Skip to content

พลิกปฐพี 19

ตอนที่ 19

ร่างกายที่เปลี่ยนไป เชิญเธอเข้าวัง

สวนสระเมฆา ตระกูลมู่ ฟ้าค่อยๆ สว่าง ช่วงรอยต่อระหว่างความมืดและแสงสว่าง ปรากฏแสงสีส้มอมแดงที่เริ่มส่องประกาย

มู่เกอที่นั่งขัดสมาธิฝึกเวทพลังอยู่บนเตียงลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา

เมื่อลืมตาขึ้นก็สบตาเข้ากับร่างโปร่งแสงที่ลอยอยู่ห่างจากเธอไปไม่ถึง 3 ฉื่อ

“เจ้าฝึกฝนพลังได้แล้ว!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจบวกกับท่าทางที่ตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่มู่เกอเห็นมู่ชิงเกอมีอารมณ์ที่หลากหลายแบบนี้

“ได้แล้วเหรอ ที่แท้ความรูสึกที่เหมือนมีอะไรพุ่งเข้ามาในทุกส่วนของร่างกายแบบนั้น เป็นผลจากการที่ดึงพลังเข้าไปในตัวเหรอ” เทียบกับความดีใจและไม่อยากจะเชื่อของมู่ชิงเกอแล้ว มู่เกอดูนิ่งมาก

มู่เกอไม่ได้อธิบายให้มู่ชิงเกอหายข้องใจ เธอก้มหน้าลง ค่อยๆคิดย้อนไปถึงความรูสึกจากการฝึกเวทพลังเมื่อคืน

เมื่อคืน หลังจากที่กลับจากห้องหนังสือของมู่ซง เธอก็สั่งให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยออกไป หลังจากนั้น เธอถึงมีเวลาฝึกเวทพลังตามที่มู่ชิงเกอบอก

เริ่มแรก เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่า เป็นเพราะวิญญาณของเธอเป็นวิญญาณของ คนในยุคปัจจุบันจึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงเคล็ดในการฝึกเวทพลังของคนยุคโบราณ

แต่ว่า ตอนที่เธอพยายามท่องเคล็ดวิชานั้นในใจซํ้าไปมา สงงบจิตใจของตนเองลง เธอก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าเธอสามารถสัมผัสได้ว่ารอบๆ ตัวเธอมีอะไรบางอย่างที่ส่องประกายแววววาว เต็มไปด้วยพลังจำนวนมากวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ ตัว แสงพวกนั้นไม่สามารถจับต้องได้ แต่ราวกับว่ามันโดนเรียก ให้วิ่งเข้าสู่ผิวหนังทุกส่วนของตัวเธอ และไหลเวียนไปตามเส้นเลือด

ความรู้สึกอบอุ่น ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนอยู่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น พอเธอหลุดจากความรู้สึกแบบนั้น เธอก็ลืมตาขึ้น คำว่าชั่วครู่หนึ่งของตัวเธอ ในความเป็นจริงแล้ว มันคือทั้งคืน

“ดูเหมือนว่า ยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอนี้จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” มู่เกอพึมพำ ไม่ว่าอย่างไร เธอก็สามารถฝึกฝนพลังได้แล้ว มิใช่หรือ?

เมื่อสามารถฝึกพลังได้แล้ว เธอจะค่อยๆ ทำให้คนบางคนรู้ว่า อะไรที่เรียกว่า คนไร้ค่า!

นึกถึงอันตรายรอบด้านที่ตระกูลมู่ต้องเผชิญ และเธอก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย มู่เกอก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น

“เจ้าทำอย่างไร? เหตุใดจึงฝึกได้” มู่ชิงเกอคิดย้อนไปถึงร่างกายในอดีตของนาง ในสายตาเต็มไปด้วยความสับสน

ถ้าเกิดปาฏิหาริย์แบบนี้ขึ้นตอนนางยังมีชีวิตอยู่ บางทีทุกอย่างก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้

มู่เกอเหลือบมองนาง ลุกขึ้นปัดชุดผ้าไหมสีแดงดั่งเปลวเพลิงของตนเอง พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ได้ทำอะไรนี่ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ฟ้าส่งมาให้เป็นของขวัญหลังการฟื้นคืนชีพก็ได้”

มู่ชิงเกอไม่ได้ติดตามตัวเธออยู่ตลอดเวลา หรือควรจะบอกว่า นางจะปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่มู่เกอต้องการ เพราะฉะนั้น เรื่องการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ มู่ชิงเกอไม่รู้ และมู่เกอก็ไม่คิดที่จะบอกด้วย

“เจ้าสามารถฝึกฝนเวทพลังได้แล้ว นี่ถือว่าเป็นข่าวดีรีบไปบอกท่านปู่เร็วเข้า!” จริงๆแล้ว มู่ชิงเกอก็รู้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นแค่วิญญาณ แม้ว่าร่างกายจะสามารถฝึกเวทพลังได้แล้ว แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่นางเพียงอยากจะให้มู่เกอบอกเรื่องราวปาฏิหาริย์นี้ให้มู่ซงได้รับรู้ บางทีอาจเป็นเพราะการที่ร่างกายนางไม่อาจฝึกเวทพลังได้จึงทำให้ภายในจิตใจลึกๆ ของหญิงสาวรู้สึกผิดต่อมู่ซงนัก

แต่ว่า มู่เกอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “สถานการณ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้ เรื่องบางเรื่องไม่พูดจะดีกว่า” มู่เกอยกมือขึ้นหยุดสิ่งที่มู่ชิงเกอกำลังจะพูด สายตากระจ่างใสแต่เย็นชามองไปที่นาง “จะบอกเมื่อไหร่นั้น ข้าจะตัดสินใจเอง”

