ตอนที่ 178-3
ดอกท้อมาเสนอตัวเอง!
“คนเบียดกันถึงขนาดนี้พวกเราจะกลับไปได้อย่างไร?” ฟ่งอวี๋เฟยมองไปยังฝูงชนที่เบียดกันจนแม้กระทงแมลงวันก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยออกมา
“รอหลานเฟยเยว่ผ่านไปแล้ว กลุ่มคนก็คงแยกย้าย” มู่ชิงเกอเอ่ย
“ปัญหาก็คือใครจะรู้ว่านางจะเดินชมตลาดเสร็จตอนไหน?” เจียงหลีเอ่ย
ขณะที่พูด รถม้าที่มีผ้าคลุมรอบๆ ก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในสายตาของพวกเขา…
“อา! คุณหนูหลานมาแล้ว!”
“เป็นคุณหนูหลานจริงๆ ช่างสวยงามเหลือเกิน! งดงามมาก!”
“ไม่เสียทีที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนตูของพวกเรา! ”
“สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนตูอะไรกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของหลินชวน!”
เสียงของการสรรเสริญไม่มีที่สิ้นสุดและเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ
หลานเฟยเยว่นิ่งอยู่ภายในรถม้า สวมชุดสีนํ้าเงินและบนใบหน้ามีผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันเช่นเดิม ปิดบังใบหน้าสองในสามของนาง ผมสีดำขลับลื่นสลวย ด้านบนก็ติดเครื่องประดับติดผมที่สื่อถึงความใจกว้างและทันสมัย ใช้ปิ่นหยกปักไว้ บนร่างของนางหาสีทองเงินไม่เจอเลย ดูแล้วสดชื่นสบายตา
เสียงของการสรรเสริญนอกรถม้าดังเข้ามาในหูของนางไม่หยุด แต่นางกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ มองไปข้างหน้าต่อ ดวงตาดูสดใสและไม่แยแส
ราวกับว่านางเป็นเซียนที่มาจากสวรรค์ไม่เข้ากับคนธรรมดาที่อยู่รอบ ๆ
“คณหนูหลาน ท่านงดงามมาก!”
“คุณหนูหลานเหตุใดท่านจึงงดงามขนาดนี้? แย่แล้ว ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว!”
“คุณหนูหลาน วันนี้ได้พบหน้าท่าน ข้าก็ไม่อาจจะมีความรักได้อีกชั่วชีวิตแล้ว!”
“พรืด!” เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางพยายามข่มกลั้น ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ารับไม่ได้แล้วจริง ๆ เหตุใดคนเหล่านี้ถึงได้ใช้นํ้าเสียงที่ดูจริงจังเช่นนี้ พูดคำที่ดูฝืนใจขนาดนี้ออกมา? เห็นได้ชัดว่าหลานเฟยเยว่คลุมหน้าอยู่ มองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด ก็ยกยอเสียนางขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ที่แท้ชื่อเสียงสาวงามอันดับหนึ่งของเทียนตูของนางก็ได้มาอย่างนี้นี่เอง!”
“เจ้าอยากโดนรุม ข้าไม่ขอเล่นด้วย” มู่ชิงเกอเอ่ยไปประโยคหนึ่ง
เจียงหลีจ้องมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยออกมา “ช่างตายด้าน ไร้เยื่อใยนัก!”
