ตอนที่ 183-1
ความอิจฉาของผู้หญิง!
“ลำดับคะแนน
อันดับหนึ่งแคว้นฉินสองร้อยหกสิบแปดคะแนน
อันดับสองแคว้นตี๋หนึ่งร้อยหกคะแนน
อันดับสามแคว้นอวี่เก้าสิบเจ็ดคะแนน
อันดับที่สี่แคว้นหรงเก้าสิบห้าคะแนน
อันดับที่ห้าแคว้นลี่เก้าสิบสามคะแนน
อันดับที่หกแคว้นอวี๋เก้าสิบคะแนน”
การแข่งขันเจ็ดวันเจ็ดคืนเสร็จสิ้นลงแล้ว อาณาจักรเซิ่งหยวนรับหน้าที่รวบรวมคะแนนและประกาศคะแนนสุดท้ายของการแข่งขัน
ความจริงได้พิสูจน์ว่าที่มู่ชิงเกอไม่กังวลนั้นถูกแล้ว แม้ว่าสองวันสุดท้ายแคว้นระดับสองทั้งสามแคว้นจะร่วมมือกันเพื่อดึงแคว้นฉินลง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ กลับกันกลับเป็นการทิ้งโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้แคว้นลี่และแคว้นอวี๋ไล่ตามขึ้นมาได้ลดระยะห่างลงไปได้
หลังจากการแข่งขันรอบแรกจบลง จะพักผ่อนกันสามวัน ถึงจะเริ่มการแข่งขันรอบสอง
ในเวลานี้งานประมูลของหอสรรพสิ่งก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“พูดกันว่า คุณชายมู่ที่มาจากแคว้นฉินแห่งแคว้นระดับสามผู้นั้น ตั้งแต่เด็กก็ดูงดงามหล่อเหลา ผิวกายเนียน ขาว ใบหน้าสวยงาม ตอนเมื่อยังเด็กก็ได้รับฉายาว่าเป็นคนงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วตู กับองค์ชายในราชวงศ์แคว้นฉินก็เคยเป็น…”
ภายในโรงนํ้าชาบางแห่งของเทียนตู คนเล่าเรื่องกำลังใช้นํ้าเสียงที่น่าดึงดูดใจเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมู่ชิงเกอ
โต๊ะมีแขกนั่งอยู่เต็มไปหมด มีแขกหลายคนที่ไม่มีที่นั่ง ล้วนแต่พากันนั่งกับพื้นบ้าง ยืนบ้าง พร้อมฟังอย่างออกรส
เมื่อได้ยินถึงเรื่องที่มู่ชิงเกอใช้ความงามทำให้ระหว่างองค์ชายกลายเป็นศัตรูกัน ความงามขององค์หญิงกลายเป็นหยกหมองดอกไม้เหี่ยว จากนั้นเสียงสาปแช่งฮือ ฮาก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งโรงนํ้าชาในทันที แขกที่กำลังแทะเม็ดแตง ก็โยนเม็ดแตงลงพื้น ท่าทีที่ดูแค้นเคืองขมขื่นเช่นนั้น ดูเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวละครในหนังสือก็ไม่ปาน
มุมลับมุมหนึ่งในโรงนํ้าชา มีม่านบังลมบังสายตาคนนอกเอาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นคนที่อยู่ด้านใน แต่คนที่อยู่ด้านในนั้นกลับสามารถมองเห็นภาพภายในโรงนํ้าชาได้ทั้งหมด
เมื่อได้ยินเสียงสาปแช่งแล้ว คนที่นั่งอยู่ด้านหลังม่านบังลมก็เพียงแต่เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน วางข้อศอกที่พนักวางแขน สองมือกุมแก้วนํ้าชา หลุบตาลง
ทำได้เพียงมองเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของนาง
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนางนั้นแต่งกายแปลกประหลาด ส่วนที่อยู่ใต้ดวงตาล้วนมีผ้าคลุมสีทองปิดบังใบหน้าของนาง เผยให้เห็นถึงนัยน์ตาสีทองที่ดูแตกต่างจากคนอื่น ที่กำลังจับจ้องคนตรงกันข้ามนาง
อยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างมีองครักษ์หลายนายยืนอยู่ด้วย จากชุดที่พวกเขาสวมใส่ และก็ยังมีตำแหน่งที่พวกเขายืนก็สามารถสรุปได้ว่าคนเหล่านี้เป็นองครักษ์ของพวกเขาสองคน
“ไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ ถูกคนด่าว่าจนถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังสามารถสงบใจได้อย่างไร?” เจียงหลีมองมู่ชิงเกอ ส่ายหน้าเบาๆ
มุมปากของมู่ชิงเกอกดยิ้มลึกกว่าเดิม
นางวางแก้วนํ้าชาในมือลงบนโต๊ะ ค่อยๆ เงยหน้ามองเจียงหลี “ผู้ไร้ปัญญาเท่านั้นที่จะเชื่อถือข่าวลือ ข้าโกรธแล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”
เจียงหลีเอ่ย “เจ้าพูดไม่ผิด แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ข้า ไม่คิดว่าหากเจ้ายังคงเงียบต่อไปแล้วเสียงที่น่ารำคาญเหล่านี้จะหายไปจากหูได้”
“หากข้าไปชี้แจงแล้วจะมีคนเชื่อหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมองนาง
เจียงหลีถูกคำพูดของนางทำให้จนคำพูดไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงเอ่ยอย่างท้อแท้ว่า “ข้าเถียงไม่สู้เจ้า”
มู่ชิงเกอยิ้ม ยื่นกายไปข้างหน้า รินนํ้าชาให้เจียงหลี “ดื่มชาผ่อนคลายเถอะ ที่พวกเขาพูดถึงนั้นคือข้า ข้าไม่โกรธ แล้วเจ้าจะโกรธทำไม?”
เจียงหลียกแก้วชาขึ้น ดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นก็วางแก้วชาลงอย่างแรง เอ่ยด้วยอารมณ์โมโหว่า “หากว่าพูดถึงข้ายังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็จะตัดเอาลิ้นของพวกที่พูดจาเหลวไหลนั้นลงมาให้หมด เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่พวกเขากลับพูดถึงเจ้า ข้าก็โกรธแทนเจ้า แต่ว่าเจ้านั้นกลับไม่สนใจอะไรเลย”
“ใครว่าข้าไม่โกรธ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น
เจียงหลีกะพริบตา เอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
นางคิดว่าในใจของมู่ชิงเกอน่าจะมีแผนการที่พร้อมสรรพแล้ว เพราะว่าในใจของนาง แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงเกอก็เป็นพวกที่ชอบคิดก่อนทำมาโดยตลอด
ถึงกระนั้นในขณะที่นางกำลังคาดหวังกับแผนการที่ยอดเยี่ยมของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าอย่างสงบ “ไม่ได้มีแผนการอะไร”
“เจ้าพูดอะไรนะ?” คางของเจียงหลีเกือบจะหล่นลงบนโต๊ะ นางเบิกตากว้าง จ้องมู่ชิงเกอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีแผนการ เช่นนั้นนางยังสงบขนาด นี้? ทำท่าทางเหมือนกับว่าแผนการทั้งหมดล้วนอยู่ในหัว ทุกอย่างอยู่ในใจของข้า?
ท่าทีของเจียงหลี ทำให้มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก
นางกางมือออก เอ่ยกับเจียงหลีว่า “ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะสามารถได้รับโอกาสก่อนเสมอ จะพบเจอตอนที่คิดไม่ออกบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
“…” เจียงหลียังจะพูดอะไรได้อีก?
นี่ควรพูดว่าก่อนหน้านั้นตัวเองประเมินค่าความฉลาดของมู่ชิงเกอสูงเกินไปหรือว่านางทึ่มเกินไปที่จะจัดการเรื่องคนที่คิดร้ายตนเอง จึงได้ตกอยู่ในสภาวะมึนงงดี?
