ตอนที่ 184-4
ต่อยตีศัตรูที่เข้ามาป่วน
จิ่งเทียนจะจากไปเช่นนี้หรือ?
มู่ชิงเกอรู้สึกนึกขันอยู่บ้าง ดูท่าว่าวันนี้ในปฏิทินโหราจะเป็นวันที่ไม่ควรแก่การต่อสู้ มิฉะนั้นเหตุใดในการแข่งขันสามรอบ มีคู่ต่อสู้ถอนตัวไปโดยไม่ลงแข่งถึงสองรอบกัน?
แต่จากวันนี้เป็นต้นไป มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มชื่นชมจิ่งเทียนเสียแล้ว
เดิมทีนึกว่าเขาจะเป็นพวกหยิ่งทะนงในพรสวรรค์ของตนเอง แต่กลับไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความอดทนอดกลั้นเช่นนี้ มู่ชิงเกอดูออกว่าสุดท้ายที่จิ่งเทียนปล่อยวางมิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อวงศ์ตระกูล
คนผู้หนึ่งสามารถปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อวงศ์ตระกูล แม้ว่าจะร้าย แต่ก็ไม่ได้ร้ายถึงไหน
เดิมคิดว่าเป็นการต่อสู้สะสางบุญคุณความแค้น แต่ก็มาจบลงทั้งอย่างนี้แล้ว
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกหมดสนุก คิดจะออกไปจากกรง แต่ว่าประตูเหล็กทมิฬที่อยู่ด้านหลังพลันเปิดออก นางหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็นหลานเฟยเยว่จากตระกูลหลานที่เดินเข้ามา
มู่ชิงเกอลอบเลิกคิ้วขึ้น ตามที่เจียงหลีบอกสตรีโฉมสะคราญ ท่าทีราวเทพเซียนที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นศัตรูความรักของนาง
หลานเฟยเยว่สวมชุดกระโปรงสีนํ้าเงิน สายลมโชยพลิ้วไหว ดูบริสุทธิ์เรืองรองราวเทพเซียน
ในมือของนางถือแส้อ่อนหนึ่งเส้น เดินก้าวเข้ามาหยุดลงตรงหน้ามู่ชิงเกอด้วยแววตาเยือกเย็น
หลังจากที่ลงมาจากตำหนักหลีกง นางก็ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าอีก วันนี้ก็เช่นกัน มู่ชิงเกอสามารถเห็นความเย็นชาดุจนํ้าแข็ง เปี่ยมด้วยความดุร้ายได้อย่างง่ายดาย
สายตาที่นางทอดมองมู่ชิงเกอแฝงไปด้วยความอาฆาตอย่างไม่คิดจะปิดบัง
มู่ชิงเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่เข้าใจเสียจริงว่าตนเองไปหาเรื่องอะไรคุณหนูใหญ่ผู้นี้
ถึงแม้ว่านางจะถูกซือมั่วเรียกตัวเข้าเฝ้าตามลำพัง แต่ก็ในฐานะบุรุษ เช่นนี้ก็ยังทำให้คุณหนูใหญ่ผู้นี้เกิดความริษยาหรือ? แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่มู่ชิงเกอก็ไม่มีทางเข้าใจสาเหตุที่สตรีเกิดความริษยา
“มู่ชิงเกอ วันนี้ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยเถอะว่าเจ้ามีดีอะไร ถึงทำให้มหาปราชญ์ให้ความสำคัญ!” หลานเฟยเยว่สะบัดแส้ในมือปล่อยลงกับพื้น แส้นั้นราวกับงูส่ายไป มากลางอากาศอยู่ข้างกายหลานเฟยเยว่
สายตามู่ชิงเกอหลุบลงมองบนแส้ยาวเส้นนั้น สายตาแข็งขึง ‘ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ!’ มู่ชิงเกอลอบอุทานในใจ ‘สี่ตระกูลใหญ่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ! คนหนุ่มสาวในตระกูลครอบครองยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ เช่นนั้นผู้ที่แกร่งกล้าฝึกสำเร็จในตระกูลจะมียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะหรือไม่? เกรงว่าคำตอบน่าจะเป็นใช่แน่นอน!’
