ตอนที่ 178-2
ดอกท้อมาเสนอตัวเอง!
เมื่อประมุขตระกูลฮวากลับไปถึงบ้านตระกูลฮวาแล้ว ฮวาฉินฉินก็มองที่นางอย่างคาดหวัง
นางมองใบหน้าที่คาดหวังของบุตรสาวแล้ว ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ฉินฉิน ต่อไปก็อย่าได้คิดถึงคุณชายมู่อีกเลย เขาไม่ใช่คู่ของเจ้า”
รอยยิ้มของฮวาฉินฉินแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ใบหน้าที่ตกแต่งเป็นอย่างดีเกิดรอยร้าว
ความคาดหวังในสายตาของนางถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวายใจรีบเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใด? หรือว่าเขาปฏิเสธ?”
ประมุขตระกูลฮวาดื่มชาแล้วค่อยพยักหน้า “เขาก็ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์บอกว่าตนเองเคยแต่งงานแล้ว เพียงแต่ภรรยาเสียชีวิต ตอนนี้เขากับฮ่องเต้หญิงเจียงชอบพอกัน ไม่ยินยอมคิดเรื่องมากความอีก”
“ข้าสามารถใช้สามีร่วมกันกับฮ่องเต้หญิงเจียงได้!” ฮวาฉินฉินเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
นางไม่เข้าใจ รูปลักษณ์ของตัวเองก็ถือว่าไม่ด้อย จากเล็กก็เล่าเรียนฝึกฝนในบ้านตระกูลฮวา ในบุตรสาวของตระกูลฮวาในรุ่นนั้นนางเป็นหญิงที่ผู้ชายอยากจะแต่งงานด้วยมากที่สุดอย่างแน่นอน แต่ว่าคนที่นางหมายตา กลับไม่มีใจให้นาง แม้ว่านางจะยอมอัปยศใช้สามีร่วมกับหญิงอื่น เขาก็ยังปฏิเสธ
“ท่านแม่ หรือว่าท่านไม่ได้เอ่ยกับเขาอย่างชัดเจนถึงความต้องการของข้า?” ฮวาฉินฉินไต่ถาม
ประมุขตระกูลฮวามองนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “เหตุใดจะไม่ชัดเจน? เพื่อเจ้าแล้ว แม้แต่ใบหน้านี้ข้าก็ไม่ต้องการแล้ว แต่เป็นเพราะเขายังคงปฏิเสธเช่นเดิม”
“เป็นเพราะฮ่องเต้หญิงเจียงผู้นั้นใช่ไหม?” แสงสว่างในตาของฮวาฉินฉินมืดมนลง
ประมุขตระกูลฮวามองอะไรได้กว้างไกลและชัดเจนกว่ามาก นางเอ่ยกับบุตรสาวว่า “เรื่องของความรัก ใครก็พูดว่าเพราะเหตุใดไม่ได้ ถึงแม้ว่าคุณชายมู่จะโดดเด่นแค่ไหน หากว่าเขาไม่มีใจให้เจ้า ข้าก็จะไม่ให้เจ้าแต่งงานกับเขาอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว”
คิดแล้วคิดอีก นางก็เอ่ยปลอบฮวาฉินฉินอีกครั้ง “ฉินฉิน เจ้าจะต้องจำคำพูดของแม่ให้ดี สามีที่บุตรสาวตระกูลฮวาของพวกเราจะเลือก จะต้องรักเจ้ามากกว่าที่เจ้ารักเขา ถึงจะได้รับความสุข คุณชายมู่ไม่มีความรู้สึกนั้นกับเจ้า เจ้าก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
“ไม่! ท่านแม่!” ฮวาฉินฉินดื้อดึงขึ้นมา “ข้ากับเขาเพียงพบกันแค่ครั้งเดียว เขาไม่ชอบข้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากว่าพวกเรารู้จักกันนานขึ้น เขาจะต้องไม่ปฏิเสธข้าอย่างแน่นอน”
‘แต่ว่า ถึงแม้ว่าคุณชายมู่ใกล้ชิดกับเจ้าแล้ว ฮ่องเต้หญิงเจียงจอมเผด็จการผู้นั้นก็ยังไม่ชอบเจ้าอยู่ดี! บางครั้ง การช้าเพียงแค่ก้าวเดียวก็คือสายไปแล้วทั้งชีวิต’ ประมุขตระกูลฮวาคิดอยากจะพูดประโยคนี้มาก แต่ว่า เมื่อมองเห็นท่าทางที่แข็งกร้าวของบุตรสาวแล้ว ก็กลับกลืนคำพูดลงไป
“จะต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมแพ้?” ในที่สุด ประมุขตระกูลฮวาก็ตกลงที่จะประนีประนอม
ฮวาฉินฉินกัดริมฝีปาก มองมารดาอย่างตั้งใจแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านให้เวลาแก่ข้าสักหน่อย คุณชายมู่ยังต้องอยู่เทียนตูไปสักระยะหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ข้าจะตั้งใจ แสดงความสามารถของตนเอง หากว่าตอนที่เขาจะจากไป เขาก็ยังไม่มีใจให้ข้า ข้าก็จะฟังคำพูดของท่าน ไม่คิดมากอีกต่อไป”
“เจ้าจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? คุณชายมู่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับเจ้า หากว่าเจ้ายังจะดื้อดึง ก็จะเป็นการลดตัวเองไปมิใช่หรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัวพันเช่นนั้น มีแต่จะทำให้ผู้ชายไม่ชอบมากยิ่งขึ้น” ประมุขตระกูลฮวาขมวดคิ้ว ไม่เห็นด้วย
