Skip to content

พลิกปฐพี 175-4

ตอนที่ 175-4

เถียนจี้แข่งม้า ชิงเกอเดินหมาก

ไท่สื่อเกามองหน้าฟ่งอวี๋เฟย หว่างคิ้วเจ้าเล่ห์ปรากฏมาดความโหดร้าย เขาเอ่ยเสียงแข็งขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ข้าไม่เคยสู้กับสตรี หากเจ้าไม่อยากให้ใบหน้าสวยงามนี้เสียโฉมอยู่ที่นี่ก็ยอมแพ้ไปเสียเถอะ”

“สู้ก็ยังไม่ได้สู้จะยอมแพ้แล้ว?” ฟ่งอวี๋เฟยไม่ขยับเขยื้อน ไม่สนใจมองเขา

“เหอะ! ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” ไท่สื่อเกาสบถ สะบัดฝ่ามือ หมากห้าตัวบนกระดานก็สะบัดเอวในเวลาเดียวกัน แสงสีครามหลายสายเปล่งออกมาจากเอวของพวกเขาหล่นอยู่ข้างกายพวกเขากลายเป็นสัตว์อสูรหลายรูปแบบ

มีหมาป่าพยัคฆ์ที่มีหัวเป็นพยัคฆ์ร่างเป็นหมาป่า และก็มีหมาไนที่มีปีกยาวจากด้านหลัง…

เมื่อสัตว์อสูรปรากฏตัวก็รวมเสียงคำรามอยู่ด้วยกัน ทำให้พระตำหนักทั้งหลังตกอยู่ในบรรยากาศน่าหวั่นเกรง

เสียงของสัตว์อสูรดังไปถึงชั้นหนึ่ง เข้าหูบรรดาขุนนางของอาณาจักรเซิ่งหยวน พวกเขาพลันสีหน้าถอดสีตกอยู่ในความสงบเงียบ

แววตาฟ่งอวี๋เฟยฉายแววสุขุม ใบหน้าเคร่งขรึมทอดมองไปยังสัตว์อสูรท่าทางดุร้ายในมือคู่ต่อสู้ขบริมฝีปากแน่น

ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่ลง ฉายแววเยือกเย็นปรากฏ

ไท่สื่อเกาเอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจว่า “สำนักหมื่นอสูร ของข้าเดิมทีก็ฝึกสัตว์เป็นหลัก การควบคุมสัตว์อสูรถือเป็นกำลังสู้รบของตนเอง จุดนี้คงไม่ถือว่าละเมิดกฏใช่หรือไม่?”

มือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อของมู่ชิงเกอเปล่งแสงออกมา ขลุ่ยอสูรที่แย่งชิงมาจากมือของไท่สื่อเกาตั้งแต่ทีแรกถูก นางกำเอาไว้ในมือนางเล่นเงียบๆ ไม่ได้เอาออกมา

แต่ทว่าเมื่อนางเงยสายตาขึ้นนัยน์ตาก็ฉายแววสุขุมเยือกเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ตอนที่ปะทะกันหากเปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรประลอง ก็ลงมือสังหารไปด้วยได้เลย”

ประโยคของนางเป็นการออกคำสั่งกับองครักษ์เขี้ยวมังกร

ในเมื่อไท่สื่อเกาคิดจะเล่นตุกติกกับนาง เช่นนั้นนางก็จะสนองให้ถึงที่สุด นางจะให้ไท่สื่อเกาได้ลิ้มรสถึงความพ่ายแพ้ต่อสตรีและสูญเสียไพร่พล!

คำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหารของมู่ชิงเกอ ทำเอาไท่สื่อเกาตวัดสายตามองนางอย่างดุดัน สายตาลึกลับแลดูน่ากลัว

“นี่เป็นการละเล่นที่จักรพรรดิหยวนจัดขึ้น หากถึงกับชีวิตแม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูร ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร” เจ้าสำนักหอหลอมศาสตราโหลวเสวียนเถี่ยพ่นประโยคนี้ออกมาด้วยความเย็นยะเยือก

ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าเอ่ยออกหน้าแทนไท่สื่อเกา เวลาเดียวกันก็เป็นการตอบกลับประโยคคำสั่งที่มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเมื่อครู่

มุมปากมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มขึ้นเพียงครู่หนึ่ง เอ่ยเย้าขึ้นว่า “นายน้อยไท่สื่อเกาตั้งใจขนสัตว์อสูรออกมาถึงเพียงนี้ หากพวกข้าไม่ออกแรงกันอย่างเต็มที่ จะเป็นการดูถูกสำนักหมื่นอสูรไปหรือไม่?”

ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตามองไปที่โหลวเสวียนเถี่ย แฝงแววเสียดสีในรอยยิ้มอยู่หลายส่วน เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้ ขนาดนายน้อยไท่สื่อเกายังใจ กว้างไม่ได้โต้แย้ง เหตุใดเจ้าสำนักโหลวจะต้องออกตัวขึ้นมาด้วยเล่า? หรือว่าท่านคิดว่านายน้อยไท่สื่อเกาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน?”

