Skip to content

พลิกปฐพี 20

ตอนที่ 20

ไทเฮาทรงเรียกพบ คู่หมายมาแล้ว

ตำหนักฉือเสียง พระราชวังแคว้นฉิน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประทับขององค์ไทเฮา ห่างไกลจากท้องพระโรงและสามวังหกตำหนักของฮ่องเต้

ไทเฮาในตอนนี้ซึ่งก็คือพระมารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้ หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์พระนางก็อยู่แต่ในตำหนักฉือเสียงน้อยครั้งนักที่จะออกมา

วันปกติ หากไทเฮาไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ยากที่จะเข้าไปในตำหนักฉือเสียงได้ แต่วันนี้ ประตูตำหนักฉือเสียงกลับเปิดกว้าง ดูท่าจะต้องมีผู้ใดมาแน่ๆ

เสียงหัวเราะดังมาจากด้านในตำหนักฉือเสียง

เสียงหัวเราะนั่นมีความน่าเกรงขามด้วยวัยที่มากกว่าไร้ซึ่งความหยิ่งยโส

แม้จะเป็นแบบนั้น แต่คนที่มาเข้าเฝ้าถวายพระพรก็ไม่มีใครกล้าประมาทเจ้าของเสียงนี้แม้แต่น้อย กระทั่งผู้ที่องค์ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้อย่างเจียงกุ้ยเฟยเอง ยามนี้ก็ทำได้เพียงยิ้มๆ สังเกตอารมณ์ของผู้ที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งอย่างระมัดระวัง

ในตำหนักหลัก นอกจากนางกำนัลแล้ว มีคนอยู่ไม่เกิน 4 คน

ในนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้าของตำหนัก แม้ว่าใบหน้าจะดูชรา แต่ก็ยากที่จะลบเลือนความสง่างามเมื่อครั้งอดีตไปได้ นางสวมชุดตัวยาวที่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อดีหรูหรางดงาม ด้ายสีทองปักเป็นลวดลายหงส์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของหญิงสูงศักดิ์ในราชวงค์ บนศีรษะกลับไม่ได้ประดับเครื่องประดับอะไรมากนัก บนข้อมือซ้ายของนางสวมลูกประคำที่ทำมาจากไม้ของต้นโพธิ์ที่ แกะสลักออกมาอย่างประณีต

ด้านหลังนาง มีแม่นมชราคนหนึ่งยืนอยู่ แม่นมผู้นั้นใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบ

การยืนแบบนี้ ทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าแม่นมชราที่อยู่ต่อหน้าหญิงผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแควันฉิน มีตำแหน่งใด ด้านซ้ายขวาของไทเฮา มีหญิงสาวสองนางนั่งตัวตรง ด้วยท่าทางเรียบร้อย ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูคล้ายกันอยู่หลายส่วนของพวกนาง และความห่างกันของอายุแล้ว ก็พอจะดูออกว่าพวกนางเป็นแม่ลูกกัน

แต่ว่าเมื่อเทียบกับใบหน้าอันเย้ายวนของผู้เป็นมารดาแล้ว บนร่างของสาวน้อยผู้สูงศักดิ์นางนั้นมีความเป็นกุลสตรีที่มั่นใจในตัวเอง ดูสูงส่งและนิ่งสงบเพิ่มเข้ามาด้วย

“ไทเฮา ท่านทรงอย่าล้อเหยาเอ๋อร์เล่นเลยเพคะ นางยังเด็ก หม่อมฉันยังอยากให้นางอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันไปอีกหลายๆ ปี” เจียงกุ้ยเฟยเอาผ้าเช็ดหน้าที่ถือไว้มาปิด

ปากแล้วหัวเราะเบาๆ ท่าทางออดอ้อน เกรงว่าผู้ที่กล้าเสแสร้งแสดงท่าทางออดอ้อนแบบนี้กับไทเฮาต่อหน้าบุตรสาวคงจะมีแต่เจียงกุ้ยเฟยผู้นี้เท่านั้นที่ทำได้

