ตอนที่ 182-4
นายน้อยมู่ผู้ใช้มารยา!
หลังจากที่มู่ชิงเกอเข้าไปในลานฝึก ก็พบว่าบนแท่นอัฒจันทร์ตรงกลางมีคนมาไม่น้อยแล้ว
เจียงหลีก็อยู่บนนั้น เมื่อมองเห็นนางมาแล้ว ก็โบกมือให้นาง
มู่ชิงเกอยิ้มให้นาง ไม่ได้เดินไปในทันที แต่กลับเดินไปทางจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย
“ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เปรียบเทียบกับสามวันก่อน ท่าทางของทั้งสองคนก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย
จ้าวหนานซิงเอ่ยหยอกล้อว่า “มีการคุ้มครองจากองครักษ์เขี้ยวมังกร ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ด้านล่าง แต่ก็ยังคงถือว่าระยะห่างไม่ห่างมากนัก”
“การแข่งขันในรอบแรก ทุกคนล้วนแต่หวังจะไม่ให้ตกห่างออกไปไกลจนเกินไป ตอนนี้จุดมุ่งหมายก็ไปถึงแล้ว” ฟ่งอวี๋เฟยพูดขึ้นด้วย
มู่ชิงเกอมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ
ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจกันเองว่าภายในการแข่งขันรอบที่หนึ่งนั้น จะไม่เผยความสามารถที่แท้จริงออกมา
“แต่ว่า ฝั่งทางเจ้าต้องระมัดระวัง” จ้าวหนานซิงเอ่ยเตือน “คะแนนของแคว้นฉินในตอนนี้นำโด่งอยู่ข้างหน้า ได้หนึ่งร้อยเก้าสิบเจ็ดคะแนนแล้วที่สองนั้นคือแคว้นตี๋ที่เพิ่งจะได้แปดสิบเก้าคะแนน นอกจากนี้ทุกคนก็ไม่ได้ห่างกันมาก ข้าคิดว่า อีกสามวันต่อจากนี้ เกรงว่าแคว้นระดับสองทั้งสามแคว้นอาจจะร่วมมือกัน ต่อกรกับแคว้นฉิน ลากพวกเจ้าลง ลดช่องว่างความห่างนี้”
มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ไม่เป็นไร พวกเขามาก็ดีแล้ว”
ในตอนนี้คะแนนที่แคว้นฉินได้ก็ถึงความคาดหวังของนางแล้ว สามวันที่เหลือนี้ก็เล่นไปตามสบาย
การแข่งขันในรอบแรกนี้ การทดสอบไม่เพียงแต่ทดสอบความอดทน ยังเป็นการทดสอบทักษะการรบ
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่นางสั่งการองครักษ์เขี้ยวมังกร ให้ช่วยเหลือแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ก็ถือว่าเป็นทักษะการรบชนิดหนึ่ง หากว่าพวกเขาแคว้นระดับสองทั้งสามร่วมมือกันมาต่อกรกับนาง ก็เป็นทักษะการรบเช่นเดียวกัน
นางไม่รู้ว่าเศษซากโบราณเป็นสถานที่เช่นไร แต่ว่าเมื่อดูจากกฎของการแข่งขันทั้งสามรอบ ทั้งยังมีการให้ความสำคัญของแคว้นต่างๆ แล้ว มันต้องเป็นสถานที่น่ากลัวอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายในพื้นที่ซากโบราณ แต่ต้องเตรียมป้องกันคนที่เข้าไปด้วยกันคนอื่นๆ อีกด้วย
ดังนั้นงานชุมนุมใหญ่แผ่นดินหลินชวนจึงไม่ได้ทดสอบเฉพาะความสามารถเฉพาะบุคคลแต่เป็นการทดสอบกลุ่ม
ส่วนในจุดนี้นั้น องครักษ์เขี้ยวมังกรของนางแข็งแกร่งมาก!
หลังจากมองแวบหนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอก็หันกลับไปมองบนแท่นอัฒจันทร์
ตอนที่เดินผ่านเซวียฉง เซวียฉงก็พยักหน้าให้นาง และ นางก็ตอบกลับเช่นเดียวกัน
เมื่อถึงข้างกายของเจียงหลีแล้วก็นั่งลง ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะพูดจา หวงฝู่ฮ่วนก็พลันเดินเข้ามา “คุณชายมู่ ไม่กี่วันมานี้ล้วนแต่พักผ่อนอยู่ในเรือนรับรองอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พยักหน้า
หวงฝู่ฮ่วนลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ พวกนาง หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องสองเรื่องที่เป็นที่ถกเถียงกันในขณะนี้ คุณชายมู่คงยังไม่ทราบ”
เมื่อพูดแล้ว เขาก็มองไปทางเจียงหลี
เจียงหลียิ้มๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ขนาดนี้แล้ว ยังจะมองข้าอีกทำไม? เจ้าอยากพูดก็พูดเถอะ ข้าก็คร้านที่จะเปลืองนํ้าลาย”
เจียงหลีเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ทำให้หวงฝู่ฮ่วนส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ทั้งยังกล่าวขอบคุณแก่เจียงหลี “ขอขอบคุณฮ่องเต้เจียงที่ส่งเสริม”
จากนั้น เขาถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอ “เรื่องที่เป็นที่ถกเถียงกันสองเรื่องนั้น เรื่องที่หนึ่งก็คือหลังจากนี้หกวันหอสรรพสิ่งจะจัดงานประมูล แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของตระกูลหลาน พูดถึงเรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับคุณชาย มู่อยู่บ้าง”
มู่ชิงเกอหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์ล้อเล่น “งานประมูลของหอสรรพสิ่งนั้นข้ารู้ เพียงแต่ตระกูลหลานเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้า?”
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เรื่องที่หลานเฟยเยว่ถูกพัดออกจากวังหลีกงและถูกมหาปราชญ์ปฏิเสธนั้นถึงได้แพร่กระจายออกไป ในตอนนี้ หลานเฟยเยว่ถูกคำต่อว่าจนไม่กล้าเผยหน้าออกมา จากนางที่แต่ก่อนเคยได้รับแต่คำชื่นชมยกย่อง แต่มาตอนนี้ กลับได้รับแรงกดดันอย่างหนัก ส่วนเรื่องที่คุณชายมู่ได้รับความโปรดปรานจากมหาปราชญ์ถูกรั้งไว้พบเจอกัน เป็นการส่วนตัวนั้น ก็ถูกแพร่กระจายออกไปเช่นกัน ในตอนนี้ประชาชนในเทียนตูก็ล้วนแต่คาดเดาว่าคุณชายมู่นั้นเป็นคนอย่างไร ถึงได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากองค์มหาปราชญ์ ภายในเมือง ยังมีคนอีกมากมายที่นำเรื่องราวของคุณชายมู่แต่งเป็นหนังสือเรื่องเล่า แล้วก็เล่าขานกันตามร้านนํ้าชา”
มู่ชิงเกอได้ฟังจนรู้สึกมึนงง คิดไม่ถึงว่านางเก็บตัวสามวัน ข้างนอกกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
อะไรที่เรียกว่าขึ้นเขาไปหนึ่งวัน บนโลกเปลี่ยนไปเป็นพันปีแล้ว นางก็ถือว่าได้สัมผัสแล้วจริงๆ
“แค่กๆ จุดมุ่งหมายที่องค์รัชทายาทมาบอกเรื่องเหล่านี้แก่ข้านั้นคืออะไร?” มู่ชิงเกอแกล้งไอไปสองคำ เอ่ยถามหวงฝู่ฮ่วน
หวงฝู่ฮ่วนมองไปทางคนของตระกูลหลานอย่างไม่ส่อพิรุธ จากนั้นก็มองมาที่มู่ชิงเกอ รอยยิ้มเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “คุณชายมู่ไม่ลองถามฮ่องเต้เจียงถึงข่าวล่าสุด”
หือ?
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเจียงหลี
ส่วนหวงฝู่ฮ่วนก็ยืนขึ้นในเวลาเดียวกัน บอกลาจากไป
มองไปยังแผ่นหลังของเขา เจียงหลีก็เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “เจ้าคนเจ้าเล่ห์! เรื่องที่น่าฟังเขาพูดไปหมดแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ไม่น่าฟังให้ข้าพูด!”
