ลงมือทำร้ายไท่สื่อเกาก็ยังนับว่ามีเหตุผลที่ ยอมรับได้ เรื่องนี้ก็ขอให้จบเพียงเท่านี้เถอะ” จักพรรดิหยวนกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง ไกล่เกลี่ยเรื่องราว หวงฝู่ฮ่วนกลับไปยังที่นั่งของตน ส่วนไท่สื่อเกาก็ถูกเฮยมู่พาออกไปยังด้านนอกวังหลวง กองเลือดในตัวตำหนัก ก็มีขันทีและนางกำนัลช่วยกันเก็บกวาดจนสะอาดอย่างรวดเร็ว สะอาดจนถึงขั้นกลิ่นเลือดแม้แต่สายเดียวก็ยังไม่หลงเหลือ
ความสามารถในการรบที่มู่ชิงเกอแสดงออกมา ทั้งยังมีการแข่งขันที่น่าตื่นตาตื่นใจก่อนหน้า ก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับแคว้นระดับ สาม มู่ชิงเกอ จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย
ประมุขตระกูลจิ่งกล่าวเสียงขรึมกับจิ่งเทียน “เทียนเอ๋อร์ เจ้ากับมู่ชิงเกอจริงๆ แล้วมีความบาดหมางอะไรกันแน่? ถ้าหากไม่ใช่ความแค้นที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง สามารถแก้ไขได้ก็แก้ไขเถอะ คนผู้นี้ก็ไม่ได้สามัญ!” พอกล่าวจบเขาก็ค่อยๆ ปิดตาลง
สีหน้าของจิ่งเทียนกลายเป็นแดงดำครํ่าเคร่ง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงกํ่าไปด้วยเส้นเลือดจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ แต่ในแววตาคู่นั้นกลับขาดหายไปซึ่งความมั่นอกมั่นใจที่มีอยู่ก่อนไปนานแล้ว
เขาคิดไม่ถึงว่า มู่ชิงเกอจะลงมือได้ร้ายกาจเช่นนี้
เขาไม่ใช่ว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์” ในด้านปรุงยาเหนือผู้คนรึ? ทำไมหมัดเดียวถึงสามารถจัดการจนนายน้อยของสำนักหมื่นอสูรกระอักเลือดได้? ตามที่รู้มาพลังจิตของไท่สื่อเกาเปรียบกับเขาแล้วก็ยังสูงกว่าอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังถูกมู่ชิงเกอจัดการหมัดเดียวจนกระเด็นออกไปเช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเล่า? จุดจบก็ไม่ใช่ว่าจะน่าอนาถกว่านี้ร?
ในแววตาของเขาทอแววหวาดกลัวขึ้นมาสายหนึ่ง ราวกับมู่ชิงเกอก็ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่งของตนอีกต่อไป แต่กลายเป็นต้นกำเนิดของความหวาดผวาของเขา เป็นภูเขาสูงใหญ่ที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ลูกหนึ่ง คำกล่าวของบิดา เขาก็เหมือนกับว่าจะฟังได้ยินและเหมือนกับจะฟังไม่ได้ยิน ในสมองตอนนี้เอาแต่ปรากฏ ฉากภาพที่ไท่สื่อเกาถูกมู่ชิงเกอต่อยกระเด็นออกไปขึ้นมาซํ้าแล้วซํ้าเล่า
“ท่านแม่ คุณชายมู่ผู้นี้ร้ายกาจถึงขนาดนี้ในอนาคตจะต้องเป็นยอดคนเป็นแน่” บนที่นั่งของตระภูลฮวา หญิงสาวหน้าหยาดเยิ้มนางนั้นเปิดปากกล่าวกับประมุข ตระกูลฮวา
ประมุขตระกูลฮวาหันไปมองนางสายตาหนึ่ง ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความลึกลํ้าพร้อมกับกล่าวว่า “ทำไมรึ? ต้องตาแล้วรึไง?”