สำหรับการแสดงออกของผู้เป็นมารดานั้น องค์หญิงฉางเล่อ ฉินอี้เหยา ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมามากนัก ใบหน้าสงบนิ่งราวกกับว่าผู้ที่ไทเฮาพูดถึงเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ตัวนางอย่างไรอย่างนั้น ไทเฮานับลูกประคำในมืออย่างเนิบช้า หัวเราะแล้วตำหนิเจียงกุ้ยเฟยว่า “ยังเด็กอะไรกัน? ในแคว้นฉินเรา ผู้หญิงอายุ 13 ปีก็ถึงวัยปักปิ่น สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว อายุของเหยาเอ๋อร์ปีนี้ก็ 15โตเป็นสาวแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าต้องรอให้เจ้าหนุ่มตระกูลมู่เข้าพิธีสวมหมวกเสียก่อน ป่านนี้เจ้าก็คงจะได้อุ้มหลานแล้ว” เจียงกุ้ยเฟยริมฝีปากแข็งทื่อ แอบมองลูกสาวแวบหนึ่ง แต่เห็นเพียงนางนั่งนิ่งราวกับรูปสลักอันสง่างาม ไม่ได้มีท่าทีเขินอายแบบที่หญิงสาวทั่วปพึงมีเมื่อได้ยินเรื่องแต่งงานของตนเองเลยสักนิด สีหน้าก็เคร่งขรึมลง ดีที่ไทเฮาไม่ได้ทรงสังเกต แต่ตรัสเอาเองว่า “ลองนับวันเวลาดูแล้ว เจ้าหนุ่มบ้านตระกูลมู่ก็ใกล้ถึงเวลาเข้าพิธีสวมหมวกแล้วสินะ”

คำพูดของพระนาง เหมือนพึมพำกับองค์เอง แต่ก็ราวกับกำลังกำลังเอ่ยถาม

แม่นมที่คุ้นชินกับท่าทางของพระนางแล้วค่อยๆ ค้อมกายลงแล้วพูดเสียงตํ่าว่า“ใช่แล้วเพคะ อีก 1 ปี คุณชายตระกูลมู่ก็จะเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว”

ถ้าได้เข้าพิธีสวมหมวก ก็แสดงว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องงานมงคลระหว่างตระกูลมู่กับทางราชวงค์ก็ควรจะเริ่มกำหนดวันได้แล้ว

ไทเฮาพยักหน้า ในพระทัยได้มีแผนเอาไว้แล้ว

เท่าที่นางเห็น เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ก็เหลือพียงมู่ชิงเกอคนเดียวและมู่ชิงเกอก็เป็นแค่พวกเสเพลไม่เอาไหน ถ้าให้เขาสืบทอดตระกูลมู่ แน่นอนว่าตระกูลมู่จะ ต้องจบสิ้นลงอย่างแน่นอน บัดนี้ ทางราชวงศ์ได้ยกองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ให้แต่งเข้าตระกูลมู่ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตเชื้อสายของตระกูลมู่จะถูกกลืนด้วยอำนาจของราชวงศ์ชื่อเสียงของตระกูลมู่เองก็จะดีขึ้นด้วย แล้วจ ลำบากคิดวางแผนจนนำมาซึ่งการนองเลือดทำไม?

ไทเฮาดำริในใจ มองไปทางฉินอี้เหยาที่ไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าดวงนั้น ได้จุดเด่นของบิดามารดามา ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ดั่งดอกไม้ สวยงามดั่งเทพธิดา จนได้รับการขนานนามว่า งามเป็นหนึ่งในปฐพี และสิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือ นางเกิดมาพร้อมกับความสูงศักดิ์และโดดเด่น ยิ่งทำให้นางดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าหญิงสาวทั่วไป ยกคนแบบนี้ให้กับจอมเสเพลตระกูลมู่ ก็ไม่ถือว่าทำให้พวกเขาเสียเปรียบแต่อย่างใด

ไทเฮาแอบถอนหายใจ ตรัสกับฉินอี้เหยาด้วยความรักและเอื้อเอ็นดูว่า “เหยาเอ๋อร์ของเรายิ่งโตก็ยิ่งสวย เจ้าเด็กตระกูลมู่นี่ช่างโชคดีจริงๆ เลย”

“เสด็จย่าก็ชมเกินไปเพคะ” เมื่อโดนไทเฮาระบุชื่อ ฉินอี้เหยาใบหน้าก็ยังคงนิ่งเฉย เพียงตอบไปตามมารยาทของวังหลวงเท่านั้น

น้าเสียงตอบแบบพอเป็นพิธีและเย็นชา ทำให้เจียงกุ้ยเฟยเริ่มกลัวว่าลูกสาวจะทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัยและอาจทำให้ไทเฮาหาเรื่องลงโทษนางได้

ฉะนั้นนางจึงตำหนิว่า “เหยาเอ๋อร์ควรต้องตอบไทเฮาอย่างไร ธรรมเนียมปฏิบัติที่แม่สอนเจ้าไป เจ้าลืมหมดแล้วรึ?”

