ตอนที่ 180-2
ทำไมเขาถึงได้รับความโปรดปรานเพียงคนเดียว?
นางวาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสายตาของซือมั่วจะร่วงตกลงมาที่ตน แต่ว่าซือมั่วกลับมองไปทางจักพรรดิหยวน หวงฝู่เฮ่าเทียนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด
“ถอยไป” คำสองคำเปล่งออกมาจากปากของซือมั่ว
แต่ก็มันกลับเหมือนกับโองการจากฟ้าก็ไม่ปาน ทำให้คนไม่กล้าต่อต้าน
นี่กำลังไล่แขกแล้ว!
ฝูงชนกลายเป็นตกตะลึง
พวกเขาก็ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรกับองค์มหาปราชญ์แม้แต่ประโยคเดียว นี่ก็จะต้องถูกไล่ออกจากตำหนักหลีกงแล้วรึ?
ก็ต้องเป็นเพราะสตรีจากตระกูลหลานนางนั้น! ถ้าหากไม่ใช่เพราะการกระทำอันอุกอาจของนางไปยั่วโทสะขององค์มหาปราชญ์เข้า พวกเขาก็ไม่มีทางต้องถูกไล่ออกไปเช่นนี้
ในใจของฝูงชนในตอนนี้ก็ล้วนแต่พากันชิงชังหลานเฟยเยว่เป็นยิ่งนัก
สีหน้าของหลานเฟยเยว่ก็กลายเป็นซีดขาวมากยิ่งขึ้น นิ่งงันอยู่กับที่
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้? ไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย? เพราะอะไร? เพราะเหตุใดองค์มหาปราชญ์ มองก็ไม่มองนางแม้แต่นิดเดียว? ‘ถอยไป’ สองคำนี้ก็เป็นเพราะรังเกียจรึ?
“องค์มหาปราชญ์โปรดอย่าทรงกริ้ว!” หวงฝู่เฮ่าเทียนเร่งร้อนกล่าวขึ้น
หากทำให้องค์มหาปราชญ์โกรธขึ้นมานี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
หวงฝู่เฮ่าเทียนก็รู้สึกโมโหการกระทำอันไร้สมองของตระกูลหลานนัก ก่อนหน้าเอาแต่อ้างชื่อขององค์มหาปราชญ์จากจิ้งจอกปลอมเป็นพยัคฆ์ก็พอทำเนา แต่ ตอนนี้กลับอยากจะเข้าไปเกาะแกะเข้าจริงๆ ช่างเป็นการกระทำที่รนหาที่ตายนัก!
“ถอยไป” ซือมั่วกล่าวขึ้นอีกรอบหนึ่ง
ไอพลังไร้ลักษณ์สายหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมกับคำทั้งสองด้วย เกิดเป็นลมกรรโชกขึ้นระลอกหนึ่งก่อนจะพุ่งพัดเอากลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกระเด็นตกออกไปนอกประตูตำหนัก
หลังจากนั้นประตูตำหนักก็พลันปิดลง ก่อนที่กู่หยากับกูเย่จะมายืนอยู่ด้านหน้าประตูที่ปิดสนิท ขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้
กลุ่มคนที่ถูกพัดส่งออกไปแต่ละคนก็มีสภาพน่าอนาถเป็นยิ่งนัก
หลานเฟยเยว่นอนฟุบอยู่กับพื้น แต่ความเจ็บที่รุมเร้าทั่วร่างก็ไม่อาจเทียบเท่ากับความเจ็บชํ้าในใจของนางในตอนนี้ได้
ในตอนที่สายลมกรรโชกพุ่งพัดเข้ามานางก็สัมผัสได้ว่าผิวหนังของตนเจ็บปวดเหมือนกับถูกมีดแหลมคมทิ่มแทงอยู่ก็ไม่ปาน องค์มหาปราชญ์ไม่ได้รักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อย
นางก็เหมือนกับคนอื่นเช่นนั้นเหมือนกับสุนัขที่ตายแล้วถูกโยนทิ้งออกมา ความรู้สึกอันน่าอัปยศนี้ก็ทำเอาหลานเฟยเยว่ตอนนี้นึกชิงชังจนอยากจะขุดหลุมให้ตัวเองแล้วมุดเข้าไป
“เอ? ชิงเกอเล่า?” อยู่ๆ ในกลุ่มคนก็มีเสียงของเจียงหลีดังขึ้น
นํ้าเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่ทันได้นึกถึงกฎที่ห้ามกล่าววาจาส่งเดชแต่อย่างใด
กู่หยากับกู่เย่พลันจ้องมองไปทางนางอย่างพร้อมเพรียงกัน ในแววตาอันเย็นชาก็เต็มไปด้วยสัญญาณเตือน
เจียงหลีพอสัมผัสได้ก็พลันปิดปากลง แต่อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็มาหายไปเช่นนี้จะไม่ให้นางร้อนใจได้อย่างไร ในตอนที่ถูกพัดออกมา มู่ชิงเกอก็ชัดเจนว่ายังอยู่ข้างๆ นาง ทำไมอยู่ๆ ถึงหายตัวไปได้?