“ข้าสนใจแค่เพียงว่าเมื่อไหร่นางถึงจะชมถนนสายนี้เสร็จเท่านั้น” ฟ่งอวี๋เฟยขมวดคิ้วแน่นขึ้น
รถม้าของหลานเฟยเยว่ตั้งแต่ปรากฏจนถึงตอนนี้ก็เกือบจะได้หนึ่งเค่อแล้ว แต่ก็ยังขยับไปได้ไม่มาก ปากทางนี้ เดิมทีสามารถเดินเสร็จภายในไม่กี่ช่วงลมหายใจ แต่ว่า ตอนนี้กลับถูกนางทำให้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
เจียงหลียิ้มๆ แล้วเอ่ย “มองไม่ออกหรือว่าคนเขาตั้งใจอย่างนั้น? อาศัยเพียงแค่กำลังองครักษ์ของตระกูลหลาน คิดจะเปิดทางมีอะไรยากกัน? เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงหลอกลวงคนนี้ชอบได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น โดยจงใจแกล้งทำเป็นว่าออกไปไม่ได้”
จ้าวหนานซิงเอ่ยอย่างสงสัย “ข้ามองนัยน์ตาของนางก็ดูสงบมาก ดูไม่เหมือนว่าชื่นชอบ”
เจียงหลีกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ดังนั้นจึงพูดได้ว่า พวกเจ้าเหล่าผู้ชายถึงได้ถูกผู้หญิงหลอกได้ง่าย ไม่เคยเข้าใจจิตใจของผู้หญิงเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าบนใบหน้าของนางจะไม่แสดงออก แต่ข้าก็กล้ารับประกันว่าภายในใจของนางนั้นต้องมีความสุขเป็นอย่างมาก”
จ้าวหนานซิงถูกนางเอ่ยจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงแต่ส่งสายตาคับแค้นใจไปให้มู่ชิงเกอเท่านั้น
ส่วนมู่ชิงเกอก็กลับแสดงความรู้สึกว่าไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ออกมา
รออีกครู่หนึ่ง ในที่สุดรถม้าของหลานเฟยเยว่ก็เคลื่อนไปข้างหน้าหลายก้าว หากรวมอีกหลาย ๆก้าวก็สามารถเดินผ่านปากทางไปได้แล้ว พวกมู่ชิงเกอก็สามารถจากไปได้อย่างสบาย
แต่ว่า ทันใดนั้นนางก็หยุดลง ค่อยๆ หันดวงตาที่ดูไม่แยแส มองไปทางพวกมู่ชิงเกอ
ความเคลื่อนไหวของนางแน่นอนว่าจะต้องถูกเหล่าผู้หลงใหลของนางมองเห็น
ดูเหมือนจะไม่มีข้อยกเว้นทุกคนหันศีรษะและมองไปตามสายตาของนาง
การมองในครั้งนี้ถึงได้พบว่า ด้านหลังของพวกเขา บนถนนที่โล่ง กลับมีคนสี่คนที่ดูโดดเด่นยืนอยู่
คนอื่นไม่ต้องพูดมาก เพียงแค่ชายที่สวมชุดสีแดงสดคนนั้นคนเดียว ใบหน้าที่งดงามขนาดนั้นก็ทำให้ฝูงคนชะงัก เสียงวุ่นวายรอบด้านกลายเป็นเงียบสงัด ‘นี่เป็นคุณชายของตระกูลไหนกัน? ช่าง…’
ในขณะที่ตกตะลึง พวกเขาค้นพบว่าความสามารถในการบรรยายลักษณะของตนเองหายไป พวกเขาพยายามค้นหาคำพูดที่สวยงามทั้งหมดในสมองของพวกเขาไปรอบหนึ่งแล้วก็รู้สึกตกใจที่พบว่าพวกเขาไม่สามารถหาคำศัพท์ที่เหมาะสมเพื่ออธิบายลักษณะของคุณชายชุดสีแดงได้เลย
หา…ถูกพบเข้าแล้วรึ? นี่เป็นความคิดแรกของมู่ชิงเกอ เพื่อมารยาทแล้วนางก็ยิ้มบาง ๆ มองไปที่หลานเฟยเยว่เป็นการทักทาย
การยิ้มของนางในครั้งนี้ เกิดเสียงสูดหายใจในหมู่คนขึ้นเป็นระลอก ๆ มีหญิงสาวไม่น้อยที่ดีใจจนสลบไป
“ไปเถอะ” ใครจะรู้หลานเฟยเยว่กลับขมวดคิ้ว ถอนสายตากลับ สั่งการคนขับรถม้า
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปอีกครั้ง ออกไปจากกลุ่มคน ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอในสายตาของนางเป็นดุจดั่งมดปลวก
