ตอนที่ 180-3
ทำไมเขาถึงได้รับความโปรดปรานเพียงคนเดียว?
ประตูที่ปิดอยู่ ในที่สุดก็เปิดออกมา
กู่หยาและกู่เย่หันไปมอง มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินออกมา
“ชิงเกอ!” เจียงหลีร้องออกไป มู่ชิงเกอที่ตัวเองกำลังคิดถึงนั้นได้กลับมาแล้ว
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองไปที่เจียงหลีก่อนแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองหวงฝู่ฮ่วนที่ยืนอยู่ข้างกายของเจียงหลี คนที่อยู่ด้านหลังพยักหน้าให้แก่นาง นางก็พยักหน้าตอบกลับไป
“คนครบแล้วก็ไปเถอะ” ทันใดนั้นกู่เย่ก็เอ่ยขึ้น
เมื่อคำพูดของเขาหลุดออกมา ภาพตรงหน้าของทุกคนก็มืดสนิท ตอนที่มองภาพรอบด้านได้ชัดเจน ทั้งกลุ่มก็ได้ออกมาปรากฏตัวอยู่ตรงบันไดในตอนที่เข้ามาแล้ว
ที่ต่างก็คือ ก่อนหน้านี้คือเดินขึ้น ตอนนี้กลับต้องเดินลงออกจากตำหนักหลีกง
เหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้ถูกรั้งไว้เป็นการส่วนตัว? ในตอนที่นางพบกับมหาปราชญ์เป็นการส่วนตัวนั้น เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาพูดอะไรกัน?
มีบางคำถามที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน ระหว่างทางที่กำลังออกไป สายตาที่พวกเขามองไปหามู่ชิงเกอ ล้วนแต่เต็มไปด้วยการลอบพิจารณา
รอจนพวกเขาก้าวออกจากเขตหวงห้าม เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามพอดี
เมื่อพบกับกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่เต็มตีนเขาอีกครั้ง มู่ชิงเกอก็อยากจะพูดคำหนึ่งออกมา ‘ซือมั่วไม่อยู่ที่นี่ คุกเข่าอยู่ตรงนี้จะได้ประโยชน์อะไร?’ ถึงกระนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลับถูกนางกลืนกลับลงไป
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเทือกเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
ซือมั่วพูดแล้ว หลังจากนี้กู่หยาและกู่เย่ก็จะจากไป ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ที่จำเป็นต้องให้เขาไปจัดการเอง ก็ยังไม่เพียงพอ ยังต้องนำกู่หยาและกู่เย่ไปด้วยอีก?
เรื่องนี้จะเสี่ยงอันตรายหรือไม่?
ความรู้สึกเป็นห่วงกังวลปรากฏอยู่ภายในใจของมู่ชิงเกอ ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘เป็นห่วง’ พันรัดตัวนาง
“คุณชายมู่” หวงฝู่ฮ่วนมาอยู่ที่ตรงหน้าของนาง
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ มองไปที่เขา ภายในสายตาที่คาดหวังของหวงฝู่ฮ่วน มู่ชิงเกอเดาออกแล้วว่าเขาคิดจะถามอะไร “ข้าถามแล้ว แต่ว่ามหาปราชญไม่ได้ตอบ”
มู่ชิงเกอครุ่นคิด แล้วบอกคำตอบแก่เขา
เรื่องที่ซือมั่วจากไป นางไม่อยากจะประกาศออกไป
ดวงตาของหวงฝู่ฮ่วนเป็นประกายด้วยความปีติยินดี และเคร่งขรึมก่อนจะคำนับให้แก่มู่ชิงเกอ “ขอบคุณคุณชายมู่มาก วันหน้าเมื่อได้ฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว ข้าจะขอขอบคุณตอบแทนคุณชายมู่” เมื่อพูดแล้ว เขาก็หันกายจากไป ไม่ได้ชักช้า
เขาเดินกลับไปถึงข้างกายของหวงฝู่เฮ่าเทียน หวงฝู่เฮ่าเทียนมองเขาอย่างกังวล ถึงแม้ว่าจะมีระยะห่าง แต่ว่ามู่ชิงเกอก็สามารถจับร่องรอยบางอย่างได้จากปฏิกิริยาของพวกเขา
หวงฝู่ฮ่วนคงจะนำคำพูดที่นางพูดกับเขา บอกแก่หวงฝู่เฮ่าเทียน
ท่าทีที่หวงฝู่เฮ่าเทียนแสดงออกหลังจากได้ยินก็เหมือนกันกับหวงฝู่ฮ่วนที่เต็มไปด้วยความตื้นตันทั้งยังส่งสายตาซาบซึ้งมาให้นาง ซือมั่วไม่ได้ตอบก็สามารถทำให้พวกเขาดีใจได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
มู่ชิงเกอรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่านางไม่รู้ว่าสำหรับ หวงฝู่เฮ่าเทียนและหวงฝู่ฮ่วนแล้ว เพียงแค่ซือมั่วไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน เช่นนั้นก็แสดงว่ายังมีความหวัง
มหาปราชญ์ยังไม่ตอบ เป็นเพราะว่าเขากำลังพิจารณาใช่หรือไม่?
