ตอนที่ 180-1
ทำไมเขาถึงได้รับความโปรดปรานเพียงคนเดียว?
“เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เขาเป็นของข้า!”
เจียงหลีถูกประโยคนี้ของมู่ชิงเกอทำเอาสั่นสะท้านจนตกตะลึงขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างจ้องมองไปทางนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มู่ชิงเกอเมื่อครู่พูดอะไรน่ะ?
หูของนางไม่ได้มีปัญหาไปกระมัง?ไม่ได้ฟังผิดหรือเข้าใจผิดไปใช่ไหม
ตอนนี้มู่ชิงเกอในสายตาของนางก็เหมือนกับเด็กกำลังหัดเดินคนหนึ่งที่กล่าววาจาได้ใหญ่โตราวกับว่าตัวเองกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน
มู่ชิงเกอไม่สนใจการจ้องมองและความตกตะลึงของนาง ยังคงจ้องมองไปยังเงามายาของซือมั่ว ในแววตากระจ่างใสมีที่ให้เพียงเงาสะท้อนของเขาเพียงเท่านั้น
เจียงหลีสูดลมหายใจลึกๆ อยู่หลายที กล่าวเสียงเบาว่า
‘นี่ ข้าเมื่อครู่ก็แค่ทำการเปรียบเปรยเพียงเท่านั้นเข้าใจหรือไหม? องค์มหาปราชญ์ก็ไม่ใช่การคงอยู่ที่คนธรรมดาสามัญเช่นข้าจะสามารถอาจเอื้อมถึงได้ หลานเฟยเยว่ที่ไม่รู้จักเป็นตายผู้นั้นอยากรนหาที่ตาย เจ้าก็อย่าได้ไปคิดงมงายเช่นนางเชียว?’
นัยน์ตาสีทองของเจียงหลีทอแววยำเกรง
จะต้องรู้ก่อนว่าที่มู่ชิงเกอพูดก็ไม่ใช่บอกว่าต้องการปรนนิบัติองค์มหาปราชญ์แต่เป็นบอกว่า…‘เขาเป็นของข้า’ คำกล่าวหน้าไม่อายที่ถือตนเช่นนี้ นางทำไมถึงกล่าวออกมาได้?
พอเห็นมู่ชิงเกอไม่ได้สนใจนาง เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวลใจ “เจ้าก็อย่าได้ถูกความงดงาม ความน่าหลงใหลทำให้จิตใจสับสน!”
คำกล่าวของเจียงหลีก็ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งสูงมากขึ้น
นางรู้สึกว่าถ้าตนเองยังไม่อธิบาย ไม่กล่าวอะไรอีก ก็กลัวว่าหญิงสาวนางนี้จะต้องถูกความคิดของตนทำเอาตกใจจนหัวใจวาย
ผู้ที่สามารถทำให้ฮ่องเต้เจียงแคว้นกู่วู่ที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินต้องกลายเป็นหวาดกลัวเช่นนี้ได้ ดูท่าซือมั่วองค์มหาปราชญ์ผู้นี้จะทำตามตำแหน่งหน้าที่ได้ดีนัก!
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางเปิดปาก ก็พลันได้ยินเสียงของหลานเฟยเยว่ดังเข้ามา
“มหาปราชญ์ เฟยเยว่มาแล้ว เฟยเยว่มาตามคำสัตย์แล้ว!” ถึงแม้ว่าหลานเฟยเยว่จะพยายามแอบซ่อนความตื่นเต้นในนํ้าเสียงอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ไม่ สำเร็จ
มู่ชิงเกอกลืนเอาคำพูดที่แล่นมาถึงริมฝีปากกลืนกลับลงไป นัยน์ตาทั้งสองข้างกลายเป็นเยียบเย็น สายตาจ้องมองไปทางหลานเฟยเยว่
‘ชุดสีขาวทั้งตัวนางชุดนั้นมองไปแล้วก็ดูเข้ากันกับซือมั่วเป็นอย่างมาก’
ในระหว่างที่ไม่รู้ตัว บนใบหน้าของมู่ชิงเกอก็ทาบทับไว้ด้วยความเย็นยะเยือก
“หน้าไม่อาย” เจียงหลีสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง กลายเป็นลืมคำพูดของตนเมื่อครู่ที่กล่าววาจาหน้าไม่อายออกไป
ก่อนที่นางจะหันไปกล่าวทางมู่ชิงเกอ “นางเสนอตัวออกมาเองก็ดี จะได้ให้เจ้ามองดูจุดจบของคนที่คิดอาจเอื้อมกับองค์มหาปราชญ์จะได้สติขึ้นมาบ้าง คำพูดเมื่อครู่ก็อย่าได้บอกใครอีก”
มู่ชิงเกอไม่ได้กล่าววาจา นางเพียงแค่จ้องมองไปทางเงามายาของซือมั่ว อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับการเสนอตัวของหลานเฟยเยว่
แต่ว่าซือมั่วก็เหมือนกับว่าจะหลับไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น สำหรับคำกล่าวของหลานเฟยเยว่แล้วก็ไม่มีท่าทางจะตอบกลับแม้แต่น้อย