“เจ้าก็พูดแล้วว่าเมื่อข่าวลือเหล่านี้ถูกแพร่กระจายออกไป เจ้า ราชวงศ์หวงฝู่ แล้วก็ยังมีหอสรรพสิ่งก็ออกไปลอบสืบความ แต่กลับเห็นแค่เพียงบ่อโคลน นี่ก็หมาย ความว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่เพียงขุมกำลังเดียว คิดถึงคนที่ข้าเคยล่วงเกินและมีความสามารถที่จะทำเรื่องเหล่านี้ได้ที่จริงก็ไม่ยากที่จะเดาถึงพวกที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ว่า รู้แล้วจะอย่างไร? หรือจะคาดหวังให้พวกเขาออกมาลบข่าวลือเองอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างสงบ
เจียงหลีกลับเอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “ให้พวกเขาออกมาลบข่าวลือเองนั้นแน่นอนว่าไม่อาจทำได้ แต่ก็ต้องจัดการเรื่องนี้? หากว่ายังปล่อยไป เกรงว่าในอีกไม่นาน เจ้าก็คงจะกลายเป็นคนที่ผู้คนในเทียนตูด่าว่าทุบตีแล้ว”
ในเวลานี้นอกม่านบังลม คนเล่าเรื่องได้พูดถึงตอนที่มู่ชิงเกอมาถึงเทียนตูแล้ว เมื่อเข้าลู่ตำหนักหลีกง ก็อาศัยความงามของตนเองล่อลวงมหาปราชญ์ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ มองไปบนเงาคนบนม่านบังลม เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเจียงหลีว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำก็ไม่อาจเปลี่ยนจากเท็จกลายเป็นจริงได้ ไปเถอะ”
พูดแล้ว มู่ชิงเกอก็ทิ้งเศษเงินไว้บนโต๊ะ เดินออกไปจากโรงนํ้าชา
“นี่ รอข้าด้วย” เจียงหลีรีบลุกขึ้นไล่ตามมู่ชิงเกอจากไป
เดินออกจากโรงนํ้าชา ก็เข้าสู่ตลาดที่มีชีวิตชีวาในเทียนตู ทั้งสองคนเก็บแรงกดดันบนร่าง ลบการคงอยู่ของตนเองออก
ไม่ได้เป็นเพราะกลัวคนจำมู่ชิงเกอได้จากนั้นจะใช้คำพูดโจมตี
แต่เป็นเพราะคนทั้งสองมีรูปโฉมที่โดดเด่น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เกิดความวุ่นวาย จึงถ่อมเนื้อถ่อมตนไว้เป็นดี
“หอสรรพสิ่งตั้งอยู่บนถนนใหญ่ทางทิศตะวันออก พวกเราจะไปเลยไหม?” เจียงหลีไล่ตามไปถามมู่ชิงเกอ
วันนี้เป็นวันเปิดงานประมูลของหอสรรพสิ่ง อาศัยสถานะของเจียงหลี แน่นอนว่านางก็ได้รับเทียบเชิญของหอสรรพสิ่งเช่นกัน
มู่ชิงเกอมองดูเวลา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินไปทางถนนใหญ่ทางทิศตะวันออกของเทียนตู บนถนนเดินผ่านเด็กจอมซุกซนหลายคน ได้ยิน พวกเขาร้องเพลง เป็นเพลงที่ทำให้มู่ชิงเกอต้องหยุดแล้วก็มองไปด้วยความสนใจ
“ตระกูลหลานมีบุตรสาว รูปร่างเพรียวบางงดงาม เสนอตัวเองให้มหาปราชญ์ แต่เหตุใดมหาปราชญ์ไม่สนใจ สะบัดแขนพัดไปนอกประตู ใบหน้าซีดหม่นหมองกลับมา บุตรสาวตระกูลหลานร้องไห้ฮือฮือ หาความตาย ไม่อยากอยู่ น่าอับอายยิ่งนัก…”
เจียงหลีหยุดพร้อมกันกับมู่ชิงเกอ หลังจากตั้งใจฟังแล้ว ก็ยิ้มอย่างแปลกประหลาด “คนที่เด็กน้อยเหล่านี้ร้องเพลงถึง คงไม่ใช่คนที่พวกเราคิดถึงคนนั้นหรอกใช่ไหม!”
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พูดอย่างชัดเจนถึงขนาดนี้แล้ว นอกจากนางแล้วจะยังมีใครอีก?”