มู่ชิงเกอหลุบตาลง ในใจคิดว่า ‘ซือมั่วย้อนกลับมาถามนาง หวังหรือไม่หวังให้เขารับหวงฝู่ฮ่วนเป็นศิษย์ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?’ น่าเสียดาย เงามายาของ ของซือมั่วหายไปเร็วเกินไป ทำให้นางไม่ทันได้ไต่ถาม
“ชิงเกอ เจ้ากับมหาปราชญ์พูดคุยอะไรกัน?” เจียงหลีที่เงียบมาถึงตอนนี้ถึงได้พูดขึ้น
มู่ชิงเกอมองไปรอบด้าน คนจำนวนไม่น้อยก็กำลังมองนางอย่างสงสัย
ดูเหมือนว่าทุกๆ คนก็ล้วนคิดจะพุ่งเข้ามาเพื่อถามให้ชัดเจนว่านางกับซือมั่วพูดคุยอะไรกัน
ยิ้มเล็กน้อย แล้วนางก็เอ่ยกับเจียงหลีว่า “กลับไปค่อยพูดเถอะ”
จากตำหนักหลีกงลงมา ก็ถือว่าทำภารกิจในวันนี้ได้สำเร็จ ทุกคนสามารถแยกย้ายกันไป ตอนนี้กลับยังรวมตัวกัน ส่วนมากล้วนเป็นเพราะมู่ชิงเกอ
ข้อยกเว้นก็คือคนของตระกูลหลาน
ผ้าคลุมหน้าของหลานเฟยเยว่ไม่ได้อยู่บนใบหน้าอีกต่อไป นางไม่ได้อยู่ต่อ เดินออกไปกับคนตระกูลหลาน นี่สำหรับคนนอกที่ไม่รู้ความนัยน์แล้ว ก็เป็นการสื่อเป็นนัยๆ อย่างชัดเจน
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า มหาปราชญไม่ได้ต้องการให้สาวงามอันดับหนึ่งของตระกูลหลานแห่งเทียนตูผู้นั้นอยู่ด้วย
ภายในสายตาของตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็รู้ว่าแผนการใช้บุตรสาวปีนขึ้นหามหาปราชญ์ของตระกูลหลานนั้นล้มเหลวแล้ว
ตระกูลหลานก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไป ทำได้เพียงจากไปอย่างอนาถ
ในขณะที่หลานเฟยเยว่เดินผ่านมู่ชิงเกอนั้น ก็ส่งสายตาเคียดแค้นมาให้นาง ทำให้นางรู้สึกไม่สามารถอธิบายได้
“นางป่วยอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเย็น
เจียงหลีกวาดตามองแผ่นหลังของหลานเฟยเยว่แวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา “มีปัญหาทางจิต อิจฉาจนเป็นบ้า เป็นโรคอิจฉาตาร้อน”
มู่ชิงเกอยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง
ทุกคนไม่ไป ล้วนคิดว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับซือมั่วจากมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไร้เสียง ชวนจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยกลับเรือนรับรอง
แต่ว่า เพิ่งจะเดินมาไม่กี่ก้าว เจ้าบ้าเฉินปี้เฉิงคนนั้นก็ขวางตรงหน้าของมู่ชิงเกอไว้
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น
“ข้าต้องการจะประลองกับเจ้า!” เฉินปี้เฉิงพูดความต้องการของตนเองออกมาตามตรง
หากว่าเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น มู่ชิงเกอคงจะตกลงอย่างไม่ลังเล แต่ว่าในตอนนี้ นางไม่มีอารมณ์ที่จะประลองกับใคร เดินผ่านเฉินปี้เฉิงแล้วก็พูดออกมาว่า “วันอื่นแล้วกัน”