ส่วนกู่หยากับกู่เย่ที่ยืนอยู่ซ้ายขวาด้านล่างบัลลังก์ยักษ์ก็ต่างพากันจ้องมองไปทางหลานเฟยเยว่อย่างเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยความดูแคลนและหยามหยัน กู่หยาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางมู่ชิงเกอ
“แย่แล้ว! เขาทำไมถึงมองมาทางนี้? ไม่ใช่ว่าประโยคที่เจ้าพูดเมื่อกี้เขาจะได้ยินแล้วหรอกนะ?” พอเห็นสายตาของกู่หยากวาดมองมา เจียงหลีก็ขบริมฝีปากแน่น ใช้ สายตาส่งสัญญาณให้แก่มู่ชิงเกอ
พอถูกใต้เท้าทมิฬที่อยู่ข้างกายขององคมหาปราชญ์จับจ้อง นางที่เป็นถึงฮ่องเต้หญิงก็ยังไม่กล้าพอที่จะส่งกระแสจิต!
มู่ชิงเกอมองไปทางกู่หยาสายตาหนึ่ง ความเย็นยะเยือกในแววตาก็ไม่ได้ลดน้อยลง
กลับกันกลับกลายเป็นกู่หยาเองที่พอถูกนางมองเช่นนี้ หางคิ้วก็เลิกสูงขึ้นก่อนจะดึงสายตากลับไป
ฉากภาพนี้เจียงหลีก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น
รอจนกู่หยาดึงสายตากลับไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้กล่าวกับเจียงหลีว่า “เจ้าสมองพิการหรือไง? วาจาเมื่อครู่ข้าก็ใช้การส่งกระแสจิต เขาจะไปได้ยินได้อย่างไร?”
ในใจของเจียงหลีชั่วขณะนั้นกลายเป็นโล่งอกขึ้น กล่าวไปทางนาง “ข้าก็กลัวจริงๆ ว่าเจ้าจะถูกความงดงามทำให้หลงใหลมัวเมา แล้วไม่สามารถเดินออกจากตำหนักหลีกงไปได้อีก!”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้คนที่มีท่าทางหลงใหลมัวเมาก็คล้ายกับจะเป็นเจ้า!”
บนใบหน้าของเจียงหลีทอแววขัดเขิน ก่อนจะกล่าวโต้แย้งขึ้น “ข้าตอนนั้นก็เป็นแค่การชื่นชมอย่างปริสุทธิ์ใจ บวกกับความเพ้อฝันเล็กๆ น้อยๆ บุรุษที่เย็นชาและสูงส่งเช่นนี้ไม่ได้เหมาะกับข้า”
มู่ชิงเกอในตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์จะไปกล่าวไร้สาระกับนาง หันมองไปทางหลานเฟยเยว่
หลังจากเงามายาของซือมั่วไม่มีการตอบรับเลยแม้แต่น้อย นางก็ยังคงไม่ยอมแพ้แต่เป็นคุกเข่าขยับไปด้านหน้าสองก้าว เงยหน้าจ้องมองไปยังเงาร่างที่สูงใหญ่นั่น กล่าวด้วยแววตาอันหลงใหล “มหาปราชญ์ท่านยังจำเฟยเยว่ได้หรือไม่? เมื่อสิบห้าปีก่อนในตอนที่เฟยเยว่พบกับองค์มหาปราชญ์ก็ได้เคยกล่าวคำสัตย์สาบาน เอาไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องเข้ามาปรนนิบัติองค์มหาปราชญ์ในตำหนักหลีกงให้ได้ ตอนนี้เฟยเยว่ก็ได้มาตามคำสัตย์แล้ว ขอองค์มหาปราชญ์ได้โปรดตอบรับเฟยเยว่ให้รั้งอยู่ด้วยเถิด”
‘ไม่ต้องกล่าวเพ้อฝันงมงายอย่างชัดเจนขนาดนั้นได้หรือไม่?’ มุมปากของมู่ชิงเกอลอบเบ้ออก
หลานเฟยเยว่ที่อยู่ๆ ก็เปิดปากเอ่ยขึ้น กู่หยากับกู่เย่ก็ไม่ได้ทำการขัดขวาง ส่วนหวงฝู่เฮ่าเทียนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนก็ยังคงรักษาความนิ่งขรึมเอาไว้
กลุ่มคนทำตัวราวกับว่ากำลังรอการตอบกลับของซือมั่ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลหลาน คนของตระกูลหลาน พากันตื่นเต้นจนทั้งร่างสั่นไหว รอคอยผลลัพธ์สุดท้าย ด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย
ถ้าหากองคมหาปราชญ์รับตัวหลานเฟยเยว่เอาไว้ เช่นนั้นตระกูลหลานก็จะสามารถกระโจนออกจากการคงอยู่อันธรรมดาสามัญ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรเซิ่งหยวนก็ล้วนไม่ต้องไปก้มหัวให้อีก
แต่ว่าถ้าหากองค์มหาปราชญไม่ได้รับตัวนางเอาไว้เล่า?
