Skip to content

พลิกปฐพี 185-3

ตอนที่ 185-3

นี่ถึงเรียกว่าเล่นแส้!

หลานเฟยเยว่ที่เปลี่ยนชุดดีแล้วก็เดินไปห้องหนังสือของบิดา

ส่วนในตอนนี้ ภายในห้องหนังสือของประมุขตระกูลหลาน ก็กำลังตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างน่าประหลาด

ห้องหนังสือที่ใหญ่โต นอกจากประมุขตระกูลหลานแล้ว ก็ยังมีคนอีกสองคน ส่วนคนทั้งสองคนนี้ ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นเฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยนั่นเอง

ความเงียบของประมุขตระกูลหลาน ดูเหมือนว่ากำลังคิดพิจารณาข้อเสนอของพวกเขา

ทั้งสองคนสบตากัน โหลวเสวียนเถี่ยเอ่ยว่า “ประมุขหลาน แค่เพียงตระกูลหลานยอมช่วยเหลือ พวกเราก็จะมอบยาฟื้นฟูให้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเรื่อง สำเร็จก็มีประโยชน์แก่ตระกูลหลานเช่นกัน”

ข้อเสนอของพวกเขาทำให้ประมุขตระกูลหลานสนใจ แต่ว่าเขายังรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง “มหาปราชญ์มองเจ้าสารเลวแซ่มุ่นั้นอย่างแตกต่าง หากว่าพวกเราร่วมมือกัน ฆ่าเขาแล้วจะไม่ทำให้มหาปราชญ์โกรธหรือ?”

เฮยมู่ฉีกริมฝีปาก เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวออกมา “ข้ายังคิดว่าประมุขหลานจะกังวลใจอะไร สถานที่แห่งนั้น ทุกครั้งที่มีงานชุมนุมใหญ่หลินชวน ก็มีคนเก่งกาจมากมายตั้งเท่าไหร่ที่ตกตายอยู่ในนั้น? ถึงตอนนั้น คนแซ่มู่ตายอยู่ด้านใน ขอเพียงพวกเราทำกันอย่างลับๆ หน่อย จัดการคนที่รู้เรื่องให้สะอาดหมดจด ก็จะมีใครรู้อีกว่าเขาตายได้อย่างไร? สำหรับมหาปราชญ์ท่านผู้เฒ่าก็เพียงแต่เอ็นดู ผู้มีความสามารถก็เท่านั้น รอคนแซ่มู่ตายแล้ว เขาจะทำให้พวกเราลำบากเพราะเพียงคนตายแค่คนเดียวได้อย่างไร? อย่าลืมว่าพวกเราเป็นตัวแทนของสองฐานอำนาจใหญ่ในหลินชวน ทั้งยังมีอีกหนึ่งตระกูลใหญ่ แค่เพียงคนชั้นตํ่าแค่คนเดียวจะมาเทียบกับพวกเราได้อย่างไร?”

ประมุขตระกูลหลานขบริมฝีปาก ท่าทางดูเหมือนว่าจะเริ่มสนใจ

โหลวเสวียนเถี่ยอาศัยโอกาสตีเหล็กตอนกำลังร้อน “ประมุขหลานยังจะลังเลอะไรอีก? วันนี้คุณหนูหลานเกือบจะตายภายใต้เงื้อมมือของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้น แล้วหรือท่านจะรอจนเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นทำเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ถึงจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้?”

“พวกท่านทั้งสองมีคนมากี่คน?” ประมุขตระกูลหลานเอ่ยถามอย่างลังเล

เฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยสบตากันแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา

เฮยมู่พูดเพียงว่า “ถ้าหากว่าประมุขหลานยอมตอบรับ ในข้อเสนอของพวกเรา ตกลงที่จะร่วมมือกับพวกเราแล้ว พวกเราก็จะบอกท่านทั้งหมด ในตอนนี้พวกเรา สามารถพูดได้แต่เพียงว่า กำลังคนที่พวกเราเตรียมพร้อมมานั้น ถึงแม้ว่าจะมีมู่ชิงเกอสิบคนก็ยากที่จะหนีจากความตายพ้น!”

ดวงตาของประมุขตระกูลหลานเป็นประกาย ในใจหวั่นไหวแล้ว

โหลวเสวียนเถี่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ประมุขหลานคิดให้ดีๆ นะ”

ในตอนนี้ ด้านนอกก็มีเสียงดังเข้ามา “ไม่ต้องคิดแล้ว ขอแค่เป็นเรื่องที่ฆ่ามู่ชิงเกอได้ ตระกูลหลานของเราก็จะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด”

คนทั้งสามในห้องหันไปมอง ก่อนจะเห็นหลานเฟยเยว่ที่ใบหน้ามีผ้าพันแผลพันเอาไว้ผลักประตูเดินเข้ามา ตรงชายเสื้อยังสามารถมองเห็นผ้าพันแผลที่โชกไปด้วยเลือด

เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา เฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยก็ร้องขึ้น “คุณหนูหลาน”

“เฟยเยว่ทำไมเจ้าไม่พักรักษาตัวให้ดี ออกมาทำไม?” ประมุขตระกูลหลานขมวดคิ้วเอ่ย หลานเฟยเยว่เดินตรงไปข้างบิดาของตนเอง เอ่ยกับเขาว่า “ท่านพ่อ มู่ชิงเกอนั่นรังแกข้าถึงขนาดนี้หากว่าไม่ล้างแค้น ท่านจะให้บุตรสาวผู้นี้อยู่ได้อย่างไร?”

“เรื่องนี้ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ประมุขตระกูลหลานเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ยังต้องพิจารณาอะไรอีก?” น้ำเสียงของหลานเฟยเยว่สูงขึ้นมา เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “เขาก็เป็นแค่เพียงประชาชนของแคว้นระดับสาม มีอะไรที่น่าหวาดเกรงกัน? โชคดีที่มีพรสวรรค์บางอย่างเท่านั้น ท่านคิดว่ามหาปราชญ์จะเก็บคนเช่นนั้นเอาไว้ในใจจริงๆ น่ะหรือ? ตายแล้วก็คือตายแล้ว ใต้ฟ้านี้ก็ยังคงมีคนที่มีความสามารถอีกตั้งมากมาย!”

“เฟยเยว่!” ประมุขตระกูลหลานเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เขาหวาดเกรงในมหาปราชญ์จริงๆ ในตอนที่ยังไม่สามารถหาความเกี่ยวข้องระหว่างมู่ชิงเกอกับมหา ปราชญ์ได้อย่างชัดเจน เขาก็ไม่อยากจะลงมือง่ายๆ

เขาเกลียดแค้นมู่ชิงเกอก็จริง แค้นจนอยากจะถลกหนังเลาะกระดูกสั่งสอนเขา

แต่กระนั้น นอกจากที่เขาเป็นบิดาของหลานเฟยเยว่แล้ว ก็ยังเป็นประมุขตระกูลหลาน เขาต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลเป็นอันดับแรก หากจำเป็น เขาก็สามารถเสียสละได้แม้แต่หลานเฟยเยว่

“ท่านพ่อ! ท่านเลี้ยงดูข้าขึ้นมาเพื่ออะไร? หรือว่าตอนนี้ ท่านจะเบิกตามองมู่ชิงเกอคนนั้นแย่งเอาของที่เดิมเป็นของข้าและตระกูลหลานทั้งหมดไปเฉยๆ หรือ? ไม่มีเขาแล้ว มหาปราชญ่ถึงจะสามารถมองเห็นข้าได้ ถึงตอนนั้นตระกูลหลานของพวกเราก็จะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลินชวน แม้แต่อาณาจักรเซิ่งหยวนก็ไม่ควรค่าให้พูดถึง หากว่าท่านยังคงลังเลเช่นนี้พลาดโอกาสนี้ไป ในอนาคตหากเขาปีนขึ้นไปหามหาปราชญได้จริงๆ เช่นนั้นยังจะลงมืออย่างไรได้อีก? ความแค้นของพวกเราก็จะทำได้แค่เพียงอดทนเอาไว้อย่างนั้นหรือ?” หลานเฟยเยว่ตะโกนออกมา

การปรากฏตัวของนางทำให้เฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยโล่งใจ

ดูเหมือนว่าภารกิจที่จะต้องโน้มน้าวใจประมุขตระกูลหลาน ถูกหลานเฟยเยว่รับไปจัดการเองแล้ว