เจียงหลีเงยหน้ามองไป บนถนน มีเด็กจอมซนอีกไม่น้อย พวกเขาล้วนแต่กำลังร้องเพลงเดียวกันอยู่
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปจับเด็กหญิงคนหนึ่ง เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “น้องสาว ใครสอนให้พวกเจ้าร้องเพลงนี้กัน?”
เด็กน้อยถูกจับอย่างกะทันหัน เดิมทีควรจะต้องตกใจ ร้องไห้โฮ แต่ว่า เมื่อมองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอแล้ว ใบหน้าที่กำลังจะร้องไห้ก็ถูกหยุดชะงักในทันที เอ่ยออกมาว่า “พี่ชาย ท่านงดงามมาก!”
เมื่อถูกเด็กน้อยชมว่าสวย บนใบหน้าของมู่ชิงเกอก็ฉายแววกระดากใจ จากนั้นนางก็ถามคำถามเมื่อครู่ซํ้าอีกครั้ง เด็กหญิงน้อยจึงเอ่ยว่า “วันนี้ตอนเช้ามีท่านลุงคนหนึ่งสอนพวกเราร้อง ทั้งยังพูดว่า พวกเราร้องวันไหนก็ จะให้ขนมพวกเรากิน”
“ลุงคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เจ้ายังจำได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอถามอีกครั้ง
น่าเสียดาย เด็กหญิงน้อยอธิบายมาครึ่งค่อนวัน ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่เมื่อเข้าไปรวมอยู่กับฝูงคนแล้วจะถูกกลืนหายไป
หาคนที่ไม่เป็นที่น่าสนใจมาทำเรื่องเช่นนี้ได้จิตใจของคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็ต้องละเอียดรอบคอบมาก ไม่ให้ใครตามหาร่องรอยพบ
มู่ชิงเกอครุ่นคิด จึงเอ่ยถามเด็กหญิงอีกครั้ง “เช่นนั้น…เขาจะเอาขนมมาให้เมื่อไหร่?”
เด็กหญิงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ท่านลุงเอาเงินให้ท่านลุงฮั่วหลางแล้ว หลังจากพวกเราร้องเสร็จ ก็สามารถไปเอาขนมกับท่านลุงฮั่วหลางได้เลย”
เมื่อเด็กหญิงตอบเสร็จ เจียงหลีก็เดินเข้ามาอีกทาง นางมองไปทางมู่ชิงเกอ ส่ายหน้าเบาๆ
มู่ชิงเกอยิ้มๆ กับเด็กสาว “ขอบใจเจ้ามาก ไปเล่นเถอะ”
เด็กหญิงหันกายจากไป รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอค่อยๆ เก็บกลับคืน
เจียงหลีมองนางแล้วเอ่ยว่า “ดูท่า เจ้าก็ไม่ได้อะไรเลย”
“ก็ไม่ใช่ไม่ได้อะไรเลย” มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง
เจียงหลีมองนางอย่างสงสัย รอคำพูดต่อไปของนาง
มู่ชิงเกอไพล่มือไว้ด้านหลัง เอ่ยกับเจียงหลีว่า “เรื่องนี้ หากไม่ใช่เจ้าทำ ทางฝั่งหวงฝู่ฮ่วนที่จะยื่นมือเข้ามาก็คงจะไม่ใช่วิธีเช่นนี้ เช่นนั้นในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก คนที่จะลงมือเช่นนี้ ก็มีแค่คนเดียว ส่วนวิธีการไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ก็ดูเข้ากับนิสัยของคนๆ นั้นพอดีเสียด้วย”
“ที่เจ้าพูดก็คือ…” เจียงหลีกลอกตาคิด ให้คำตอบของตนเอง “เป็นหอสรรพสิ่ง?” ช่วงเวลานี้ฐานกำลังที่สืบหาที่มาของการใส่ร้ายมู่ชิงเกอ นอกจากนางกับหวงฝู่ฮ่วนแล้ว ก็เหลือแค่เพียงหอสรรพสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มู่ชิงเกอยังเคยพูดว่ามี ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน
มู่ชิงเกอพยักหน้า ยอมรับในการคาดเดาของเจียงหลี