“ข้าจะไม่ทำให้มันแย่ลง!” ฮวาฉินฉินรีบร้อนเอ่ย “ข้าแค่จะใช้บางโอกาสทำให้เขามองเห็นข้า รู้จักข้า ข้าจะไม่ทำตัวยุ่งวุ่นวาย ท่านแม่ ท่านเตือนพวกข้าอยู่เสมอว่าหากพบคนที่ชอบก็ต้องสารภาพรักไปอย่างกล้าหาญ อย่าพลาดพรหมลิขิตไปเพราะความเขินอาย ข้าในตอนนี้ก็กำลังทำตามคำที่ท่านพูด หรือว่าท่านจะไม่สนับสนุนข้า?”
ประมุขตระกูลฮวาได้ฟังก็ชะงักไป ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยเห็นบุตรสาวของนางเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน
ภายใต้สายตาขอร้องให้ช่วยเหลือของบุตรสาว ในที่สุดนางก็ยอม “อา เอาละ เจ้าคิดจะทำอย่างไรก็ไปทำ แต่ว่าอย่าได้ทำให้ตระกูลฮวาของเราต้องอับอายขายหน้าเป็นอันขาด และก็ต้องให้สัญญากับข้าว่า หากคุณชายมู่ยังไม่มีใจแก่เจ้า เจ้าก็จะต้องไม่หาข้อแก้ตัวมาหลอกตัวเองอีก ต้องลืมเขา ผู้ชายที่ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องไปสูญเลียความรู้สึกให้!”
“ขอบคุณท่านแม่!” ฮวาฉินฉินเอ่ยอย่างยินดี
จากฟ้าแจ้งต่อแถวจนค่ำมืด ในที่สุดจ้าวหนานซิงก็สามารถเข้าไปในประตูใหญ่ของร้านที่เจียงหลีพูดถึงได้
เขารีบจองโต๊ะสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ในใจของจ้าวหนานซิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สั่งให้องครักษ์ที่ติดตามมากลับไปเรือนรับรองเพื่อเรียกมู่ชิงเกอกับเจียงหลีแล้วก็ฟ่งอวี๋เฟยมา
เพียงครู่เดียว ผู้หญิงสามคนก็นั่งรถม้ามา
หลังจากทานอาหารอย่างอิ่มหนำแล้ว มู่ชิงเกอถึงเอ่ยถามว่า “ใช่แล้ว วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เจียงหลีเหลือบมองนาง หลังจากเอาผ้าคลุมหน้าที่เปิดขึ้นตอนกินข้าวลงแล้ว ถึงเอ่ยว่า “ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว ถึงได้คิดจะถามข้าถึงเรื่องนั้นอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของมู่ชิงเกอฉายแววทำตัวไม่ถูกแวบหนึ่ง หลังนางกลับถึงห้องแล้วก็บอกให้เจียงหลีทำตัวตามสบาย จากนั้นก็นอนต่อ ตอนที่จ้าวหนานซิงส่งคนมาเรียกพวกนางนั้นถึงได้ตื่นขึ้นมา ตลอดเส้นทางมาก็มึนๆงงๆจนกระทั่งกินอิ่มแล้ว นางถึงได้มีสติแจ่มใสขึ้นมา
“ข้ามา หนึ่งก็เพราะเบื่อจะมาเล่นกับเจ้า สองก็คือจะบอกเจ้าว่า เจ้าไท่สื่อเกาคนนั้นตื่นแล้ว และก็ไม่รู้ว่าสำนักหมื่นอสูรของพวกเขาซื้อยาจากโรงโอสถของพวก เจ้าไปเท่าไหร่ ได้รับบาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้นกลับสามารถฟื้นตัวได้เร็วเพียงนี้ สามก็คือเจ้าเฒ่าของหอหลอมศาสตราคนนั้น วันนี้ตอนเช้าก็ไปที่เรือนรับรอง ของสำนักหมื่นอสูรใช้เวลานานมากถึงได้ออกมา หากบอกว่าเขาไปดูว่าไท่สื่อเกาตายหรือยัง ข้าก็ไม่เชื่อ!” เจียงหลีเอ่ยข่าวสารในวันนี้ออกมา
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
ในข่าวสารที่เจียงหลีนำมาเผยเรื่องราวเล็กน้อยว่าหอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรน่าจะได้ตกลงกันเป็นการส่วนตัวแล้วว่าจะร่วมมือกันต่อกรกับนาง
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” เจียงหลีเอ่ยถาม
นํ้าเสียงของนางฟังดูสบาย ๆ แต่ความเป็นห่วงที่เผยออกมานั้นเป็นของจริง
มู่ชิงเกอยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ทำอะไร ยังเป็นประโยคเดิม ปัญหามาแล้วค่อยแก้”
“หอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรสองกลุ่มกำลังร่วมมือกันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” เจียงหลีเอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก
นางเคยได้ประสบมาแล้ว ยังไม่ใช่ว่าเหมือนเดิมวิ่งจากแคว้นหรงไปที่แคว้นกู่วู่มิใช่หรือ?