พอถูกนางร้องเรียกขึ้นเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตได้แล้ว ว่าในกลุ่มคนไม่มีเงาร่างของมู่ชิงเกอ จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็พากันตามหาไปรอบทิศ แต่ก็ยังหาไม่พบ
ฮวาฉินฉินก็ไม่สนใจการหักห้ามของมารดาอีกวิ่งไปที่ข้างกายของเจียงหลี ถามอย่างร้อนใจว่า “คุณชายมู่เล่า?”
เจียงหลีตอนนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจนาง ผลักนางออกไป ก่อนจะเดินไปทางกู่หยากับกู่เย่ หากอยากจะรู้ว่ามู่ชิงเกออยู่ที่ไหนก็มีเพียงต้องถามพวกเขาสองคนแล้ว
แต่ว่านางเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกหวงฝู่ฮ่วนมาขวางทางเอาไว้
เจียงหลีมองไปทางเขา นัยน์ตาสีทองเต็มไปด้วยความ เป็นปรปักษ์
หวงฝู่ฮ่วนเร่งร้อนกล่าวว่า “อย่าได้วู่วาม คุณชายมู่นั้นถูกองค์มหาปราชญ์รั้งตัวเอาไว้ไม่มีทางเกิดเรื่องได้” เขารู้ว่าระหว่างมู่ชิงเกอกับซือมั่วนั้นรู้จักกัน อีกทั้งยังถูกกำชับเอาไว้เป็นพิเศษว่าให้ดูแลมู่ชิงเกอเป็นอย่างดี ดังนั้นพอมู่ชิงเกอหายตัวไปตอนอยู่ที่นี่ เขาก็พอคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้แล้ว
คำกล่าวของเขาก็ทำเอาผู้คนกลายเป็นตกตะลึง
และที่ทำให้ผู้คนเหลือเชื่อที่สุดก็คือกู่หยากับกู่เย่ใต้เท้าทมิฬทั้งสองคนกลับไม่ได้โต้แย้งคำพูดของหวงฝู่ฮ่วนแม้แต่น้อย
ในแววตาของเจียงหลีก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง กะพริบตาปริบๆ ราวกับดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วขณะ แต่ว่าความเป็นศัตรูในแววตาได้หายไปแล้ว ตัวคนก็ไม่ได้มีท่าทางร้อนรนใจเหมือนตอนก่อนหน้า
และในตอนนี้ในใจของฝูงชนก็ต่างมีความคิดแตกต่างกันไป
พวกเขาล้วนแต่ถูกไล่ออกมา มีเพียงมู่ชิงเกอคนเดียวที่ถูกรั้งอยู่ นี่ก็หมายถึงอะไรกัน?
ในแววตาของเฉินปี้เฉิงก็พลันปรากฏแววท้าทายขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่ถูกต้อง ก็เหมือนกับว่าเขาอยากจะไปท้าประลองกับมู่ชิงเกอซะเดี๋ยวนั้น
ส่วนจิ่งเทียนสีหน้าก็ซีดขาวยิ่งกว่าเดิม แววตาหยิ่งทะนงอันดำมืดจ้องมองไปทางประตูที่ปิดสนิท ด้วยท่าทางริษยา
โหลวเสวียนเถี่ยกับเฮยมู่ลอบสบสายตากันหนหนึ่งราว กับว่ากำลังบอกฝ่ายตรงข้ามว่าแผนการเกิดเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ให้หยุดเอาไว้ก่อนชั่วคราว
ไท่สื่อเกาก็เหมือนกันจ้องมองไปยังประตูที่ปีดสนิทอย่างริษยา ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง ถือสิทธิ์อะไรที่พวกเขาถูกไล่ออกมาแต่มีเพียงมู่ชิงเกอที่ได้รั้งอยู่?