“หยิ่งอะไรกันขนาดนี้?” เจียงหลีสบถอย่างดูแคลนไปคำหนึ่ง
“พวกเราไปเถอะ” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่สนใจ เอ่ยกับพวกเขา
แต่ทว่า นางเพิ่งจะขยับ ก็พบว่าถนนตรงหน้าไม่ได้เป็นเพราะว่าหลานเฟยเยว่จากไปกลายเป็นโล่ง แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเขาทั้งสี่คนถูกรายล้อมไปด้วยฝูงคน
“หา…” มู่ชิงเกอตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เจียงหลีปลายตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “พลังเสน่ห์ของคุณชายมู่ไม่ธรรมดาจริงๆ! ขอยืมใช้รูปโฉมของเจ้าเปิดทางให้พวกเราได้กลับเรือนรับรองจะได้ไหม”
ในนํ้าเสียงนั้นแสดงอาการเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด
มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะมองนาง ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ย “ข้า ไม่ถือสาที่จะช่วยเจ้าดึงผ้าคลุมหน้าลง”
เจียงหลีจ้องกลับและขบฟันเอ่ย “เจ้ากล้าขู่ข้ารึ!”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ “ข้าแค่เพียงจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ทุกคนได้ชื่นชมก็เท่านั้น
นางกล้ารับประกันว่า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลึกลับและทรงเสน่ห์ของเจียงหลีนั้นจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ด้อยไปกว่านางอย่างแน่นอน
“อะแฮ่ม รบกวนหน่อย ขอให้ทุกท่านเปิดทางด้วย พวก เราต้องการจะกลับแล้ว”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังโต้แย้งกัน จ้าวหนานซิงก็เดินออกมา พกใบหน้าที่เติมไปด้วยรอยยิ้มเหมือนดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิหันหน้าเข้าหากลุ่มคนของเทียนตู เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กลุ่มคนที่เบียดเสียดกัน ก็ถอยหลังออกไปสองฝั่งหนึ่งก้าว ทิ้งช่องว่างไว้ตรงกลาง
แต่ว่า…
จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างขมขื่นมองไปที่ช่องว่างที่กว้างเพียงไม่กี่นิ้วแล้วก็ไม่อาจไม่เอ่ยได้ว่า “สามารถถอยออกไปอีกได้หรือไม่?”
เป็นผลให้ฝูงชนทั้งสองฝั่ง ถอยไปด้านหลังอีกครั้ง
ถนนถูกลากให้กว้างขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอให้คนหนึ่งคนผ่านไปได้
“สามารถถอยไป…”
จ้าวหนานซิงยังพูดไม่จบก็ถูกมู่ชิงเกอลากไปอีกทาง
มู่ชิงเกอเดินไปท่ามกลางฝูงคนด้วยใบหน้าที่ดูเยียบเย็น
นางก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าอย่างมั่นคงไม่ลังเล พลังกดดันแผ่ออกไปรอบกายของนาง ทางที่นางผ่าน ฝูงชนก็ค่อยๆ ถอยหลังไป เผยเป็นทางกว้างใหญ่ให้นางได้เดิน
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้จ้าวหนานซิงมองเห็นแล้วก็อ้าปากค้าง ในใจเกิดความเลื่อมใสนับถือ
ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงในการกระทำของมู่ชิงเกอ เจียงหลีก็ถีบเขาไปหนึ่งครั้งแล้วตะโกนว่า “ยังไม่ไปอีก!”