เพียงแต่ว่ายุทธภัณฑ์ชั้นเทวะสำหรับสี่ตระกูลใหญ่ไม่ใช่ สิงที่จะนำออกมาใช้ได้ตามใจชอบ
มู่ชิงเกอเดาว่าหากในมือหลานเฟยเยว่มียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ เกรงว่าสิ่งที่จะมาใช้กับนางคงมิใช่ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติเป็นแน่
ชั่วขณะนั้น แส้ในมือหลานเฟยเยว่ก็สะบัดราวงูเลื้อย ส่ายไปมา เกิดเป็นเสียงก้องสะท้านหู เสียงนั้นดังสะท้อนไปในกรง ครั้งแรกที่ได้ยินมู่ชิงไม่รู้สึกอะไร พอฟังอีกครั้งก็รู้สึกมีความวิงเวียนจู่โจมเข้ามา ภาพเบื้องหน้าก็พลันพล่ามัว
‘ช่างเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติที่ร้ายกาจ!’ มู่ชิงเกอรวบรวมพลังจิต ทำลายความรู้สึกมึนงงวิงเวียนนั้น แต่กลับใช้สายตางุนงงมองไปยังหลานเฟยเยว่ ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติจะมีความสามารถในการฟื้นฟูเพิ่มพลังมากกว่ายุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณและจะมีคุณสมบัติหลายชนิดมากกว่า ถ้าหากนางเดาไม่ผิดล่ะก็ แส้ยาวของหลานเฟยเยว่เส้นนี้ มีความสามารถในการกล่อมจิตใจผู้คนให้มัวเมา
พอคู่ต่อสู้มึนงง ก็จะทำให้การกระทำและการตอบสนองของคู่ต่อสู้ช้าลง เช่นนั้นสำหรับหลานเฟยเยว่แล้วก็เป็นช่วงเวลาแห่งการฆ่าฟัน
มู่ชิงเกอเจตนาแสร้งทำเป็นมึนงง เพราะต้องการจะดูว่าหลานเฟยเยว่คิดจะทำเช่นไรกับนางกันแน่!
เมื่อดวงตาของนางพร่าเลือน ก็หมายความว่าจิตใจของนางกำลังสับสนมึนงงนั่นเอง ดวงตาคู่นั่นของหลานเฟยเยว่ราวกับอาบด้วยความเกลียดชัง เปล่งประกายโหดเหี้ยมดุดันออกมา
นางออกแรงสะบัดแส้ยาวในมือ แส้คมผสมด้วยพลังจิตกลายเป็นคมแสงกลางอากาศ พุ่งโจมตีใบหน้านวลของมู่ชิงเกอ หากถูกโจมตีเข้าจังๆ เกรงว่าอาจไม่ใช่เพียงแค่ทิ้งรอยเอาไว้ ด้วยแรงขนาดนี้พอที่จะบาดลึกจนถึงกระดูกยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
‘คิดไม่ถึงว่าต้องการทำลายให้เสียโฉม!’