หลานเฟยเยว่ก็ยังคงนั่งฟุบอยู่กับพื้นเช่นเดิม นางตอนนี้ก็ไม่มีหน้าที่จะยืนขึ้นไปเหมือนอย่างไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว
นางที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดำรงอยู่ด้วยการตั้งตนเป็นผู้หญิงขององค์มหาปราชญ์มาโดยตลอด มาตอนนี้กลับถูกโยนทิ้งออกมาอย่างไม่ใยดี แต่มู่ชิงเกอคนก่อนหน้าที่นางคิดจะสานสัมพันธ์ให้ตระกูลหลานไปจนถึงขั้นคิดอยากจะแนะนำเขาให้กับองค์มหาปราชญ์กลับถูกรั้งตัวเอาไว้ในนั้นเพียงลำพัง?
ถือสิทธิ์อันใดกัน!
ในแววตาของหลานเฟยเยว่ทอแววไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุดออกมา ความริษยาในใจของนางก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
จากมุมมองของนาง คนที่สามารถถูกรั้งอยู่ก็สมควรจะเป็นนางถึงจะถูกต้อง คนที่มีศักดิ์ตํ่าด้อยที่มาจากแคว้นระดับสามผู้หนึ่งนับว่าเป็นตัวอันใดกัน!
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทก็ขวางกั้นโลกด้านในและด้านนอกทั้งสองเอาไว้
ในตัวตำหนักพอเหลือเพียงมู่ชิงเกอคนเดียวที่ยืนอยู่ มันก็ยิ่งดูขยายกว้างขึ้นแล้วตัวนางเองก็ดูเหมือนยิ่งกลายเป็นตัวเล็กจ้อยลง นางไม่ได้ถูกพัดออกเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ถูกพลังสายหนึ่งกดเอาไว้ที่เดิม นางไม่ได้ต่อต้านพลังสายนั้น เพราะ นางรู้ว่ามันมีต้นกำเนิดมาจากใคร
“มานี่” เสียงทุ้มกังวานดังขึ้น เงาร่างที่นั่งเหยียดตรงกวักมือเรียกมาทางนาง
มู่ชิงเกอเบ้มุมปากก่อนจะกล่าวกระซิบกระซาบขึ้น “แกล้งทำเป็นลึกลับอันใดกัน”
เสียงของนางไม่ได้ดังมากแต่ก็ยังคงลอยเข้าไปในหูของซือมั่ว
พอเห็นคนตัวเล็กที่เฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืนในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น และกำลังเดินมาตรงหน้าของเขา ดวงตาเย็นชาดุจนํ้าแข็งทั้งสองข้างที่ดูห่างเห็นราวกับระยะห่าง ของผืนฟ้าและแผ่นดินที่มักจะปรากฏเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนจะก็เหมือนกับชั้นนํ้าแข็งที่กำลังละลายหายไปก็ไม่ปาน เหลือเพียงความอ่อนโยนจางๆ สายหนึ่ง
“ร่างกายที่แท้จริงของข้าไม่ได้อยู่ในหลินชวน นี่เป็นเพียงแค่ร่างจิตที่ข้าทิ้งเอาไว้เท่านั้น หลังจากพูดคุยกับเจ้าแล้วก็หายไป” ซือมั่วอธิบายกับนางอย่างอารมณ์ดี มู่ชิงเกอนิ่งมองเงามายาของซือมั่ว นางคิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อตนเองเดินมาถึงด้านหน้าของเขา เขากลับไม่อยู่
“สถานที่ที่ข้าไปห่างไกลจากหลินชวนมาก ช่วงเวลาในการรักษาเงามายาก็มีจำกัด จะให้เสียเวลาไปกับคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร?” ซือมั่วอธิบายอีกครั้ง
ครั้งนี้ มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเขาถึงได้เอ่ยปากไล่คนในทันที ที่แท้เขากำลังรีบ!