จ้าวหนานซิงได้สติขึ้นมา รีบไล่ตามไป
ภายใต้การนำของมู่ชิงเกอ กลุ่มคนก็ได้เดินผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว หายไปจากสายตาของฝูงผู้คนในเทียนตู
“เก่งกาจยิ่งนัก! เมื่อครู่ข้ารู้สึกถึงว่ามีพายุไร้รูปพัดผ่านข้าไป บีบให้ข้าจำต้องถอยหลัง”
“ข้าก็เช่นกัน!”
“ข้าก็เช่นกัน!”
“นั่นเป็นคุณชายของตระกูลไหนกัน? เทียนตูของพวกเราปรากฏคนชั้นหนึ่งเช่นนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไปก็ไม่รู้เลยว่า มีการอภิปรายที่ ร้อนแรงเกิดขึ้นรอบตัวนาง
ส่วนภายในกลุ่มคน มีหนึ่งคนที่ถอยตัวหายไป
ไม่นาน ก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ารถม้าของหลานเฟยเยว่ รายงานเรื่องราวภายหลังทั้งหมด
เมื่อรายงานเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้ามองหลานเฟยเยว่ เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใดคุณหนูถึงได้เกิดสนใจเขาขึ้นมา?”
ดวงตาสดใสของหลานเฟยเยว่หรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข่าวภายในวังกระจายออกมาว่า เมื่อคืนวานเจ้าบ้าตระกูลเฉินบุกเข้าไปในวังแล้วต่อสู้กับเขา ดูเหมือนว่าจะเสมอกัน”
อะไรนะ!
นัยน์ตาของผู้ที่มารายงานหดตัวลง มองหลานเฟยเยว่อย่างตกตะลึง
เฉินปี้เฉิงเป็นใคร เขาไม่อาจไม่รู้จัก ส่วนระดับพลังของเฉินปี้เฉิงเป็นอย่างไรนั้น เขาก็รู้ดี อย่างน้อยหากตนเองต่อสู้กับเขาก็คงไม่เกินสิบกระบวนท่า หรือว่าคุณชายที่มาจากแคว้นระดับสามผู้นั้นจะเก่งกาจเช่นเดียวกันกับ เฉินปี้เฉิง?
“ไปเถอะ กลับจวน” หลานเฟยเยว่ออกคำสั่ง
คืนนั้นนางตั้งใจออกมาก็เพราะได้ยินว่าพวกมู่ชิงเกอทานข้าวอยู่ข้างนอก นางมาดูว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นหรือไม่ นางไม่ถือสาให้เขาเข้าไปสู่ ตระกูลหลาน แล้วแนะนำเขาให้แก่มหาปราชญ์ เมื่อคิดถึงชายผู้นั้น นัยน์ตาสดใสของหลานเฟยเยว่ก็เผยความรู้สึกอ่อนโยนออกมา
รออีกสองวัน
ในที่สุดเวลาที่นางรอคอยก็มาถึงแล้ว หลังจากสองวันให้หลัง บิดาของนางก็จะเสนอกับมหาปราชญ์เรื่องจะให้นางเข้าสู่ตำหนักหลีกง เพียงแค่นางเข้าไปในตำหนักหลีกง นางก็จะสามารถได้รับความโปรดปรานจากชายผู้นั้น นางมั่นใจในตนเอง สำหรับผู้ชายที่อยู่ใต้ผืนฟ้านี้นั้น การที่สามารถเอาสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนตูหรือว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งหลินชวนรั้งเข้าสู่อ้อมอกได้ก็จะรู้สึกดุจดั่งชนะผู้ชายทั้งหมดในโลกนี้ มหาปราชญ์ก็เป็นผู้ชาย นางไม่เชื่อหรอกว่ามหาปราชญ์ จะสามารถควบคุมความรู้สึกเช่นนี้ได้ขอเพียงแค่เขาพยักหน้าให้นางพักอยู่ในตำหนักหลีกง เพียงแค่ก้าวนี้ก้าวเดียว นางเชื่อว่าในระหว่างที่ทำความรู้จักกัน มหาปราชญ์จะต้องมีใจให้นางในที่สุด!