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจมู่ซงแต่เรื่องนี้มีคนรู้มากขึ้น1 คน ก็จะต้องเสี่ยงอันตรายมากขึ้นอีก 1 ส่วน

ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แบบนี้เธอ ไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของใคร

ตอนนี้เรื่องที่ตระกูลมู่มีผู้สืบสกุลที่เป็นจอมเสเพลไร้ค่าที่ไม่อาจฝึกเวทพลังได้อยู่นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเหมาะสมดีแล้ว

มู่ชิงเกอเงียบ ในสายตาแฝงด้วยความรู้สึกไม่เห็นด้วย

มู่เกอไม่อยากจะสนใจ แต่เลิกคิ้วถามนางว่า “เจ้าลองคิดดูว่ายังมีเรื่องอะไรอีกที่ปิดบังข้าอยู่ คิดดูให้ละเอียด แล้วเรียบเรียงให้ดี จากนั้นก็ค่อยเล่าให้ข้าฟังอย่างไม่มีตกหล่น”

เมื่อคืนตอนที่เธออยู่ในห้องหนังสือของมู่ซง เรื่องของคู่หมายทำให้เธอตกใจจนแทบจะตั้งสติไม่ได้

มู่เกอใช้นํ้าเลียงแฝงแววข่มขู่ ทำให้ร่างโปร่งแสงของมู่ชิงเกอสั่นสะท้าน นางเม้มปากแน่นแล้วก้มหน้าลง

“คุณชายตื่นหรือยังเจ้าคะ? มีกงกงจากในวังมาถ่ายทอดราชโองการ นายท่านผู้เฒ่าให้บ่าวมาตามท่าน” จู่ๆ เสียงของโย่วเหอก็ดังขึ้นที่ด้านนอกประตู

คนจากในวังมาหรือ?

มู่เกอขมวดคิวอย่างแปลกใจ กวาดสายตามองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เปิดประตูแล้วเดินออกไป ฝึกจิตมาทั้งคืน เธอไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เมื่อมาถึงโถงหลักในเรือนหน้าของตระกูลมู่พร้อมกับโย่วเหอ มู่เกอก็เห็นขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการจากในวัง

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ในโถงหลัก มือข้างหนึ่งประคองม้วนผ้าไหมสีเหลือง ส่วนมืออีกข้างก็ใช้นิ้วกรีดกรายยกชาขึ้นดื่ม ใบหน้าทาแป้งหนากว่าผู้หญิงเสียอีก

เอวที่แค่บิดก็คงจะหักนั้นรัดไว้ด้วยสายรัดเอวที่ด้านบน ปักด้วยภาพปักที่หลากหลาย

คนแบบนี้มาปรากฏตัวที่จวนตระกูลมู่ ทำให้มู่เกอรู้สึก เย็นวูบ

ที่ตำแหน่งประธานมีมู่ซงนั่งอยู่ด้วย แน่นอนไม่ใช่เพราะว่าตัวกงกงมีอำนาจยศศักดิ์มาก แต่เป็นเพราะม้วนผ้าไหมสีเหลืองในมือเขาต่างหาก

“โอ คุณชายมาแล้ว! ท่านให้ข้ารอนานมาก”

เสียงที่จงใจดัดให้ฟังดูนิ่มนวล พลันทำให้มู่เกอรู้สึกขนลุกขนพองทันที ในใจนึกอยากจะอาเจียนออกมา

‘เจ้าตัวประหลาด! ไปให้ไกลๆ จากข้าเลยนะ!’

มู่เกอก็ทำหน้านิ่ง ปัดกลิ่นแป้งที่ลอยมาจากใบหน้าเขาแล้วเดินไปหามู่ซง

มู่ซงเห็นปฏิกิริยาของหลานชาย ก็แอบหัวเราะแล้วพูดว่า “หวงกงกง เกอเอ๋อร์ก็มาแล้ว ท่านอ่านราชโองการเถิด อย่าทำให้เรื่องขององค์ฮ่องเต้ต้องล่าช้า”

หวงกงกงเห็นว่ามู่เกอหลบเลี่ยงเขาอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ ก็ใช้สายตาปั้นปึ่งมองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนเปิดม้วนผ้าไหมสีเหลืองในมือ ชูคอขึ้นอ่านเสียงดัง “รับราชโองการ ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกตัวมู่ขิงเกอเข้าวัง เป็นพระกรุณาธิคุณยิ่งแล้ว!”

ระหว่างที่ก่ายทอดคำสั่งนั้นสองปูหลานไม่คุกเข่าไม่คารวะ ขันทีผู้ถ่ายทอดราชโองการก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อย่างไรเสียที่เขามาก็เพื่อมาส่งข่าว ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่างด้วยฐานะของหย่งหนิงกงในแคว้นฉิน แน่นอนว่าไม่ต้องโขกหัวคำนับ ส่วนคุณชายก็เป็นจอมเสเพลหยิ่งยโสที่มีนายท่านผู้เฒ่าคอยรักและให้ท้าย แน่นอนว่าก็ไม่ต้องทำเช่นกัน

หวงกงกงรู้ดี ว่าท่าทีของสองปู่หลานนี้ แม้ว่าจะไปอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็คงจะยังเป็นเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้นก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียจะดีกว่า

“คุณชาย ท่านเตรียมตัวเสร็จหรือยังขอรับ ถ้าเสร็จแล้วก็ไปพร้อมกับข้าเถิด อย่าทำให้องค์ฮ่องเต้ต้องคอยนาน” หวงกงกงส่งราชโองการให้แก่มู่เกอ พูดด้วยใบหน้าประจบประแจง

ในมือของมู่เกอถือราชโองการสีเหลืองของฮ่องเต้เอาไว้ พึมพำในใจว่า : เข้าวังไปพบฮ่องเต้งั้นรึ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version