วิถีของแส้ที่สะบัดมา ทำให้มู่ชิงเกอสามารถเดาเป้าหมายของแส้ได้อย่างง่ายดาย
เงาของแส้ปรากฏในสายตาของนางใกล้เข้ามาทุกขณะ
แววตาที่เคยพร่าเบลอของนางพลันเย็นชาโหดเหี้ยมขึ้นทันใด นางเบี่ยงกายกระโดดไปด้านข้าง สวนทางกับแส้ แส้ยาวฟาดลงบนพื้นอย่างหนักหน่วงเกิดเป็นรอยแส้บนพื้นครึ่งนิ้ว
เงาร่างของมู่ชิงเกอเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเงาจางๆ บนพื้น
เมื่อจู่โจมไม่โดนเป้าหมาย ในใจหลานเฟยเยว่ก็แสนโกรธแค้นมู่ชิงเกอ นางสะบัดแส้ฟาดใส่เงาจางๆ เหล่านั้นอย่างไม่ขาดสาย ภายในกรงเกิดเสียงแส้ตกกระทบ เป็นระยะ เงาแส้ตัดใส่ไขว้ไปมาเป็นแพ เกิดฝุ่นตลบปกคลุมไปทั่วกรง บดบังสายตาของผู้ชมตรงระเบียงทางเชื่อม
ประมุขตระกูลหลานที่นั่งอยู่บนระเบียงทางเชื่อมขมวดคิ้ว ตึงเครียดอยู่บ้าง
แต่ว่านี่เป็นผลจากการกระทำของบุตรสาวตนเอง เขาจะพูดอะไรได้? ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าหลานเฟยเยว่จะสั่งสอนมู่ชิงเกอได้สำเร็จ ขจัดความโกรธแค้นในใจ
ด้านบนที่ถูกเงาแส้และฝุ่นละอองบดบังสายตา จู่ๆ หวงฝู่ฮ่วนก็เอ่ยขึ้นว่า “ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติของหลานเฟยเยว่ชิ้นนี้เรียกว่าแส้อำพรางเมฆา มีความสามารถในการเพิ่มการหลอนประสาท ความเร็ว พละกำลังและความแหลมคมถึงสี่เท่า ชดเชยด้านที่ขาดของสตรีเช่นนาง อีกอย่างนางฝึกหัดวิธีการใช้แส้มากกว่าสิบเคล็ดวิชา แส้อำพรางเมฆาถูกนางร่ายรำออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ว่าเป็นเฉินปี้เฉิงโดนเข้าไปก็รู้สึกปวดหัวยากที่จะสลัดพ้น”
เขายกตัวอย่างเฉินปี้เฉิง เพราะว่าเฉินปี้เฉิงสามารถต่อสู้กับมู่ชิงเกอได้เสมอกัน
เจียงหลีหันกลับมาทอดสายตามองมาที่เขา มองเห็นความกังวลที่ฉายชัดอยู่บนหว่างคิ้วของเขา แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่ฮ่วนถึงได้กังวลกับอันตรายของมู่ชิงเกอนัก แต่นางก็ยังเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ มู่ชิงเกอไม่ถูกตีง่ายดายขนาดนั้น”
หวงฝู่ฮ่วนขมวดคิ้ว มองไปทางเสด็จพ่อของตนอย่างมีความหมาย
หวงฝู่เฮ่าเทียนได้รับสายตาของบุตรชาย ก็ลอบส่ายหน้าช้าๆ แทบจะไม่สังเกตเห็น ส่งสายตาให้เขาใจเย็นๆ เอาไว้ อย่าเพิ่งวู่วามอดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ!
เสียงแส้ดังสะท้อนในกรงอย่างไม่ขาดสาย หลานเฟยเยว่ใช้ความเร็วจนถึงขีดสุดก็ยังคงตีไม่โดนร่างจริงของมู่ชิงเกอ กระทั่งสองตาของนางก็จับร่องรอยการเคลื่อนไหวไว้ไม่ได้
ในใจนางโกรธเคืองเป็นที่สุด แค่นเสียงออกมาว่า “เหอะ ทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ ต่างอะไรกับพวกหนูกัน? คนเช่นเจ้าเหตุใดถึงอยู่ในสายตาของมหาปราชญได้!”
นางคิดจะพูดยั่วยุกระตุ้นให้มู่ชิงเกอออกมาสู้กับนางซึ่งหน้า ในสายตาของนางการหลบซ่อนของมู่ชิงเกอ สามาถยืนยันได้ว่าเขาไม่กล้าจะสู้กับนางซึ่งหน้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้การต่อสู้ซึ่งหน้า นางจะต้องชนะอย่างแน่นอน จากนั้นคอยสั่งสอนเขาให้หลาบจำ!
กระชากใบหน้าปีศาจมอมเมาผู้คนของเขาซะ!