“เมื่อไหร่?” เฉินปี้เฉิงไต่ถามอย่างอดใจไม่ไหว
มู่ชิงเกอหยุดอย่างหมดหนทางแล้วหันกลับไปมองเขา ใช้นัยน์ตาสดใสชัดเจนทั้งคู่มองแล้วบอกว่า “งานชุมนุมใหญ่แห่งหลินชวนไม่ใช่ว่าใกล้จะเริ่มแล้วมิใช่หรือ? พวกเราพบกันบนเวทีเถอะ”
เฉินปี้เฉิงครุ่นคิดจากนั้นก็พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้”
พูดแล้ว ก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีกเลย เขาไม่ได้กลับมาที่ขบวนของตระกูลเฉิน แต่กลับจากไปคนเดียว ส่วนคนของตระกูลเฉินก็ดูเหมือนว่าจะชินกับการไปมาตัวคนเดียวของเขาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ห้ามปราม
เมื่อส่งเฉินปี้เฉิงจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับพวกนางว่า “ไปเถอะ”
นางจากไปแล้ว แต่ในใจของคนอื่นๆ กลับยังมีข้อสงสัยที่ยังไม่คลี่คลาย
พวกเขาไม่รู้จะไปถามมู่ชิงเกออย่างไรดี แต่ก็ยังสามารถถามคนอีกคน
เมื่อคนของแคว้นระดับสองจากไปแล้ว เหลือแค่เพียงคนของสามตระกูลใหญ่ ที่ขวางอยู่ตรงหน้าของหวงฝู่เฮ่าเทียนและหวงฝู่ฮ่วน
“ฝ่าบาท ระหว่างคุณชายมู่ผู้นั้นกับมหาปราชญ์มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่?” ประมุขตระกูลฮวาเอ่ยถามขึ้นก่อน ถ้าหากว่ามู่ชิงเกอมีความสัมพันธ์กับมหาปราชญ์จริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นเกรงว่านางคงต้องปรับเปลี่ยนท่าทีของตัวเองใหม่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ฉินฉินแต่งเข้าตระกูลมู่ให้ได้
เพราะเวลานับพันๆ ปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีฐานอำนาจใดที่จะสามารถปีนขึ้นไปเกี่ยวสัมพันธ์กับตำหนักหลีกงได้มาก่อน
คนของสามตระกูลใหญ่ขวางทางของราชวงศ์ไว้ สำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราที่เดิมคิดจะจากไปก็หยุดลง ยืนฟังอยู่ข้างๆ พวกเขาอยากจะรู้มากว่ามู่ชิงเกอกับตำหนักหลีกงมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่
ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนคิดที่จะเล่นงานมู่ชิงเกอที่ตำหนักหลีกง ทำให้นางล่วงเกินมหาปราชญ์ให้มหาปราชญ์ลงมือฆ่านาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้
ไม่ชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตำหนักหลีกง พวกเขาก็ไม่อาจจะลงมือโดยพลการได้!
ทางโรงโอสถก็ได้จากไปพร้อมกับคนของแคว้นระดับสองนานแล้ว
สำหรับคำถามของประมุขตระกูลฮวา หวงฝู่ฮ่วนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ประมุขตระกูลฮวาล้อเล่นแล้ว เรื่องเหล่านี้ พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไร?”