“ไม่น่าฟัง?” มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาแคบลง มองไปที่เจียงหลี
เจียงหลีสบถ เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ยังจะมีอะไร? เดิมที เรื่องราวควรเป็นผลดีต่อเจ้า ถูกคนที่มีใจส่งเสริมแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเจ้ากลายเป็นคนมากมารยาไป”
“คนมากมารยา?” ภายในนัยน์ตาของมู่ชิงเกอ เผยให้เห็นถึงแสงอันเยือกเย็น มุมปากยิ้มเยาะออกมา
เจียงหลีเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “การรํ่าลือถึงเจ้าในอีกแบบ หนึ่งก็บอกว่าเจ้าที่ทำตัวมากมารยายั่วยวนผู้คนก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นตอนที่อยู่ในแคว้นฉิน ตอนเจ้าถูกเรียกขานว่าเป็นเศษสวะ ก็เพราะอาศัยหน้าตาล่อลวงราชนิกูลแคว้นฉินให้หลงใหล ทำให้องค์ชายหลายองค์ทำเพื่อเจ้า กำจัดกันเอง ท้ายที่สุดตระกูลมู่ก็กลายเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์สูงสุด ส่วนผู้ครองแคว้นที่เป็นฝ่ายชนะก็เป็นคนของเจ้า ตอนนี้เจ้าก่อความวุ่นวายให้แคว้นฉินยังไม่พอ ยังมาล่อลวงองค์มหาปราชญ์สร้างกลอุบาย คิดจะยืมมือของมหาปราชญ์ขจัดผู้คัดค้านและควบคุม แผ่นดินหลินชวนทั้งหมด”
มู่ชิงเกอได้ฟังจนรอยยิ้มเริ่มเยียบเย็น “ควบคุมแผ่นดินหลินชวนทั้งหมด? คนที่ปล่อยข่าวลือไร้สาระเช่นนี้ออกไป คงจะให้ความสำคัญแก่ข้าเป็นอย่างมาก ข้าที่อยู่ในเนื้อเรื่องเช่นนี้ ก็ทำเอาข้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นโฉมงามล่มเมืองที่มาทำลายประเทศชาติบ้านเมืองเสียอีก”
“หลังจากข่าวลือนี้ถูกปล่อยออกไป ราชวงศ์หวงฝู่ก็รีบส่งคนออกไปสงบข่าวในทันที ข้าก็ลงมือแล้ว เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน้อยมาก ดูเหมือนว่ากำลังของคนที่ทำเรื่องนี้จะไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ใช่แล้ว ตอนที่ข้าส่งคนออกไปสืบนั้นก็พบว่าทางหอสรรพสิ่งก็ยื่นมือเข้ามา” พูดแล้ว เจียงหลีก็ขยิบตาให้กับมู่ชิงเกอ “ดูแล้วนายน้อยหานคนนั้นยังถือว่าใส่ใจเจ้ายิ่งนัก”
ใส่ใจ? ไม่โยนหินลงไปในบ่ออีกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้าใจในนิสัยอันเลวร้ายของหานฉายไฉ่เป็นอย่างดี
“สืบได้ความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเจียงหลี เจียงหลีกลับส่ายๆ หน้า “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ว่าคำพูดของ หวงฝู่ฮ่วนเมื่อครู่ ดูเหมือนว่ากำลังลอบแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้นั้นเกี่ยวกับตระกูลหลาน”
มู่ชิงเกอนิ่งลงไป นัยน์ตากวาดมองไปยังที่นั่งของตระกูลหลาน จากนั้นก็ดึงสายตากลับ เอ่ยว่า “ตอนที่ข้าเข้ามา ก็ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรที่แตกต่าง”
เจียงหลียิ้มๆ เอ่ยว่า “แน่นอนละ ข่าวลือพวกนี้มีเพียงแค่ประชาชนที่ไม่รู้ความภายนอกเท่านั้นที่เชื่อถือว่าเป็นเรื่องจริง คนในที่นี่ ล้วนแต่รู้ถึงความสามารถของเจ้า แล้วจะไปเชื่อง่ายๆ ได้อย่างไร?”
พูดแล้ว นัยน์ตาของ นางก็วาววาบ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่ว่า ข้ารู้สึกสงสัยว่าจุดประสงค์ที่พวกเขาใส่ร้ายเจ้านั้นเป็นอะไร? หรือเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนที่มีต่อหลานเฟยเยว่อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็สงสัยมากเช่นกัน” รอยยิ้มบนมุมปากของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มขึ้นมา