เมื่อนางกล่าวจบ เสียงของมู่ชิงเกอก็ดังขึ้นจากข้างหลังนาง “ข้ายืนอยู่ข้างหลังเจ้าตลอด เจ้ากลับไม่สังเกต”
นางไม่เคยหลบซ่อน ทั้งยังจับจ้องหลานเฟยเยว่ที่อยู่ในระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินขั้นสูงสุดในสายตาตลอดเวลา หลานเฟยเยว่ตกใจ ปฏิกิริยาในมือรวดเร็วกว่า เก็บคืนแส้อำพรางเมฆา สะบัดไปทางต้นเสียงที่ดังขึ้น แต่ว่าขณะที่นางยกมือขึ้น ก็ถูกมู่ชิงเกอจับเข้าที่ข้อมือแน่นขยับไม่ได้
หลานเฟยเยว่ตกตะลึงหน้าถอดสี เรี่ยวแรงของมู่ชิงเกอยากที่นางจะต่อต้านได้!
นางถลึงตาใส่มู่ชิงเกอที่อยู่ระยะใกล้ กลับรู้สึกถึงการคุกคามชนิดหนึ่ง คิ้วทั้งสองข้างของนางขมวดแน่น ส่งเสียงด้วยใบหน้าดุร้ายว่า “ข้าจะควักลูกตาของเจ้า!”
“สตรีวิปลาส!” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงแข็ง แย่งชิงแส้อำพรางเมฆจากมือของนาง ออกแรงที่มือเพียงนิดโยนหลานเฟยเยว่ไปในอากาศ
“อ้า!” ความรู้สึกไร้นํ้าหนักทำเอาหลานเฟยเยว่กรีดร้อง ร่างกายของนางราวกับผีเสื้อปีกหัก ลอยโค้งขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะตกลงสู่กรงอย่างแรง เกิดเป็นฝุ่นตลบอบอวล
แส้อำพรางเมฆาไม่ปรากฏอยู่อีกตอไป เงาแส้และฝุ่นละอองที่บดบังสายตาเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหาย
เมื่อผู้คนเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ด้านในชัดเจน พบเพียงหลานเฟยเยว่กองอยูบนพื้นหมดสภาพ ส่วนมู่ชิงเกอยืนอยู่อย่างไร้ร่องรอยการถูกทำร้าย สิ่งที่ถืออยู่ในมือ คือแส้อำพรางเมฆาของหลานเฟยเยว่
ประมุขตระกูลหลานตื่นตระหนกหน้าถอดสี ผุดตัวลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้สีหน้าเคร่งเครียดไม่น่าดู
คิ้วเข้มของหวงฝู่เฮ่าเทียนยกขึ้นเล็กน้อย ในสายตาราวกับแกว่งรอยยิ้มบางเบา
ผู้อาวุโสหัวหน้าโรงโอสถคลายกับกึ่งหลับกึ่งตื่น พูดพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง มุมปากฉายรอยยิ้มยินดี
สายตาของเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยกลับมีรอยรอคอย คล้ายกับทนรอไม่ไหวที่จะให้มู่ชิงเกอทำเกินกว่าเหตุ กระตุ้นความโกรธเกลียดในใจของหลานเฟยเยว่!
ส่วนคนอื่นๆ ก็กำลังรอคอยว่ามู่ชิงเกอจะทำเช่นไรต่อไป จะถนอมบุปผาปล่อยหลานเฟยเยว่ไปและแจ้งคะแนนออกมาเลย? หรือว่าจะทำเช่นไรต่อ
“คุณชายมู่ชนะแล้ว ตามหลักมารยาทเขาน่าจะไปพยุงตัวหลานเฟยเยว่ขึ้นมา ส่งนางออกไปนอกกรง” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยขึ้นตามความน่าจะเป็น
แต่ว่าเจียงหลีกลับทำเสียงขึ้นจมูก นางเอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “หากเป็นคนผู้นั้นแล้วล่ะก็ เกรงว่า การแข่งขันจะไม่จบลงเร็วขนาดนั้น”
หวงฝู่ฮ่วนมองเจียงหลีด้วยความไม่เข้าใจ
ในสายตาของเขาเห็นชัดๆ ว่าการแข่งขันจบลงแล้ว อาวุธของหลานเฟยเยว่ถูกแย่งชิงไปแล้ว คนก็ลงไปกองกับพื้น ใครก็มองดูรู้ว่าผลแพ้ชนะเป็นเช่นไร
แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยถามรายละเอียดออกมา ก็เห็นว่ามู่ชิงเกอค่อยๆ ยกแส้อำพรางเมฆาขึ้น…