ตอนที่ 89-3
ราชาผู้หวนกลับมา!
มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจอะไร นางเคลื่อนขบวนวนอยู่ในลั่วตู รอบหนึ่ง เพื่อทำให้ทุกคนรู้ถึงการหวนกลับมาของตนเอง และมุ่งเข้าสู่จวนตระกูลมู่จากถนนทางหลักทิศเหนือ
การกลับมาครั้งนี้นางไม่ได้ส่งคนมาบอกข่าวให้แก่จวนตระกูลมู่ก่อน ก็เพราะไม่หวังให้ท่านปู่และท่านอาต้องเป็นกังวล นางรู้จักทางกลับจวน พวกเขารอนางอยู่ที่ วนก็พอแล้ว
เมื่อกลับไปถึงจวนตระกูลมู่ มู่ชิงเกอลงจากหลังอาชาเพลิงอย่างสง่างาม ทหารที่เฝ้าอยู่ตรงประตูจวนรีบคุกเข่าลงน้อมต้อนรับการกลับมาของนาง
มู่ชิงเกอเดินขึ้นบันไดไป เงยหน้าขึ้นมองป้ายทั้งสามที่อยู่ใต้หลังคา
ครั้งนี้ ความรู้สึกที่เข้ามายังจวนตระกูลมู่อีกครั้งนั้นต่างกับครั้งแรก ราวกับว่านางได้เข้าถึงโลกที่แตกต่างใบนี้โดยสิ้นเชิงและกลายเป็นมู่ชิงเกออย่างแท้จริง
“เกอเอ๋อร์!”
เสียงของมู่ซงดังขึ้น
มู่ชิงเกอพลันเลื่อนสายตาที่กำลังเงยอยู่ มู่ซงและมู่เหลียนหรงที่อยู่ในชุดลำลองเดินเข้าหานางอย่างรวดเร็ว
และข้างหลังของทั้งสองมีป๋ายซีเยวี่ยที่อยู่ในชุดขาวเดินตามมาด้วย
ไม่ได้เจอกันนานถึงเพียงนี้ เมื่อพบกับมู่ชิงเกออีกครั้ง นางแอบมองมู่ชิงเกออย่างละเอียด เป็นระยะๆ ความเจ้าแผนการในดวงตาคู่นั้นไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอเพียงยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจและจับมือของท่านปู่และท่านอาไว้พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านปู่ ท่านอา ข้ากลับมาแล้ว!”
“กลับมาก็ดีแล้ว ก็ดีแล้ว!” มู่ซงถึงกับนํ้าตาคลอพร้อมทั้ง
จับมือของมู่ชิงเกอไว้แน่น นี่เป็นหลานสาวสุดที่รักของเขาเชียวนะ ปล่อยให้นางไปอยู่ในเมืองอี้ เขาจะวางใจจริงๆได้อย่างไร ในวันนี้หลานสาวได้กลับมาอย่างปลอดภัย จิตใจที่เป็นกังวลอยู่ของเขาถึงจะปล่อยวางได้อย่างแท้จริง
“ยิ่งโตก็ยิ่งสวย เหมือนท่านแม่ของเจ้า” ม่เหลียนหรง มองดูมู่ชิงเกออย่างละเอียดแล้วอุทานขึ้นมา
สำหรับท่านแม่นั้นในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกสงสัยมากกว่าคิดถึง
เพราะฉะนั้นสำหรับคำพูดของมู่เหลียนหรงนางไม่ได้ แสดงความคิดเห็นอันใด
ทั้งสามคนแห่งตระกูลมู่ต่างก็จูงมือกันเดินเข้าไปยังภายในจวนอย่างกลมเกลียว ป๋ายซีเยวี่ยที่ตามมาก็เป็นเหมือนคนนอกที่เป็นส่วนเกินอย่างแท้จริง
พอทุกคนจากไป รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยจึงค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยม
“คุณหนู คุณชายกลับมาแล้ว เรื่องนี้ต้องไปบอกท่านอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?” ลวี่จือกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง
เมื่อพูดถึงฉินจิ่นห้าว ป๋ายซีเยวี่ยก็พลันหน้าซีดเผือดลง ตอนแรกฉินจิ่นห้าวให้นางไปทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมู่ซงและมู่ชิงเกอ ทำให้ทั้งสองมีเรื่องต้อง บาดหมางกัน ทว่านางกลับทำอะไรไม่ได้ทุกครั้งที่ลงมือ ก็ถูกมู่ชิงเกอเล่นงานอย่างง่ายดายและกลับทำให้นางต้องกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ของคนจวนตระกูลมู่
เรื่องนี้ทำให้ฉินจิ่นห้าวเย็นชาและไม่พอใจในตัวนาง เพื่ออนาคต นางจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ เพื่อกอบกู้ตำแหน่งของตนเองกลับคืนมา
เม้มปากแล้วป๋ายซีเยวี่ยก็หันเข้าเรือนของตนเองแล้วเดินกลับไป
ในอีกด้านหนึ่ง มู่ซงก็ได้พามู่เหลียนหรงและมู่ชิงเกอเข้าไปยังศาลบรรพชนตระกูลมู่ สิ่งที่บูชาอยู่ด้านในคือบรรพบุรุษของตระกูลมู่ รวมทั้งภรรยาของมู่ซงและลูกชายทั้งสองของเขา พวกเขาต่างก็เสียสละชีวิตเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลมู่ ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปอยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลมู่ ข้างๆ ที่ตั้งป้ายวิญญาณของมู่เหลียนเชิง มู่ชิงเกอยังเห็นป้ายวิญญาณของท่านแม่ของตนเองและนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่นางรู้จักชื่อท่านแม่ของตนเอง