“เหยาเอ๋อร์ไม่กล้าลืมหรอกเพคะ” ฉินอี้เหยาก้มหน้า นํ้าเสียงที่ตอบกลับยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม

“พอเถอะ พอเถอะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย นิสัยเย็นชาของหยาเอ๋อร์ข้าก็ไม่ได้เพิ่งรู้จักวันนี้เสียเมื่อไร ที่เรียกให้พวกเจ้ามาในวันนี้ เพราะว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้เจ้าหนุ่มตระกูลมู่เข้าวัง” ไทเฮาพูดพร้อมโบกหัตถ์ไปมา

เจียงกุ้ยเฟยได้ยินแล้วนิ่งอึ้ง แอบคิดในใจ ฮ่องเต้มีคำสั่งให้มู่ชิงเกอเข้ามาในวัง ทำไมนางถึงไม่รู้ข่าวอะไรเลย

และฉินอึ้เหยาที่ทำทำทางเย็นชาไม่รู้สึกรู้สาราวกับเป็นคนนอกก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาในทันที ขนตางอนยาว งอนราวกับปีกผีเสื้อสั่นระริกเบาๆ

ยังไม่ทันที่เจียงกุ้ยเฟยจะเอ่ยอะไร ไทฮาก็ตรัสต่อว่า “ข้าให้คนไปเรียกเจ้าหนุ่มตระกูลมู่มาแล้ว ได้ข่าวว่าช่วงที่ผ่านมาเจ้าหนุ่มนี้ต้องประสบกับความทุกข์ยากมาไม่น้อย พวกเจ้าทั้งสอง คนหนึ่งเป็นแม่ยายในอนาคตของเขา อีกคนเป็นว่าที่ภรรยา วันนี้ต้องแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเขาให้ดีล่ะ โดยเฉพาะเจ้าเหยาเอ๋อร์ เจ้ากับชิงเกอก็นับได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน แต่ว่าชายหญิงมีความแตกต่าง จึงทำให้ค่อยๆ ห่างเหินกันไป ยังไงสักวันเจ้าก็ต้องแต่งเข้าตระกูลมู่ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ยิ่งลึกซึ้ง อนาคตของเจ้าก็จะยิ่งมีความสุข วันนี้เจ้าก็พาชิงเกอไปเดินเล่นในตำหนักเสียหน่อย รอเขาจะออกจากวังเมื่อไร เจ้าค่อยออกไปพร้อมเขา หลังจากนั้นเจ้าก็ค่อยกลับตำหนักองค์หญิงฉางเล่อของเจ้าก็แล้วกัน”

สิ่งที่ไทเฮาตรัสออกมาคือสิ่งที่พระนางตัดสินพระทัยแล้ว ไม่เหลือพื้นที่ให้ปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย

กฎหมายของแคว้นฉินกำหนดว่าองค์ชายและองค์หญิง เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วจะต้องย้ายออกจากวัง เพื่อไปสร้างตำหนักเป็นของตัวเอง ตอนนี้ที่ยังอยู่ในพระราชวังก็คงมีแค่องค์ชายองค์ที่ 7 ที่พระชนมายุเพียง 9 ชันษา เท่านั้น

“ไทเฮา คือ……………… อย่างไรเสีย เหยาเอ๋อร์ก็ยังไม่ได้แต่งงาน” เจียงกุ้ยเฟยไม่ได้ยินดีกับการแต่งงานของบุตรสาวตนเองตั้งแต่แรก จากที่นางดูนางสามารถหลอกใช้มู่ชิงเกอจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ก็จริงอยู่ แต่กลับไม่คุ้มค่ากับบุตรสาวของนางเลย บุตรสาวของนางควรจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้

เช่น แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายเมืองอื่น แลกมาซึ่งความช่วยเหลือที่จะมีให้นางในอนาคต หรือจะใช้ความสามารถอันโดดเด่นและรูปลักษณ์อันงดงามของบุตรสาว เพี่อให้ได้มาซึ่งพวกพ้องที่มีความสามารถ อย่างไรก็ตาม บุตรสาวของนางทำไมจะต้องไปเสียเปรียบให้กับเจ้าเสเพลที่ไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้แบบนั้นด้วย

แต่ว่าไทเฮากลับไม่เข้าใจ สะบัดแขนเสื้อกล่าวว่า “พอเถอะ ใต้หล้านี้ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าสวามีในอนาคตของเหยาเอ๋อร์เป็นผู้ใด ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของทั้งสองคน คนมากมายต่างก็อิจฉา ยังจะมาพูดไร้สาระอยู่ไย” พูดจบไทเฮาก็ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความฉลาดหลักแหลมมองไปที่ฉินอี้เหยาแล้วกล่าวว่า “ที่ย่าพูด เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

ฉินอี้เหยาเม้มปาก แพขนตาสั่นเทาอยู่หลายครั้ง แล้วจึงค่อยพยักหน้า “เหยาเอ๋อร์ทราบแล้วเพคะ”

“แบบนั้นสิถึงจะเป็นเด็กดี เป็นหลานรักของย่า องคหญิงแห่งแคว้นฉิน” ไทเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version