“เจ้า! ข้าพูดเช่นนั้นเมื่อไรกัน?” โหลวเสวี่ยเถี่ยเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว

มู่ชิงเกอแค่นยิ้มดูแคลน

ราวกับกำลังบอกว่า แม้ว่าท่านจะไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ แต่คำพูดประโยคนั้นของท่านกลับเผยสิ่งที่ท่านเป็นกังวลในใจออกมา

“เอาล่ะ! สำนักหมื่นอสูรของข้าไม่ขาดแคลนสัตว์อสูร หากเจ้ามีความสามารถ ฆ่าได้ก็ฆ่า!” ไท่สื่อเกาเอ่ยตัดบทการโต้แย้งของทั้งคู่

พอเขาเอ่ยปาก ก็ทำให้โหลวเสวียนเถี่ยกลายเป็นเสียหน้า เขาทำเสียง หึ ขึ้นจมูกไม่ได้กล่าวอะไรอีก เฮยมู่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปลอบ “เจ้าหนุ่มนี้เจ้าเล่ห์นัก นายน้อยถูกเขายั่วยุ เจ้าสำนักโหลวอย่าได้ใส่ใจ”

มุมปากโหลวเสวียนเถี่ยกระตุก แต่สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ถือเอามาเป็นอารมณ์

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยกับเฮยมู่ว่า “เจ้าคนแซ่มู่นี่มีที่มาที่ไปอย่างไร? เป็นเพียงคนแคว้นอันดับสามเท่านั้น เหตุใดจึงมีลูกน้องที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้?”

เฮยมู่ลมหายใจสะดุด เอ่ยกับโหลวเสวียนเถี่ยว่า “คนผู้นี้แปลกประหลาดมาก หลายเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็สามารถเกิดขึ้นกับเขา”

ทั้งคู่ลอบสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งแต่ยิ่งไม่รู้ตื้นลึกของมู่ชิงเกอ ทำได้เพียงหันไปสนใจการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นชั่วคราว

หมากทั้งห้าตัวของสำนักหมื่นอสูรต่างก็มีสัตว์อสูรคอยคุ้มครอง มองแล้วพลังอันคุกคามทำให้ผู้คนเกิดความขลาดเขลา

แม้แต่คนของตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเทียนตูพอเห็นท่าทีของสำนักหมื่นอสูรก็อดไม่ได้ที่จะเรียกคืนอารมณ์ดูเรื่องสนุก ถึงอย่างไรสัตว์อสูรก็มิใช่คนหากอาละวาดขึ้นมา โดนลูกหลงจะทำอย่างไร?

แม้จะพูดว่าพวกเขาไม่สนใจสัตว์อสูตรขั้นกลาง แต่หากมาเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วถูกสัตว์อสูรทำร้ายก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี

แต่ว่า เมื่อพวกเขามองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอ กลับอดไม่ได้ที่จะฉายแววประหลาดใจอออกมาจากสายตา

ผู้ที่ควรได้รับผลกระทบที่สุด ผู้ที่ควรรับรู้ได้ถึงการคุกคามที่สุดกลับยังคงยืนด้วยท่าทีนิ่งเฉยสง่างาม ไม่ได้รับผลกระทบจากสัตว์อสูรของสำนักหมื่นอสูรเลยสักนิด ราวกับว่าสิ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาไม่ใช่สัตว์อสูรที่สามารถฆ่าหรือกินคน หากแต่เป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง อาการสงบนิ่งของพวกเขา กลับยิ่งแสดงให้เห็นว่าฝั่ง สำนักอสูรโหดเหี้ยม ดุดันเกินไป ทำให้สีหน้าของไท่สื่อเกาเคร่งขรึมไม่ชวนมอง ความเยือกเย็นในแววตาก็ลดลงหลายส่วน

ตามจริงแล้วต้องให้ผู้ถูกท้าเป็นผู้เดินหมากเปิดฉากก่อน แต่ไม่รู้เป็นเพราะไท่สื่อเกาไม่ทราบหรือว่าโกรธจัด ถึงได้แย่งเดินหมากของฟงอวี๋เฟย เอ่ยขึ้นมาว่า “เบี้ยห้าเข้าไปใกล้เบี้ยสาม ฆ่าเขา!”

โฮก!

เมื่อสิ้นเสียงไท่สื่อเกา ลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเบี้ยห้า ตามด้วยสัตว์อสูรของเขาพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่ชี้บ่ง หมายจะสังหารองครักษ์เขี้ยวมังกร ฟ่งอวี๋เฟยขมวดคิ้วทั้งสองข้างเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มตาขึ้นว่า “ทำลาย! ทักษะสงครามมีดหมื่นบุปผา!’’