ถูกมารดามองออกถึงความในใจได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นางไม่เพียงไม่เอียงอาย กลับกันกลับกลายเป็นพยักหน้าขึ้น ก่อนที่จะอดใจไม่อยู่จ้องมองไปทางมู่ชิงเกออย่างหยาดเยิ้มหนึ่งหน
ฟ่งอวี๋เฟยเดินไปทางข้างกายของมู่ชิงเกอ สีหน้าราบเรียบพลางกล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายมาก”
มู่ชิงเกอพยักหน้าขึ้นเบาๆ ก่อนจะใช้นํ้าเสียงอันแผ่วเบา ถามว่า “ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้าก่อนจะกัดฟันกล่าว “โชคดีที่คุณชายลงมือทันเวลา ไม่เช่นนั้น…”
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นไรก็ไม่จำเป็นต้องให้นางกล่าวให้มากความ
เหตุพลิกผันนี้ก็มาอย่างรวดเร็วและผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้านายก็มารวมตัวกันมาที่รอบ
กายของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ส่งสายตาระแวดระวังจ้องมองออกไปรอบด้าน
มู่ชิงเกอเชิดหน้าขึ้นก่อนจะกล่าวไปทางจักพรรดิหยวน “จักพรรดิหยวนการแข่งขันครั้งนี้เป็นผู้ใดที่ชนะหรือพะย่ะค่ะ?”
“แน่นอนว่าเป็นพวกเจ้าที่ชนะ ไท่สื่อเกาทำผิดกฎขึ้นก่อน ในตอนที่เขาลงมือ ณ ตอนนั้น นั้นก็ถือว่าเขาได้แพ้แล้ว” เสียงของจักพรรดิหยวนดังลงมาจากบัลลังก์มังกร
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ในการแข่งขันสามครั้งชนะมาสองครั้ง เช่นนั้นครั้งที่สามยังจำเป็นต้องแข่งต่อหรือไม่?” พอกล่าวจบสายตาของนางก็ขยับไปที่ตัวของจิ่งเทียน
ฝ่ายหลัง พอตกอยู่ใต้การจับจ้องของนางก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสั่นขึ้น
“สามครั้งชนะสองครั้ง แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแข่งรอบที่สามแล้ว” หวงฝู่ฮ่วนยืนขึ้นมาก่อนจะกล่าวไกล่เกลี่ยสถานการณ์
จะเป็นการทำเพื่อตระกูลจิ่ง หรือว่าเป็นการทำเพื่อมู่ชิงเกอก็ยากที่จะคาดเดา
“ฮ่าๆๆๆ คํ่าคืนนี้ถือเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปต่อตีประมืออันใดอยู่แล้ว ทุกท่านก็สนุกกับงานเลี้ยงต่อเถอะ” จักพรรดิหยวนอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น
มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง ในใจคิดขึ้น ‘พวกเจ้าอยากจะต่อยตีก็ต่อยตี ไม่อยากต่อยตีก็จะเลิกราเพียงเท่านี้? ในเมื่อเป็นการแข่งขัน ฝ่ายชนะก็ต้องมีสิน นํ้าใจบ้างมิใช่หรือ’
ราวกับว่าจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้ เสียงของจักพรรดิก็พลันดังขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อคุณชายมู่และพวกชนะแล้ว นั่นก็แน่นอนว่าจะต้องมีรางวัล เราว่าเอา อย่างนี้ก็แล้วกันในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน เราจะมอบแก่นอสูรชั้นสูงจำนวนหมื่นก้อน ทักษะสงครามร้อยเล่ม คุณชายมู่อย่าได้คิดว่ามันน้อยไป เราก็ยังนับว่ายากจนอยู่บ้าง”
น้อยรึ? นางไม่ว่าหรอก!
มู่ชิงเกอแววตากระจ่างวูบ รอยยิ้มตรงมุมปากก็ยิ่งกลายเป็นลึกขึ้นอีกหลายส่วน
แก่นอสูรชั้นสูงนับหมื่น หากใช้จ่ายออกไปก็เกรงว่าจะสามารถซื้อเมืองหลายๆ เมืองได้ นี่ก็ยังไม่ต้องพูดถึงทักษะสงครามอีกร้อยเล่มนั่น ถึงแม้ว่าความต้องการในทักษะสงครามของนางจะไม่มาก แต่จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยนั่นต้องการมัน ส่วนฉินจิ่นเฉินเกรงว่าก็คงไม่ต่างกันเท่าไร
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” มู่ชิงเกอรับมันไว้อย่างยินดี
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็พากันกล่าวขอบคุณขึ้น