“องค์รัชทายาท ทรงอย่าได้ปิดบังพวกข้าต่อไปอีกเลย ก่อนหน้านี้ที่ตำหนักหลีกง ตอนที่ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ร้อนใจในความปลอดภัยของคุณชายมู่คิดจะออกค้นหา ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงยับยั้งเอาไว้ ตรัสว่าคุณชายมู่ถูกมหาปราชญ์เรียกไปสอบถามไม่มีอันตราย ส่วนเมื่อครู่ พระองค์ก็ยังกระซิบกระซาบอะไรกับคุณชายมู่ผู้นั้นอีก เรื่องราวเหล่านี้พวกเราพบเห็นด้วยตาของตนเอง ไม่มีเรื่องเท็จ ฝ่าบาท องค์รัชทายาท หากว่าพวกพระองค์รู้อะไร ก็ไม่สู้บอกมันออกมา จะหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเราที่ไม่รู้อะไรไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์” ประมุขตระกูลเฉินก็เอ่ยปาก
จิ่งเทียนยืนอยู่ด้านหลังของตระกูล มองเรื่องราวทั้งหมด ขบริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงสามารถได้รับสิ่งที่คนอื่นแม้แต่ฝันก็ยังเอื้อมไปไม่ถึงได้ง่ายๆ!
บิดาของเขา ประมุขตระกูลจิ่งตอนนี้ก็อยู่ในกลุ่มคน ลอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมู่ชิงเกอ
เขาไม่เคยเห็นบิดาเป็นเช่นนี้มาก่อน!
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาท ประมุขตระกูลเฉินและประมุขตระกูลฮวาพูดถูกต้องแล้ว พวกเรากับราชวงศ์นั้นส่งเสริมกัน ในเมื่อองค์รัชทายาททรงรู้ความนัย ก็ไม่ควรที่ จะปิดบังพวกเรา!” ประมุขตระกูลจิ่งเอ่ยออกมา
หวงฝู่เฮ่าเทียนและหวงฝู่ฮ่วนถูกบีบถาม
คนทั้งสองส่งยิ้มอย่างขมขื่นให้กันในเมื่อมหาปราชญ์ให้พวกเขาลอบดูแลคุณชายมู่ก็หมายถึงว่าไม่อยากประกาศเรื่องนี้ออกไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาก็ไม่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอและมหาปราชญ์นั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ แล้วจะคาดเดาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามท่าทางของกลุ่มคนด้านหน้านี้ก็มีท่าทางที่ ดูเหมือนว่าหากไม่ได้รับคำตอบก็จะไม่ยอมแพ้
หากไม่ให้คำตอบแก่พวกเขา เกรงว่าเรื่องราวในวันนี้ก็คงจะผ่านไปได้ไม่ง่าย
เมื่อครุ่นคิดแล้ว หวงฝู่ฮ่วนถึงเอ่ยว่า “ทุกท่าน ที่จริงข้าก็รู้ไม่มาก เรื่องที่ข้ากับเสด็จพ่อรับรู้นั้นก็คือเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่มหาปราชญ์ออกท่องเที่ยวไปที่แคว้นระดับสามนั้น ได้ผ่านไปทางแคว้นฉิน และได้ชื่นชมคุณชายมู่เล็กน้อย ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกเราก็ไม่รู้แล้ว”
เรื่องๆ นี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร
หากขุมอำนาจพวกนี้คิดอยากจะไปแคว้นฉินเพื่อสืบความ ก็ล้วนจะได้รับรู้ ดังนั้นหวงฝู่ฮ่วนจึงพูดเรื่องนี้ออกมา
สามารถได้รับการชื่นชมจากมหาปราชญ์ เพียงข้อนี้ บวกกับเรื่องราวของวันนี้ ก็เพียงพอให้คนเหล่านี้ปฏิบัติกับมู่ชิงเกอใหม่แล้ว
อย่างน้อยที่สุดในช่วงเวลาที่มู่ชิงเกออยู่ในเทียนตูนี้ คนตรงหน้าเหล่านี้ก็จะไม่ไปรบกวนเขาอย่างไม่รู้ความอีก
“อะไรนะ! เมื่อก่อนมหาปราชญ์เคยพบกับคุณชายมู่อย่างนั้นหรือ? ทั้งยังสนใจเขาอีก!”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไม่ทรงบอกกันก่อนเล่า?”
ข่าวคราวนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากยิ่งขึ้น
หลังจากเหล่าประมุขของตระกูลใหญ่ตกตะลึงแล้ว ก็เริ่มคิดพิจารณาในใจ ครุ่นคิดว่าจะใช้ท่าทีอย่างไรเข้าไปสนิทสนมกับมู่ชิงเกอดี