อยู่ในสถานที่ของพวกเขา นางมีเพียงแค่คนเดียว ก็ยังสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัย อีกอย่างที่นี่คืออาณาจักรเซิ่งหยวน พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้หยิ่งผยองจนเกินไป อีกอย่าง ข้างกายนางยังมีองครักษ์เขี้ยวมังกรกับกองทหารพันเพลิง ครั้งนี้หอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรต้องการจะเอาชีวิตของนางก็ไม่ง่ายแล้ว
เจียงหลีมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างหมดหนทางว่า “เอาเถอะ เพียงแต่หากต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องเกรงใจกับข้าแล้วกัน”
คำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ฟ่งอวี๋เฟยกับจ้าวหนานซิงที่ก่อนหน้านี้ออกไปข้างนอกก็ผลักประตูเดินตามกันเข้ามาข้างใน
“กินอิ่มหรือยัง?” จ้าวหนานซิงถาม
เจียงหลีพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อิ่มแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรากลับเลยไหม?” จ้าวหนานซิงถามอีกครั้ง
พูดแล้ว ทั้งสี่คนก็ยืนขึ้น เก็บของติดตัว ก่อนจะออกจากร้านอาหารไป
บนถนน คึกคักเป็นอย่างยิ่ง คึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวันที่ผ่านมาเสียอีก พวกเขาก็เลยเดินไปรอบ ๆ เพลิดเพลินไปกับตลาดยามคํ่าคืนของเทียนตู
ไม่นานก็รู้สึกเหมือนกับว่ากลุ่มคนจะคึกคักขึ้นมา “รีบไปดูเร็ว สาวงามอันคับหนึ่งของตระกูลหลานมาแล้ว! ”
“ไป ไป ไป สามารถพบเจอคุณหนูเฟยเยว่สักครั้ง ชีวิตนี้ข้าก็ตายตาหลับแล้ว!”
“ตามปกติ คุณหนูเฟยเยว่จะออกมาปรากฏตัวน้อยมาก คืนนี้กลับออกมาแล้ว หากไม่อาศัยโอกาสนี้ รอให้คุณหนูเฟยเยว่ขึ้นไปอยู่ตำหนักหลีกง เกรงว่าคงจะไม่สามารถพบเจอได้อีกแล้ว”
เสียงพูดคุยรอบด้านลอยมาเข้าหูของคนทั้งสี่
ประชาชนรอบทิศก็พยายามเบียดกันเข้าไปยังถนนข้างหน้า
ไม่นาน บนถนนเส้นนั้นจึงเหลือแค่เพียงพวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่ บนถนนที่เดิมเคยคึกคักกลายเป็นว่างเปล่าไร้คน ทั้งหมดล้วนแต่ไปที่กลางถนนสายข้างหน้า
จ้าวหนานซิงหันมองซ้ายขวา ตกตะลึงและกล่าวว่า “ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
ฟ่งอวี๋เฟยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อคืนวานภายในงานเลี้ยงในวังนางก็ลอบมองเห็นคุณหนูของตระกูลหลานคนนั้น เป็นคนสวยที่หาได้ยากจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่เหล่าประชาชนจะแสดงออกมาขนาดนี้
หากว่าเทียบความงาม ฟ่งอวี๋เฟยคีดว่าคุณหนูตระกูลหลานคนนั้น เกรงว่าคงไม่อาจเทียบกับฮ่องเต้หญิงเจียงข้างๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความลึกลับได้ แน่นอน หากว่าไม่นับเพศ เทียบแค่หน้าตาแล้วละก็ ก็ต้องเป็นคุณชายของพวก เขาที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
“เชอะ คลุมหน้าทั้งวัน ใครจะไปรู้ว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นงดงามหรือว่าขี้เหร่? ทำเป็นลึกลับ” เจียงหลีสบถออกมา