ปากกว้างของสัตว์อสูรก็ได้มาถึงส่วนหัวขององครักษ์เขี้ยวมังกรแล้ว เขาเงยสายตาดุดัน แววตาเยือกเย็นไม่มีวี่แววอาการลนลานพลิกสองมือออกกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น กลีบดอกไม้แหลมคมนับไม่ถ้วนก็เบ่งบานอยู่ตรงหน้าเขา ความแหลมคมของกลีบดอกไม้นั้นราวกับคมมีดสีเงินหมุนวนเวียนและพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรที่โจมตีลงมา

“มีดหมื่นบุปผา!” จ้าวหนานซิงสูดลมหายใจเข้าปอด อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ฟงอวี๋เฟยช่างลงมือได้เฉียบขาดดีแท้!”

มู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ส่งสายตาเผยความชื่นชม แน่นอนว่าความชื่นชมนี้ไม่ได้มีต่อองครักษ์เขี้ยวมังกรแต่มีให้ฟ่งอวี๋เฟย นางสามารถสั่งการให้องครักษ์เขี้ยวมังกรใช้มีดหมื่นบุปผาได้ด้วยอาการสงบนิ่ง ใช้การจู่โจมเป็นการป้องกัน เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาทีเดียว

“ทักษะสงครามร้ายกาจ!” เจียงหลีอุทานขึ้นมาหนึ่งประโยค

ตอนที่นางเอ่ยประโยคนี้ มีดหมื่นบุปผาก็สับกรงเล็บของสัตว์อสูรที่กางลงมา เลือดและเนื้อสาดกระเซ็นลงเต็มพื้น ทำให้มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน

“กำปั้นพิฆาตราชาเทวะ! ฆ่า!” ไม่รอให้ลูกศิษย์สำนักหมื่นอสูรได้หายใจ ฟ่งอวี๋เฟยก็ออกคำสั่งต่อไป

ไอทักษะสงครามบนร่างขององครักษ์เขี้ยวมังกรพลันแปรเปลี่ยน ร่างสูงตระหง่านราวกับภูเขาใหญ่ ง้างกำปั้นขึ้นมา กำปั้นเปล่งประกายเงาแสงระยิบระยับ ราวกับว่าแฝงอำนาจแห่งสายฟ้ารวมกับความเหี้ยมโหดในการ สังหารเซียนสังหารเทพ นำพาเรี่ยวแรงมหึมามหาศาลพุ่งใส่ลูกศิษย์สำนักหอหมื่นอสูรรวมถึงสัตว์อสูรของเขา

ลูกศิษย์สำนักหมื่นอสูรและสัตว์อสูรของเขาถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทอง

ตามมาด้วยเสียงระเบิดกึกก้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

พาให้ผ้าปูโต๊ะตัวหน้าสุดและผ้าม่านที่ประดับบนเสาสีทองกระเพื่อมพลิ้วไหว

กระบวนท่านี้ พลังอำนาจรุนแรง ทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงตกอยู่ในความเงียบ

หลังจากรอคอยให้แสงสีทองจางหายไป พบว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เป็นผู้ลงมือยังยืนอยู่ที่เดิม คุกเข่าข้างหนึ่ง มือข้างขวากำหมัดตั้งฉากกับพื้นในกำปั้นของเขา ปรากฏแผ่นหยกที่แตกร้าว ด้านบนเต็มไปด้วยรอยแยก

ส่วนข้างหน้าเขานั้น เหลือเพียงกองเลือดที่แยกไม่ออกระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร

ไท่สื่อเกาเบิกตาโพล่งด้วยอาการตกตะลึง ไอความโหดเหี้ยมแผ่ไปทั่วร่าง “ตํ่าช้า! เจ้า…”

“เบี้ยห้าข้ามสามกระโดดหนึ่ง ภูติราตรีสังหาร ดัชนีดับหงส์ ฆ่า ฆ่า ฆ่า!” ฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยขัดคำพูดของเขา โจมตีรวดเร็วฉับไวดุจพายุฝนฟ้าคะนอง

องครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ตำแหน่งเบี้ยห้าไม่ได้รอช้าแม้สักนิด จัดการลูกศิษย์สำนักหมื่นอสูรและสัตว์อสูรของเขา ด้วยพลังความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

เฉกเช่นเดียวกัน เหลือเพียงกองเลือดบริเวณหนึ่งบนพื้น เพียงพริบตาเดียวฝ่ายสำนักหมื่นอสูรก็ตายไปสองคน กับสัตว์อสูรอีกสองตัว

ท่าทีเหนือกว่าที่ทุกคนเห็นก่อนหน้านี้ กลับไม่ปรากฏให้เห็นในตอนนี้เลย สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือพลังการต่อสู้อันเฉียบขาดพาให้ตกตะลึงขององครักษ์เขี้ยวมังกร และการตอบโต้โจมตีอันรวดเร็วเด็ดขาดของฟ่งอวี๋เฟย

ไท่สื่อเกาโกรธจนดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขามองมายังฟ่งอวี๋เฟย ทันใดนั้นก็ถลาพุ่งเข้ามากลางอากาศกางกรงเล็บแหลมคมหมายจะลอบโจมตีฟ่งอวี๋เฟย “ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version