ซางหลานรั่ว ช่างเป็นชื่อที่อ่อนโยนและแฝงไปด้วยความเมตตากรุณา
มู่ซงนำมู่เหลียนหรงและมู่ชิงเกอเดินเข้าไปและเขาก็ไปจุดธูปก่อนจากนั้นก็หันหลังไปคุยกับทั้งสองว่า “กล่าวว่า ศาลบรรพชนเป็นสถานที่สำคัญ ผู้หญิงไม่อาจย่างกราย แต่ทว่าในตอนนี้ตระกูลของเราเหลือเพียงแค่เราสามคนแล้ว กฎระเบียบเก่าๆ พวกนั้นก็ไม่ต้องไปยึดถือมากนัก มา เรามาโขกศีรษะให้กับบรรพชนของเรากันเถอะ”
ทั้งมู่ชิงเกอและมู่เหลียนหรงต่างทำตาม พวกนางคุกเข่าลงบนที่รองนั่งและโขกศีรษะสามครั้งอย่างตั้งใจ แล้วจึงลุกขึ้นตามมู่ซง
จากนั้น ทั้งสามก็เล่าถึงสิ่งที่ประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนมากมู่ชิงเกอเป็นคนพูด และทั้งสองเป็นผู้ฟัง แต่ทว่ามู่ชิงเกอกลับย่อรายละเอียดบางส่วน รวมทั้งเรื่องของเหมิงเหมิงลง
แต่สำหรับเรื่องของทวนหลิงหลงนั้น นางกลับไม่ได้ปิดบัง
ต่อหน้าทั้งสองมู่ชิงเกอเพียงแค่สะบัดมือ ปลอกนิ้วที่เชื่อมติดอยู่กับกำไลก็ส่องประกายสีขาวเจิดจ้าแสบตา ทันใดนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นทวนหลินหลงอยู่ในมือของมู่ชิงเกอ
มู่ซงเบิกตากว้าง พูดด้วยความตกใจว่า “ไม่คิดว่าชาตินี้ จะได้เห็นอาวุธระดับเทพเช่นนี้กับตาตนเอง อีกอย่างอาวุธระดับเทพนี้ยังอยู่ในครอบครองของลูกหลานตระกูลมู่อีกด้วย”
“ชิงเกอ เจ้าช่างมีโชคเหนือฟ้าจริงๆ ทำให้อาอิจฉาเจ้าเสียแล้ว!” มู่เหลียนหรงพูดพึมพำ มองทวนหลินหลงในมือของมู่ชิงเกอด้วยความอิจฉา
มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ เพียงพลิกมือทวนหลินหลงก็เปลี่ยนกลับเป็นปลอกนิ้วดังเดิม นางพูดว่า “ท่านอาไม่ต้องอิจฉา หากในอนาคตชิงเกอยังโชคดีเจออาวุธระดับเทพ อะไร แน่นอนว่าจะเอามาฝากท่านอา รวมทั้งท่านปู่” ในขณะที่นางพูดนั้น นางมั่นใจมากเพราะนางเชื่อว่าถ้าเหมิงเหมิงมีของขวัญมารับขวัญการเจอกันครั้งแรกกับนาง แน่นอนว่าต้องมีชิ้นที่สองชิ้นที่สาม…หรือมากกว่านั้น
หากนางสามารถทะลวงเข้าไปยังสายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไขความลับของพื้นที่ในช่องว่าง ยังจะมีอาวุธอะไรที่นางจะไม่ได้ครอบครองอีกหรือ
ทว่า ความไม่รู้ความของนางนั้นกลับทำให้มู่เหลียนหรง หัวเราะและส่ายหัวไปมา มู่เหลียนหรงหัวเราะพร้อมด่าว่า : “เจ้าคิดว่าอาวุธระดับเทพเป็นผักกาดขาวหรือไร ที่จะเจอได้ทุกที่ ตระกูลมู่ของเรามีเพียงเจ้าคนเหนือฟ้าอย่างเจ้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่โลภมากหรอก”
“ใช่ สิ่งที่ช่วยปกป้องชีวิตของเจ้ายิ่งมีมากข้าและอาของเจ้าก็ยิ่งวางใจ ปู่ดูออกว่า หลานสาวคนนี้ของปู่ไม่ใช่กบในกะลา แคว้นฉินแห่งนี้เล็กเกินไป ไม่พอให้เจ้าผจญภัย! ฮ่าๆๆๆๆ—” มู่ซงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
หลังจากที่หัวเราะ เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “เกอเอ๋อร์ เรื่องที่เจ้ามีอาวุธระดับเทพนั้นต้องเก็บเป็นความลับ หากมีคนรู้คงจะทำให้เจ้าเดือดร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบรับ “ท่านปู่วางใจเถอะ เกอเอ๋อร์รู้ว่าตราบใดที่ยังไม่มีพลังที่มากพอ อาวุธระดับเทพก็เป็นดั่งเผือกร้อน ข้าจะไม่ใช้ทวนหลิงหลงง่ายๆ หากใช้ ก็จะไม่เหลือพยานไว้แน่”
ได้ยินคำยืนยันจากนาง มู่ซงจึงพยักหน้า
ทั้งสามพูดคุยกันต่อ มู่ชิงเกอมองมู่เหลียนหรงพลางพูด ว่า “ท่านอา ตอนแรกที่ข้าสงสัยว่าป๋ายซีเยวี่ยจะมีสิ่งของที่ใช้ดักฟังอะไร ท่านสืบได้เรื่องหรือยัง?”