มู่ชิงเกอเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว พิจารณาเงามายาของซือมั่วอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนจริง แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนพูดกับคนจริงๆ
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ขึ้นมา ให้ข้าได้มองเจ้า” ซือมั่วกวักมือไปให้นางอีกครั้ง
ในคำพูดเผยให้เห็นถึงความรู้สึกคิดถึง แก้มของมู่ชิงเกอค่อยๆ แดงขึ้น แต่ก็ยังคงมีใบหน้าเย็นชาดังเดิม “มีอะไรน่าดู? ข้ายังไม่ทันได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลยที่มีสาวงามมามาเสนอตัวให้ถึงที่”
“สาวงามอะไรกัน?” เงามายาของซือมั่วเผยให้เห็นถึงความสงสัย เขามองมู่ชิงเกออย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ในใจของข้า ใครก็ไม่อาจเทียบเจ้าได้”
มุมปากของมู่ชิงเกอค่อยๆ คลี่ยิ้มออกเพราะว่าคำพูดนี้ ความเย็นชาบนใบหน้าก็ค่อยๆ อ่อนลง
นางมองไปทางซือมั่ว เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เย็นชาว่า “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
“ถามเถอะ” ซือมั่วเอ่ยอย่างสบายใจ
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก ท่าทีดูสับสนวุ่นวายเล็กน้อย ถึงค่อยเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าอยู่ในทะเลแห่งความอ้างว้างนั้น ในระหว่างที่อยู่ในภาพมายา เป็นเพราะว่าเจ้าจงใจบิด
เบือนภาพมายาของข้าใช่หรือไม่?”
ซือมั่วมองที่นาง เงียบไปอย่างยาวนาน
แต่ว่าดวงตาของเขากลับเปล่งประกายสว่างขึ้นเรื่อยๆๆ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังตื่นขึ้นภายใต้การจ้องมองของเขา
“ตอบข้ามา” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเข้มงวด ในนํ้าเสียงเผยให้เห็นถึงความจริงจังที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่” ซือมั่วตอบอย่างแน่ใจ
คำตอบนี้ทำให้จิตใจที่แขวนสูงของมู่ชิงเกอวางลงได้ แต่ว่า นางก็ขมวดคิ้วขึ้น “เช่นนั้นเหตุใดตอนที่ข้าจะออกจากภาพมายาถึงได้มีคำพูดนั้นโผล่ขึ้นมา?”
ซือมั่วค่อยๆ เอ่ย “ข้าในภาพมายาของเจ้าก็คือข้าจริงๆ เป็นเพราะข้ารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเจ้าจึงรีบไป แต่ว่าข้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับภาพมายาของเจ้า แต่ปล่อยให้ภาพมายาของเจ้าดำเนินไปด้วยตัวมันเอง”
“จริงหรือ?” มู่ชิงเกอไต่ถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อ
ซือมั่วหัวเราะ “หากว่าข้ามีความคิดที่จะปิดบังเจ้า แล้วจะพูดประโยคสุดท้ายนั้นไปด้วยเหตุอันใด?”
“ข้า…” มู่ชิงเกอพูดไม่ออก
จริงๆ หากว่าทั้งหมดนั้นเป็นซือมั่วยุ่งเกี่ยว ตอนที่นางเชื่อว่าเป็นความจริง หลังจากตกหลุมพรางตามแผนของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะแสดงตัวออกมา
พูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าภาพมายานั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยน
ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เสียงของซือมั่วก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ รอข้า หากข้าจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้วก็จะรีบกลับมา กูหยากับกู่เย่ก็จะตามไปกับข้าด้วย แต่ข้าได้จัดการให้ตระกูลหวงฝู่ดูแลเจ้าแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องราวอะไร”
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางซือมั่ว ก่อนจะพบว่าร่างของเขายิ่งดูเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ชัดเจนเหมือนก่อนหน้านี้
นัยน์ตาฉายแวววาววาบ รู้แล้วว่าเงามายานี้กำลังจะหายไป
“ใช่แล้ว! หวงฝู่ฮ่วนให้ข้าถามเจ้าว่าสามารถรับเขาเป็นศิษย์ได้หรือไม่?” เมื่อพูดถึงตระกูลหวงฝู่ มู่ชิงเกอก็คิดถึงเรื่องที่เคยตกลงกันกับหวงฝู่ฮ่วนไว้
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดอยากจะให้ข้ารับเขาหรือไม่?” ซือมั่วถามกลับ
มู่ชิงเกอเพิ่งจะอ้าปากก็พบว่าเงามายาของซือมั่วนั้นกลายเป็นเลือนรางอยู่ตรงหน้านาง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์รอข้า” คำพูดของซือมั่วสะท้อนไปมาอยู่ภายในตำหนัก
“เจ้าจะกลับมา…” เมื่อไหร่
คำพูดของมู่ชิงเกอเพิ่งพูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็ต้องหยุดลงเพราะว่า ร่างจิตของซือมั่วกับเสียงของเขาได้หายไปแล้ว
นางยังมีคำที่จะพูดกับซือมั่วอีก หรือว่าต้องรอต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ?