ตอนที่ 188-4
ตระกูลหลานขวัญกล้าเทียมฟ้า!
“เส้นทางเปิดออกแล้ว ไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะรอเวลาเมื่อใด!” ผู้อาวุโสเจ็ดระเบิดเสียงออกมา เรียกสติผู้คนที่ยืนเหม่อ
เฉินปี้เฉิงนำหน้าไป พาลูกศิษย์ตระกูลเฉินกระโดดเข้าไปในเส้นทางแห่งช่องว่าง หายไปต่อหน้าผู้คน
ผู้คนเห็นว่าหลังจากที่เฉินปี้เฉิงและพวกเข้าไปแล้ว เส้นทางที่ราวกับถํ้านั้นก็เหมือนกับดูดกลืนลงไป มีเฉินปี้เฉิงนำขบวนคนที่เหลือก็ทยอยตามเข้าไป
หวงฝู่ฮ่วนหมุนกายกลับมาพูดกับมู่ชิงเกอและพวกว่า “ทุกครั้งที่เส้นทางแห่งช่องว่างเปิดออกจะไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก พวกเจ้าก็อย่าได้เสียเวลาอยู่เลย เจ็ดวันให้หลังช่องว่างถึงจะเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้สิ่งที่จะออกมาได้คือยันต์เคลื่อนย้ายที่อยู่ในมือพวกเจ้า ดังนั้นจำไว้ให้แม่นว่าอย่าทำหายเป็นอันขาด” เขาพูดอย่างรวดเร็วด้วยต้องการจะประหยัดเวลา หลังจากพูดจบก็ถอยออกไปอยู่ด้านข้าง มู่ชิงเกอมองสบตากับเจียงหลี หมุนกายเอ่ยกับผู้ที่อยู่ข้างหลัง “ออกเดินทาง” จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในเส้นทางช่องว่างแล้วก็หายไป ไม่นานเมื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบหมดแล้ว ช่องทางที่ถูกเปิดออกก็ค่อยๆ ปิดสนิท แสงสว่างของกุญแจห้าดอกก็เปลี่ยนเป็นมืดดับ
หลังจากแน่ใจว่าทุกคนถึงที่หมายโดยปลอดภัยแล้ว จักรพรรดิหยวนก็ยกมือเรียกคืนกุญแจของตนเอง
ประมุขตระกูลต่างๆ ที่เหลือก็เรียกคืนกุญแจของตนเองตาม
นํ้าวนขนาดใหญ่ราวกับปากสัตว์กลางอากาศก็ค่อยๆเล็กลง
ผู้อาวุโสเจ็ดแหงนหน้าจ้องมองนํ้าวนที่กลายเป็นเล็กลงเขม็ง ในจังหวะที่นํ้าวนนั่นเหลือเพียงจุดสีดำ ดวงตาของเขาก็หดเกร็งอย่างรวดเร็ว สายตาฉายแววความเยือกเย็นเฉียบขาด เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ไม่ถูกต้อง! มีคนปะปนเข้าไปในนั้น!”
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา จักรพรรดิหยวนที่เมื่อครู่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกก็พลันสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ
ผู้อาวุโสเจ็ดใช้คำว่า ‘ปะปน’ นั่นหมายความได้เพียงว่าผู้ที่เข้าไปเป็นผู้ที่ไม่สมควรจะเข้าไป ผู้ที่ไม่ควรเข้าไปมีเพียงประเภทเดียว นั่นคือยอดฝีมือที่ระดับพลังเกินขีดจำกัดของช่องว่าง
ในขณะที่เขาเอ่ยออกมา จุดสีดำที่อยู่กลางอากาศนั่นก็หายไปแล้ว ด้านบนของเขตหวงห้ามในวังหลวงก็กลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิม ไม่มีร่อยรอยใดๆ
“ผู้อาวุโสเจ็ด ท่านโปรดพูดออกมาให้ชัดเจน” เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก จักรพรรดิหยวนสีหน้าเคร่งขรึมลงทันควัน เร่งถาม
มีคนปะปนเข้าไป?
ข้อมูลนี้ไม่ใช่มีเพียงจักรพรรดิหยวนที่ตกใจ สีหน้าของประมุขตระกูลต่างๆ ก็พลันเปลี่ยนไป
หวงฝู่ฮ่วนพอได้ยินก็ตกใจพูดไม่ออก เขาคิดว่าผู้ที่ปะปนเข้าไปนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอ คงมิใช่ว่า…สำนักหมื่นอสูร หอหลอมศาสตราและคนตระกูลหลานเสียสติไปแล้วจริงๆ ส่งคนปะปนเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบเพื่อจะเอาชีวิตของมู่ชิงเกอ?
หวงฝู่ฮ่วนสายตาเคร่งเครียด เดินพรวดเข้าไปอยู่ข้างกายหวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยกระซิบข้างหูอย่างรวดเร็ว
เวลาเดียวกันนี้เอง สีหน้าของผู้อาวุโสเจ็ดก็สุขุมเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ตัวข้ารับผิดชอบตรวจสอบระดับพลังของผู้คนที่จะเข้าไปในช่องว่าง ในชั่วขณะที่ช่องว่างปิดสนิท ตัวข้าก็สัมผัสได้ถึงการปรากฏของพลังของผู้แกร่งกล้าขั้นกักเก็บ”
ผู้แกร่งกล้าขั้นกักเก็บ!
คำนี้ทำเอาสีหน้าของผู้ที่อยู่ตรงนั้นเปลี่ยนสี “เหตุใดจึงมีผู้แกร่งกล้าขั้นกักเก็บเข้าไปได้?” ประมุขเฉินเอ่ยถามเสียงดัง
ประมุขฮวาก็ไม่ยอมให้เห็นว่าตนเองด้อยกว่า เร่งถามว่า “ช่องว่างแห่งการทดสอบไม่ใช่ว่าจำกัดด้วยระดับพลังชั้นหรอกหรือ? ผู้แกร่งกล้าชั้นกักเก็บเข้าไปได้อย่างไร?”
“ผู้อาวุโสเจ็ด ท่านสัมผัสได้ชัดเจนหรือไม่?” ประมุขจิ่งเอ่ยถามตามมา
พวกเขาต่างก็มีคนรุ่นหลังที่เก่งกล้าสามารถอยู่ข้างในนั้น หากผู้แกร่งกล้าชั้นกักเก็บปะปนเข้าไปจริงๆ และฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาไม่ดี ผลลัพธ์ที่ตามมา พวกเขา ตระกูลใดๆ ก็รับไว้ไม่ไหว
ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยยืนยัน “นั้นเป็นกลิ่นไอของผู้แกร่งกล้าชั้นกักเก็บ ข้ามั่นใจว่าไม่ผิดแน่ พวกเขาจะต้องใช้วิธีพิเศษอะไรบางอย่างปิดฟ้าข้ามทะเลระดับพลังของตนเองปะปนเข้าไปในนั้น”
“จำเป็นต้องเปิดช่องว่างขึ้นใหม่ทันที หาผู้ที่ปะปนเข้าไปให้เจอ” ประมุขฮวาเอ่ยเสนอแนะ
แต่ว่า ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ช่องว่างเปิดออกกุญแจจำเป็นต้องเย็นตัวลง อีกอย่างระยะเวลาที่จะให้เย็นตัวลงก็คือเจ็ดวัน
ระยะเวลาเจ็ดวัน ผู้แกร่งกล้าขั้นกักเก็บจะทำสิ่งใดบ้างก็ไม่มีผู้ใดทราบ หากเขาต่อสู้อยู่ภายในตามอำเกอใจสุดท้ายแล้วช่องว่างแห่งการทดสอบก็จะรับไม่ไหวพังทลาย เมื่อถึงเวลานั้นแล้วผู้ที่เข้าไปข้างในก็ไม่มีชีวิตรอด
“ประมุขหลาน เหตุใดท่านจึงไม่พูดอะไรบ้าง?” จู่ๆ หวงฝู่เฮ่าเทียนก็เอ่ยถามประมุขตระกูลหลานที่อยู่ในความสงบนิ่ง
คำพูดของเขา ทำให้ทุกคนพุ่งมองมาที่เขา
ความเงียบของประมุขตระกูลหลานทำให้ประมุขตระกูลอื่นเกิดความสงสัย
ประมุขตระกูลฮวาเอ่ยถามเสียงแหลม “ประมุขหลาน บุตรสาวของตระกูลท่านก็อยู่ข้างใน หรือว่าท่านไม่กังวลใจเลยสักนิด?”
ประมุขตระกูลหลานแค่นยิ้มเย็นชา “ข้ามีอะไรให้ต้องกังวลใจกัน? เฟยเยว่มิได้ไปล่วงเกินใครเสียหน่อย”
“ประมุขหลาน ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยถามเขาเสียงดัง
แต่ประมุขตระกูลหลานกลับไม่สนใจแม้แต่น้อยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหมายความเช่นไร? พวกท่านจะได้รู้ในเร็วๆ นี้ ไปเถอะ เจ็ดวันให้หลังต่างก็รู้ผล”
“ท่าน!” ประมุขตระกูลฮวาหายใจถี่รัวด้วยความโกรธ ประมุขตระกูลจิ่งและประมุขตระกูลเฉินสบตากัน ประมุขตระกูลจิ่งเอ่ยถาม “ประมุขหลาน เรื่องนี้ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?”
ประมุขตระกูลหลานเผยรอยยิ้มที่แฝงความทะนงตนเช่นเคย “ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”
หลักฐาน? หากมีหลักฐาน พวกเขาจะปล่อยให้เจ้าคนแซ่หลานนี่ทำตัวยโสโอหังอยู่ที่นี่หรือ?
สีหน้าของแต่ละคนไม่น่าดูพากันเงียบสนิท นี่ก็เหมือนกับจะทำให้ประมุขตระกูลหลานอารมณ์ดี เขายิ้มเยาะ เอ่ยขึ้นว่า “หากคิดจะเปิดช่องว่างแห่งการทดสอบ เว้นแต่ว่าจะไปยังตำหนักหลีกงทูลขอให้มหาปราชญ์ออกหน้าลงมือ ไม่เช่นนั้นก็รอไปอีกเจ็ดวัน แต่ว่าตอนนี้เหตุการณ์ใดๆ ล้วนไม่ได้เกิดขึ้น พวกท่านมั่นใจแล้วหรือที่จะนำเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไปรบกวนมหาปราชญ์?”
พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป
“เรื่องนี้เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน!” ประมุขตระกูลฮวามองแผ่นหลังของประมุขตระกูลหลานแล้วเอ่ยด้วยท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสุขุมว่า “เมื่อครู่นี้ ฮ่วนเอ่อร์บอกข้าว่า ระยะนี้ตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูร และหอหลอมศาสตราลอบไปมาหาสู่ เกรงว่านี่จะเป็นแผนการแก้แค้นคุณชายมู่”
ประมุขอีกสามตระกูลที่เหลือพลันสีหน้าเปลี่ยนสีในทันใด
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ตอนที่ผู้แกร่งกล้าขั้นกักเก็บลงมือกับมู่ชิงเกอเขาจะนั่งรอความตายงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรหรือไม่?
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้!
เมื่อเขาลงมือ ด้วยพละกำลังของเขาแล้วย่อมต้องเป็นสงครามที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ช่องว่างแห่งการทดสอบยังจะสามารถรับไหวหรือไม่?
หากรับไม่ไหวแล้วละก็ เช่นนั้น…
ผลที่ตามมา ทั้งสามตระกูลต่างไม่กล้าที่จะคาดคิด
“ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท!”
ประมุขทั้งสามตระกูลมองไปยังหวงฝู่เฮ่าเทียน
หวงฝู่เฮ่าเทียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤต เอ่ยกับผู้อาวุโสเจ็ดว่า “ผู้อาวุโสเจ็ด ท่านพาฮ่วนเอ่อร่ขึ้นไปยังตำหนักหลีกง ไม่ว่าอย่างไรจะต้องขอเข้าเฝ้ามหาปราชญ์ให้ได้ นำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดบอกเล่าแก่ท่านอย่าได้ตกหล่น ถึงตอนนี้ก็มีเพียงเขาผู้เดียวที่สามารถเรียกทุกอย่างกลับคืนมาได้”
ผู้อาวุโสเจ็ดพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม พาร่างหวงฝู่ฮ่วนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาผู้คน
“ตอนนี้พวกเราทำได้แค่เพียงรอหรือ?” ประมุขตระกูลฮวาเอ่ยด้วยความกังวล
หวงฝู่เฮ่าเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนนี้ได้แต่หวังว่าหากประสบอันตราย พวกเขาจะสามารถใช้ยันต์เคลื่อนย้ายในมือออกมาได้”
ผืนฟ้าราวคันฉ่องสีนํ้าเงินเรียบสนิทที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย
พื้นดิน ต้นหญ้าสีเขียวขจีพลิ้วไหวตามแรงลม สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับดินแดนสวรรค์ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์สิ่งที่อยู่ในสายตาคือทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ไกลๆ นั้นยังมีสัตว์อสูรกำลังก้มหน้าแทะเล็มต้นหญ้า
มู่ชิงเกอยืนอยู่ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียว รู้สึกได้ถึงอากาศอันสดชื่น อุทานขึ้นในใจ ‘ที่นี่ก็คือโลกของช่องว่างแห่งการทดสอบหรือ’