ไม่ ไม่มีทางมีผลลัพธ์เช่นนี้ได้…
ผลลัพธ์เช่นนี้ ตระกูลหลานก็รับเอาไว้ไม่ไหว และก็ไม่กล้าไปนึกคิด
ช่างเป็นคนที่น่าสงสารกลุ่มหนึ่ง จมอยู่ในความเพ้อฝันที่ตัวเองปรุงแต่งมานานเกินไป จนพากันลืมความเป็นจริงไปหมดแล้ว พวกเขาไม่ยินยอมที่จะเดินออกจากความเพ้อฝัน และก็ไม่กล้าเดินออกจากความฝันนั้น เกรงว่าหลังจากตื่นจากความฝันแล้วทั้งหมดจะกลายเป็นแค่เพียงภาพลวงตา
อย่างที่กล่าวกันว่าความคาดหวังยิ่งมีมากเท่าไรความ ผิดหวังก็จะมีมากเท่านั้น
ดังนั้นหลานเฟยเยว่ก็จำเป็นและจะต้องรั้งอยู่ในตำหนักหลีกงให้ได้! ไม่ว่าจะต้องให้ตระกูลหลานแลกสิ่งใดก็ตาม!
ในแววตาของประมุขตระกูลหลานก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ไม่สั่นคลอน เขาเงยหน้ามองไปทางลูกสาวที่ตนภาคภูมิใจมากที่สุด กล่าวไปทางนาง “เฟยเยวรีบให้องค์มหาปราชญ์เห็นโฉมหน้าของเจ้าเร็วเข้า”
การกำชับเตือนของบิดาก็พลันทำให้หลานเฟยเยว่ได้สติ
นางยกมือขึ้นจับผ้าคลุมหน้าบนใบหน้าของตนไว้ก่อน จะกล่าวว่าด้วยวาจาที่เต็มไปความหลงใหล “องค์มหาปราชญ์สิบกว่าปีมานี้ยังไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าของเฟยเยว่แม้แต่คนเดียว เฟยเยว่เคยสาบานเอาไว้ว่า ใบหน้าของเฟยเยว่ใบนี้ ตอนที่จะถอดผ้าคลุมหน้าออกจะมีเพียงตอนที่องค์มหาปราชญ์อยู่ด้วยเท่านั้น”
‘คำสัตย์อีกแล้ว?’ มู่ชิงเกอยิ้มเย็นขึ้นในใจ
หลังจากเสียงของนางดังขึ้นผ้าคลุมหน้าสีขาวที่ปกปิดใบหน้าของนางก็ถูกดึงลง
ใบหน้างามลํ้าหาใดเปรียบราวกับเทพเซียนบนตำหนักจันทราก็ไม่ปานได้ปรากฏโฉมหน้าขึ้นต่อสายตาของผู้คน
เสียงร้องตกตะลึงดังออกมาจากรอบด้าน ทำเอาในแววตาของหลานเฟยเยว่ไหววูบด้วยความหยิ่งทะนงออกมาสายหนึ่ง รูปลักษณ์ของตนสำหรับนางก็ถือว่ามีความมั่นใจมาก หญิงงามอันดับหนึ่งของเทียนตูก็ไม่ได้เรียกขานกันมาเปล่าๆ
นางมองไปทางซือมั่ว รอคอยการตอบกลับของเขา
หางตาลอบมองไปยังกู่หยากับกู่เย่ วาดหวังว่าจะได้เห็นความตกตะลึงจากสายตาของพวกเขา
แต่ว่าผลลัพธ์กลับทำให้นางผิดหวัง
กู่หยากับกู่เย่ก็ยังคงนิ่งเงียบราวกับก้อนนํ้าแข็งก็ไม่ปาน ราวกับมองไม่เห็นโฉมหน้าอันงดงามของนาง เหมือนกับว่าใบหน้าของนางก็เหมือนกับของคนทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีค่าควรให้จ้องมองแต่อย่างใด
การตอบสนองของทั้งสองคนก็ทำเอาหลานเฟยเยว่อยู่ๆ ดีก็เกิดจิตใจเกิดสั่นไหวขึ้นมา
ใต้เท้าทมิฬที่คอยปรนนิบัติองคมหาปราชญ์ถึงกับนิ่งสงบเช่นนี้ได้ แล้วตัวองค์มหาปราชญ์เองเล่า?