ทั้งสองคนรักษาความสงบ อาศัยหลานเฟยเยว่โน้มน้าวใจประมุขตระกูลหลานต่อ

เป็นเพราะคำพูดของหลานเฟยเยว่ ประมุขตระกูลหลานก็เงียบลง ดูเหมือนว่ากำลังคิดเป็นครั้งสุดท้าย

หลานเฟยเยว่ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านพ่อ ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ก็มักจะมาหลังจากการเสี่ยงครั้งใหญ่เสมอ หากว่าคิดจะให้ตระกูลหลานรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นก็ต้องยอมรับความเสี่ยง หากว่าท่านมัวแต่กังวลนั้นกังวลนี่เช่นนี้ จะสามารถนำพาตระกูลหลานไปสู่ความรุ่งเรืองได้อย่างไร?”

นัยน์ตาของประมุขตระกูลหลานฉายแววแข็งกร้าว ในที่สุดก็ตัดสินใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ดี! ในเมื่อมาถึงจุดที่เจ้าตายข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นตระกูลหลานของข้าก็จะขอลองเสี่ยงในครั้งนี้! ฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดแซ่มู่ เอาผืนฟ้าที่สดใสของเทียนตูกลับคืนมา และก็หลีกเสี่ยงไม่ให้มหาปราชญ์ตาบอดไปกับเจ้าคนสารเลวนั่น!” “นี่ถึงเป็นบิดาที่ข้ารู้จัก!” เมื่อจุดมุ่งหมายของหลานเฟยเยว่สำเร็จ ก็เผยรอยยิ้มออกมา

แม้ว่ารอยยิ้มของนางในตอนนี้จะดูน่าเกลียดและบ้าคลั่งมากก็ตาม

เมื่อทั้งสามฝ่ายรับรู้ร่วมกันแล้ว หลานเฟยเยว่ก็มองไปทางเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งสองท่าน บิดาของข้าได้ตกลงร่วมมือแล้ว ยาที่พวกท่านสัญญาว่าจะมอบให้ข้านั้นอยู่ที่ใด?”

เมื่อคิดไปถึงการฟื้นคืนรูปโฉม หลานเฟยเยว่ก็รู้สึกว่าไม่อาจรอช้าได้

เฮยมู่หยิบขวดลายครามออกมาจากอก มอบให้หลานเฟยเยว่

นางไม่อาจรอที่จะเปิดฝาขวดออก กลิ่นยาที่เข้มข้นลอยออกมา

“ยาฟื้นฟูนี่เป็นยาที่เจ้าสำนักของข้าใช้เงินทองจำนวนมากซื้อมาจากโรงโอสถด้วยตัวเองเมื่อสามปีก่อน พวกเราสำนักหมื่นอสูรอยู่ร่วมกันกับสัตว์อสูรวิญญาณทั้งคืนทั้งวัน บางครั้งก็จะมีเรื่องศิษย์ถูกกัดถูกทำร้าย เพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุสุดวิสัย ถึงได้เตรียมยาฟื้นฟูไว้” เฮยมู่อธิบาย

คำพูดของเฮยมู่ หลานเฟยเยว่ไม่ได้สนใจฟัง นางแค่เพียงรู้ว่ายาเม็ดนี้สามารถฟื้นฟูใบหน้าของนางให้กลับคืนดังเดิมได้เท่านั้น

ไม่คิดมาก นางเทยาในขวดลงในปาก

เมื่อยาเข้าปาก ก็ไหลลงไปตามแขนขาของนางในทันที มีพลังบางอย่างออกมาจากจุดตันเถียนของนาง ค่อยๆไหลขึ้นมาบนแก้มที่ได้รับบาดเจ็บของนาง ทำให้บาดแผลของนางเกิดความรู้สึกเจ็บชาเล็กน้อย ขณะที่นางค่อยๆ ยกมือขึ้นคิดจะจับเสียงของเฮยมู่ก็ดังขึ้น “คุณหนูเฟยเยว่ อย่าเพิ่งจับ ท่านต้องกลับไปพักผ่อน หนึ่งคืน นอนคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ถึงจะพบว่าใบหน้าของตนเองฟื้นคืนดังเดิม ทั้งยังจะงดงามขึ้นอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยมู่ หลานเฟยเยว่จึงเอามือลง

นางไม่มีอารมณ์จะอยู่ในห้องหนังสืออีกต่อไป หลังจากบอกลาบิดาแล้ว ก็กลับไปห้องของตนเอง ทำตามที่เฮยมู่บอก นอนลง เมื่อนอนตื่น นางก็ยังคงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนตู!

ส่วนเฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยก็ยังคงอยู่ในห้องหนังสือ ของประมุขตระกูลหลานต่อ พูดคุยถึงทุกเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนการฆ่ามู่ชิงเกอ

ครั้งนี้พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าหากไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือแล้วต้องเอาถึงชีวิตให้ได้!

การแข่งขันรอบที่สองของงานชุมนุมใหญ่หลินชวนได้ ผ่านมาเป็นเวลาสี่วันสามคืนแล้ว

นอกเหนือจากการแข่งขันในวันแรกแล้ว สามวันหลังจากนั้นมู่ชิงเกอก็ไม่ได้แข่งอีกเลย เพราะว่า ขอแค่เพียงนางเข้าไปในกรง ก็ไม่มีใครกล้ามาเสาะหาความโหดเหี้ยมกับนาง

ส่วนถ้าหากนางเข้าไปพบคนในกรง เพิ่งจะเข้าไป คนที่เข้ามาก่อนหน้า ก็จะวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง แทบจะไม่ได้สู้กับนางเลย

การแข่งขันที่น่าเบื่อเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอหมดความกระตือรือร้น แทบไม่อยากไปแข่งขันอีก จึงได้แต่นั่งอยู่ด้านนอก รอแต่การปรากฏตัวของเฉินปี้เฉิง

และอีกคืนหนึ่งก็มาถึง

ในหุบเขา คบเพลิงถูกจุดสว่างจ้าขึ้น ด้านบนกรง ก็ไม่รู้ว่าราชวงศ์ของอาณาจักรเซิ่งหยวนเอาสมบัติอะไรออกมา ถึงกลับสามารถลอยบนอากาศเหนือกรง เปล่งแสงสว่าง ดุจดั่งตอนกลางวัน ไม่ส่งผลต่อการแข่งขันในยามคํ่าคืนเลย

อย่างไรก็ตามผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันก็ไม่ได้ทำขึ้นจากเหล็ก

ถึงตอนกลางคืน ความเหนื่อยอ่อนของคนก็จะปรากฏให้เห็นได้มากกว่าในตอนกลางวัน ดังนั้น ถึงแม้ว่าการแข่งขันภายในกรงจะดูเหมือนแข่งในตอนกลางวัน แต่คนที่เข้ามาแข่งขันในกรงยามกลางคืนก็น้อยกว่าตอนกลางวันมาก

เวลาส่วนมาก ผู้เข้าแข่งขันของแคว้นต่างๆ ก็ล้วนไปนั่งอยู่ตามมุมหุบเขานั่งสมาธิพักผ่อน

จำนวนการแข่งขันในรอบที่สอง แต่เดิมก็ไม่มีจำกัด

ดังนั้น ถึงแม้ว่าทุกคนจะพักในเวลากลางคืนไม่มีใครไปบอกว่าไม่ถูกต้อง

มู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นมาพอดี นางลืมตาขึ้น เงยหน้ามองไป ฟ้าก็ได้เริ่มสว่างขึ้นแล้ว คํ่าคืนได้ผ่านไปอีกครั้ง คนที่เดินมาหานาง ก็คือจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย

ไม่กี่วันมานี้ทั้งสองคนก็ร่วมการแข่งขันของแคว้นตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่ก็สรุปได้ว่า ชนะมากกว่าแพ้ คะแนนในตอนนี้พวกเขาจึงยังคงตาม แคว้นระดับสองมาติดๆ ไม่ได้เกิดระยะห่างที่มากเกินไป ส่วนแคว้นฉินก็ยังคงนำโด่งเช่นเคย

มีองครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่ ความกดดันของแคว้นระดับสองต่อแคว้นระดับสามจึงหายไป และแน่นอนว่าก็มีสถานการณ์ที่ถูกลบคะแนนอยู่น้อยมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version