ตอนที่ 89-4
ราชาผู้หวนกลับมา!
พูดถึงเรื่องนี้รอยยิ้มของมู่เหลียนหรงก็พลันหายไปในทันทีพลางพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เด็กคนนี้เก็บซ่อนพลังไว้ดีมาก ข้ากับท่านปู่ของเจ้าวางแผนกันจึงทำให้รู้ว่าในมือของนางมีของลํ้าค่าที่ร้ายกาจอยู่อย่างหนึ่ง หนึ่งชิ้นแบ่งได้สองส่วน หากว่าชิ้นใดชิ้นหนึ่งถูกวางไว้อีกที่ ไม่ว่าจะห่างกันมากเพียงใดก็จะได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างจากอีกครึ่งที่อยู่กับตัว”
มู่ซงถอนหายใจ “สมบัติอันลํ้าค่าเช่นนี้มีน้อยมาก นางไม่มีความสามารถมากพอที่จะหามาได้หรอก”
“ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือรุ่ยอ๋องเป็นคนมอบให้นาง” มู่ชิงเกอพูดแทนท่านปู่ในสิ่งที่เขาไม่อยากจะพูด ท่ามกลางพวกเขาทั้งสามคน หากจะมีใครคนหนึ่งที่รู้สึกสับสนกับป๋ายซีเยวี่ยมากที่สุด คนผู้นั้นก็คงจะเป็นท่านปู่มู่ซง เพราะอย่างไรก็ตาม บิดาของป๋ายซีเยวี่ยก็เสียชีวิตเพราะช่วยชีวิตเขาในสนามรบ รับตัวป๋ายซีเยวี่ยมาอยู่ในจวนตระกูลมู่ก็นานหลายปี เขาเองปฏิบัติกับนางเป็น เหมือนหลานสาวแท้ๆ มาโดยตลอด ไม่เคยให้ถูกเอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย
เสียดายที่ป๋ายซีเยวี่ยมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินไป ไม่เห็นถึงความดีของตระกูลมู่และยังไปอยู่ข้างรุ่ยอ๋อง
ความจริงประการนี้ ทำให้มู่ซงยากจะยอมรับ แต่ก็จำ เป็นต้องยอมรับมันให้ได้
พอได้ยินท่านปู่ถอนหายใจ มู่ชิงเกอจึงพูดปลอบประโลมเขาว่า “ท่านปู่ นางไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว นับตั้งแต่ที่นางมีความลับต่อเรา ใจของนางก็ไม่อยู่ข้างจวนตระกูลมู่อีกต่อไป ทั้งหมดในตอนนี้นางเป็นผู้เลือกเอง ในตอนนี้ที่ข้าสามารถอภัยให้นางได้นอกจากเหตุผลที่ว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างท่านปู่และตระกูลป๋ายนั้นก็คือนางยังไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้ตระกูลมู่เสียหายจริงๆ แต่หากว่านางทำอะไรให้ตระกูลมู่ได้รับผลเสีย ข้าจะไม่ปรานีโดยเด็ดขาด นางเป็นคนเลือกทางเดินของตนเอง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนางต้องเป็นคนรับด้วยตัวเอง”
มู่ซงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้ปฏิเสธความคิดของมู่ชิงเกอ
มู่เหลียนหรงอ้าปากราวกับกำลังจะช่วยพูด แต่ทว่าพอเห็นใบหน้าที่แฝงความเย็นเยียบของมู่ชิงเกอก็พูดอะไรไม่ออกและกลายเป็นเพียงเสียงถอนหายใจ
นางยอมรับว่าที่มู่ชิงเกอพูดนั้นถูก แต่จะให้นางทนเห็นสาวน้อยที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เดินเข้าสู่หน้าผาทีละก้าวทีละก้าวแบบนี้ในใจของนางก็รู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก
แต่ว่า ช่วงที่ผ่านมานี้นางแอบเตือนป๋ายซีเยวี่ยไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่นางกลับยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร บางทีก็อาจจะเป็นอย่างที่มู่ชิงเกอพูด ผลลัพธ์ทั้งหมด จากการเลือกในครั้งนี้นางต้องยอมรับมันด้วยตัวของนาง เอง หลังจากที่พูดในสิ่งที่ควรพูดจนหมดสิ้นแล้ว มู่ซงก็พูดกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์เจ้าจำเป็นต้องเข้าไปในวังหลวงเพื่อกราบทูลฮ่องเต้เรื่องที่เจ้ากลับมา สามวันหลังจากนี้ก็จะเป็นพิธีสวมหมวกของเจ้า ข้ากับท่านอาของเจ้าได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่ทว่า ต้องทำให้เจ้าลำบากอีกแล้ว” พูดจบ เขาก็ตบไหล่ของมู่ชิงเกออย่างรู้สึกผิดทีหนึ่ง
“ท่านปู่ ไม่เป็นอะไร นี่ก็แค่พิธีการก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอพูด อย่างไม่ใส่ใจ
พิธีสวมหมวกเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชายหนุ่มผู้ที่บรรลุนิติภาวะ ต้องมีการจัดงานเลี้ยง เชิญแขกเหรื่อ ต้องปฏิญญาณตนกับบรรพบุรุษเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ รายนามวงศ์ตระกูล แต่นางกลับเป็นผู้หญิงพิธีการที่คว เข้าร่วมนั้นคือ *พิธีปักปิ่น สิ่งที่ต้องสวมคือปิ่นประดับผม ไม่ใช่ที่เกล้าผมของชาย ทว่าในตอนนี้ด้วยฐานะที่เป็นผู้ชายของนาง ทำได้เพียงแค่ปฏิบัติไปตามพิธีการของผู้ชายเท่านั้น พรากทุกอย่างที่มู่ชิงเกอควรจะมีไปโดยทำอะไรไม่ได้อย่างนี้ จะทำให้มู่ซงและมู่เหลียนหรงสบายใจได้อย่างไร?
มู่เหสียนหรงดึงตัวมู่ชิงเกอพลางพูดว่า “อารู้ว่าเจ้าไม่ชอบความยุ่งยาก เพราะฉะนั้นพิธีการไม่ได้ซับซ้อนมากนัก พอถึงวันนั้นเจ้าเพียงแค่อดทนหน่อย ทำไปตามพิธีก็เพียงพอแล้ว”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
หลังจากที่ออกจากศาลบรรพชน มู่ชิงเกอจึงกลับมายังสวนสระเมฆา โย่วเหอและฮวาเยวี่ยได้จัดการกับห้องพัก ที่ไม่มีคนอยู่มานานเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสัมภาระที่นำกลับมาก็จัดเข้าที่เข้าทาง ราวกับว่ามู่ชิงเกอไม่เคยออกไปไหนมาก่อน
หลังจากที่พักผ่อนอยู่ภายในจวนครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ขี่เพลิงรัตติกาลมุ่งไปยังวังหลวง
อาชาเพลิงที่เกินมาในตอนแรก นางได้ให้คนส่งไปให้มู่ซงแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากตามมาในภายหลัง มู่ซงจึงเลือกอาชาเพลิงจำนวน 5 ตัวเพื่อส่งเข้าไปภายในวังหลวงและถวายให้กับฉินชาง
(พิธีปักปิ่น เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรับขวัญหญิงสาวเมื่ออายุครบ 15ปีบริบูรณ์)
เพราะฉะนั้นทหารที่เฝ้าประตูภายในวังหลวง เมื่อเห็นอาชาเพลิงของมู่ชิงเกอ แล้วก็มีเพียงความอิจฉาไม่มีความแปลกใจใดๆ
ทำได้เพียงแค่แอบเปรียบเทียบอาชาเพลิงอันสง่างดงามตัวที่มู่ชิงเกอขี่อยู่นี้ กับอีก 5 ตัวที่เลี้ยงอยู่ในวัง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ไม่มีตัวไหนเลยที่สามารถเทียบราศีแห่งความเป็นราชาผู้สูงศักดิ์เท่ากับตัวที่มู่ชิงเกอขี่อยู่ได้
ประตูด้านในสุดของวังหลวงไม่สามารถขี่ม้าเข้าไปได้ มู่ชิงเกอทำได้เพียงทิ้งม้าเอาไว้และเดินไปพบฉินชางด้วยสองเท้าของตนเอง
สำหรับฮ่องเต้ผู้ที่เต็มไปด้วยแผนการและเห็นแก่ตัว มู่ชิงเกอไม่คิดจะญาติดีด้วยเลยจริงๆหลังจากที่พบกันในห้องทรงอักษรและทั้งสองคุยกันถึงเรื่องที่ไม่ได้มีสาระอะไรแล้ว นางก็ถูกฉินชางบอกให้กลับออกมาก่อน
นางหันหลังแล้วเดินเข้าไปยังตำหนักส่วนในของวังหลวง
ภายในวังหลวง ยังมีอีกท่านหนึ่งที่นางต้องไปเข้าเฝ้า นั่นก็คือไทเฮา!
พิธีรีตองอันมากมายเช่นนี้ชวนให้ชอบไม่ลงเลยจริงๆ!
เมื่อนึกถึงคำพูดของท่านปู่ มู่ชิงเกอทำได้เพียงมุ่งไปยัง ตำหนักฉือเสียง ซึ่งเป็นที่ประทับของไทเฮา เพื่อที่จะไม่เผยช่องโหว่ให้โอกาสกับคนที่ต้องการจะโจมตีนางได้ แต่ทว่า มู่ชิงเกอคิดไม่ถึงว่าตนเองอุตส่าห์อดทนและไป ถึงตำหนักฉือเสียง สิ่งที่ได้รับกลับเป็นประตูที่ปิดอยู่ นางกำนัลในวังหลวงออกมาบอกว่าในเวลานี้ไทเฮากำลังบรรทมอยู่ ให้นางกลับออกไปก่อน รอให้ไทเฮาเรียกให้เข้าพบในวันหลัง ความหมายก็คือ ไทเฮาไม่ใช่ผู้ที่เจ้าอยากจะพบก็มาพบ กลับไปรอที่จวนเสีย หากวันใดที่ไทเฮาทรงนึกถึงและมีอารมณ์อยากจะพบเจ้า ค่อยเรียกเจ้ามา
สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง แล้วมู่ชิงเกอก็หันหลังเดินออกไป