มู่ชิงเกอเก็บสายตากลับ มองผ้าคลุมหน้าสีทองที่นางสวมแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น
เจียงหลีรีบยืดกายขึ้น เชิดคางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้างดงามหรือว่าขึ้เหร่ เจ้าก็เคยเห็นด้วยตาของตนเองแล้ว”
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็พยักหน้า เอ่ยกับทุกคนว่า “ไปเถอะ”
ผู้หญิงคนนั้นของตระกูลหลานอยากจะทำอะไร นางไม่ได้สนใจ เดิมทีก็แค่เพียงเพราะได้ยินว่านางชื่นชมซือมั่ว ถึงได้ลอบมองพิจารณาบ้าง
ลักษณะภายนอกของคน ๆ หนึ่ง ไม่ได้แสดงออกถึงอะไร ถึงแม้ว่าหลานเฟยเยว่จะงดงามแค่ไหนแล้วจะอย่างไร? พวกเขาเริ่มเดินต่ออย่างช้า ๆ ไม่ได้สนใจกับถนนหลักที่ดูคึกคัก เพียงแต่ว่า เรือนรับรองที่พวกเขาต้องกลับไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจียงหลี หรือว่าพวกมู่ชิงเกอ ก็ล้วนต้องผ่านทางสายหลักเส้นนั้น
เดินครู่หนึ่ง เสียงที่อัดแน่นอยู่ตรงหน้าก็ลอยเข้ามา
“อา อย่าเบียดสิ!”
“เจ้าที่อยู่ข้างหน้าบังข้าแล้ว ย่อลงหน่อย”
“ข้าย่อแล้ว ยังจะได้ดูอะไรอีก? มองไม่เห็นหรือว่าข้างหน้าของข้าก็เต็มไปด้วยทะเลผู้คน? เกิดมาเตี้ยก็อย่าได้ออกมาดูความคึกคักสิ!”
“นี่ เจ้ามาด่าคนอื่นได้อย่างไร?”
“ใครด่าคนกัน? หูข้างไหนของเจ้าได้ยินว่าข้าด่าคน? หากพูดจาเหลวไหลอีก ระวังข้าจะฟ้องร้องเจ้า!”
“อืม! สุภาพบุรุษไม่ยืนอยู่ใต้กำแพง!”
“ไอหยา เหยียบเท้าข้าแล้ว!”
“หลีกไป ๆ คุณชายบ้านข้าจะผ่าน!”
“คุณชายบ้านเจ้าเป็นใครกัน? ไปเล่นข้าง ๆไป๊—!”
“ไอหยา ใครลูบก้นข้า?”
“ไอหยา! ใครขโมยกำไลของข้าไป?” เสียงต่างๆ นานา ดังเข้ามาในหูของมู่ชิงเกอและคนอื่น ๆ การเบียดเสียดด้านหน้า ทำให้พวกเขาท้อแท้
จ้าวหนานซิงกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ประชาชนของเทียนตู ช่าง กระตือรือร้นเกินไปจริง ๆ!”
เดิมเขา คิดจะพูดว่า ‘ช่างน่าเบื่อจริง ๆ’ แต่ว่าก็กลัวจะทำให้ทุกคนโกรธ ถูกประชาชนของเทียนตูฟ้องร้อง ดังนั้นจึงเก็บคำพูดไว้ที่ปลายลิ้นชั่วครู่แล้วเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘กระตือรือร้น’ แทน
เจียงหลีสบถด้วยสีหน้าที่ดูรังเกียจว่า “กลุ่มของพวกซาลาเปาใต้ดินที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง” คนงามที่แท้จริงอยู่ที่นี่! นางมองไปที่มู่ชิงเกอแล้วก็กะพริบตาถี่ๆ
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง มู่ชิงเกอก็หันกลับไปมองนางแล้วเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป?” พูดแล้วก็ยังยกมือขึ้น ลูบ ๆ แก้มของตนเอง
เจียงหลีส่ายหัวแล้วถอนหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย
หากว่ามู่ชิงเกอยอมเปลี่ยนเป็นผู้หญิง นางกล้าที่จะใช้ชื่อเสียงของนางรับประกันเลยว่าต้องงดงามยิ่งกว่าคุณหนูหลานเฟยเยว่อะไรนั้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า ถึงตอนนั้น คนที่จะถูกไล่ตาม ก็จะไม่ใช่หลานเฟยเยว่ แต่จะเป็นมู่ชิงเกอ