ทันใดนั้นเองความมั่นอกมั่นใจในโฉมหน้าของตนก็กลายเป็นพังทลายลง
ใบหน้าของนางดวงนี้ที่แม้แต่ตนเองก็ยังต้องหลงใหล พลันเหมือนกับว่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งของแผ่นดิน
รอบด้านทั้งหมดก็พากันกลายเป็นทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา คนของตระกูลหลานแต่เดิมที่มาพร้อมกับความเพ้อฝันอันงดงาม ตอนนี้ก็พากันกลายเป็นหวั่นเกรงขึ้นมา
ความเงียบเชียบและการไม่รับความสนใจที่ไร้เยื่อใยเช่น นี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นเบาๆ
“เห็นแล้วหรือไม่? หลานเฟยเยว่หญิงน่าไม่อายที่เสนอตัวเองผู้นั้นตอนนี้ก็ถือว่าส่งตัวเองไปขายหน้าจนน่าอนาถนัก หลังจากนี้ยังจะมีหน้าไปใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร? ยังจะวางมาดเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเทียนตูอยู่อีก?” เจียงหลีกล่าวอย่างสะใจที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ และก็เหมือนกับว่ากำลังกล่าวเตือนมู่ชิงเกอเป็นนัยๆ ว่า ให้อาศัยจังหวะตอนที่ผู้คนยังไม่รู้รีบเก็บความคิดทั้งหมดที่ไม่มีทางเป็นจริงได้พวกนั้นกลับไปให้หมด กำเอาไว้ให้แน่นหนา ทางที่ดีก็คือทำลายมันทิ้งซะเดี๋ยวนี้!
“นางก็คือนาง ส่วนข้าก็คือข้า” แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับตอบกลับมาราบเรียบประโยคหนึ่ง
ท่าทางราวกับหากไม่เห็นโลงศพก็จะไม่หลั่งนํ้าตา
เจียงหลีเหลือกตาขาวไปมาอย่างหมดวาจาจะกล่าว สำหรับมู่ชิงเกอแล้วก็หมดวาจาจะกล่าวกับนางอีก นางก็คิดไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอที่มองดูแล้วเป็นคนที่ไม่ สนใจเรื่องรักใคร่ของชายหญิงเลย ทำไมอยู่ๆ ถึงกระโดดขึ้นไปอยู่ยอดสูงสุดได้?
“มหาปราชญ์…” หลานเฟยเยว่คุกเข่าอยู่กับที่ท่าทางสิ้นหวังจิตใจล่องลอย
ทันใดนั้นเอง เงามายาของซือมั่วที่ดวงตาปิดสนิทมาโดยตลอดอยู่ๆ ก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
เขาพอลืมตาขึ้น กลุ่มคนตรงหน้าของเขาก็เหมือนกับว่าจะตกเข้าไปอยู่ในภพอีกภพหนึ่ง นัยน์ตาสีอำพันก็เหมือนจะแทนที่ดวงตะวันและจันทรา ประกายตาที่ เหมือนจะจับต้องได้ของเขาก็ราวกับไปแทนที่เส้นแสงจากดวงดาราที่กระจัดกระจายอยู่บนฟากฟ้า
ดวงตาคู่นี้ก็เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
ราวกับว่ามันใส่อยู่ด้วยจักรวาลทั้งผืนในดวงตาของเขา ราวกับแอบซ่อนไว้ด้วยความลึกลับที่ลํ้าลึกที่สุดบนโลก เปรียบเสมือนกับความทรงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เงามายาของซือมั่วที่ในสุดก็มีการตอบกลับ นี่ทำเอาหลานเฟยเยว่ที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังกลับกลายเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง