ตอนที่ 89-2
ราชาผู้หวนกลับมา!
ภายในขบวนมีเพียงแค่เสียงเกือกม้ากระทบดินดังสนั่น ประหนึ่งรัวกลอง
ความเงียบสงบของเหล่าทหาร แผ่กระจายไปรอบๆ และ ค่อยๆ ส่งผลต่อเหล่าประชาราษฎร์ที่มุงดูอยู่รอบข้าง ทำให้พวกเขาต่างก็ปิดปากแน่นไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ด้านหน้าสุดของขบวนมีทหารหญิงสองนางที่สวมชุดเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกนางสวมเกราะอ่อนอันงดงาม คนหนึ่งดูไหวพริบว่องไว อบอุ่นและเบิกบาน อีกคนกลับดูลึกลับน่าค้นหา
ตรงกลางระหว่างพวกนางทั้งสองคนมีแม่ทัพหนุ่มน้อยผู้งดงามเป็นหนึ่งอยู่ผู้หนึ่ง
ใบหน้าของนางทำให้คนตะลึงจนยากที่จะลืมความงดงามนั้น บนหูซ้ายมีแสงสีม่วงแวววับส่องแสงประกาย เผยให้เห็นถึงความเย้ายวนบบางอย่างที่ดูลึกลับน่าค้นหา ผมยาวดั่งหมึก แผ่สยายคลุมอยู่ด้านหลังบริเวณไหล่ แสดงให้เห็นถึงความโอหังไม่สนในกฏระเบียบ นางสวมชุดอออกศึกสีแดงดุจเดียวกันต่างกันเพียงเกราะของนางเป็นสีเงินยวง บนเกราะก็มีลวดลายลึกลับสีทองเช่นกัน ด้านหลังของนางเป็นผ้าคลุมกันลมสีแดงเข้มร้อนแรงดั่งลาวา ร้อนแรงน่าเย้ายวนราวกับสีเลือด…
บนนิ้วชี้ขวาของนางมีปลอกนิ้วซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ดูโดดเด่นประณีตสวมไว้ปลายด้านบนของปลอกนิ้ว มีลักษณะแหลมคม แทรกมาด้วยแสงประกายเย็นเยียบ ด้านล่างของปลอกนิ้วประดับด้วยเพชรและมีสายสร้อยเงินเชื่อมกับกำไลข้อมือที่อยู่บนข้อมือของนาง เผยให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว
อาชาเพลิงที่นางขี่อยู่ สูงส่งสง่างาม ขนอันเงางามเป็นธรรมชาติทำให้ดูแตกต่างไปจากอาชาเพลิงตัวอื่นๆ ห่วงท่าและความสง่าดั่งราชานั่น ทำให้อาชาเพลิงตัวอื่นๆ ทำได้เพียงยอมสยบ
หนึ่งคนหนึ่งม้า หนึ่งแดงชาดหนึ่งดำทมิฬ เสริมส่งซึ่งกันและกัน ทำให้สายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกตะลึง
ผู้ซึ่งโดดเด่นเป็นที่จับตามองแบบนี้ในทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ฉินอี้เหยาก็มองเห็นแล้ว จากนั้นในสายตาของ นางก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย ราวกับว่าโลกทั้งใบได้เงียบสงบลง เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของอาชาเพลิงที่สะดุดตาดั่งดวงตะวันเท่านั้น
‘ไม่เจอกันสิบเดือน เขาหล่อเหลาสง่างามขึ้นมาก ราวกับว่าเขาไม่ใช่หนุ่มน้อยชุดแดงผู้บ้าบิ่นอีกต่อไป แต่กลับลอกคราบกลายเป็นผีเสื้อแสนสวย เป็นแม่ทัพที่พร้อมจะสู้รบและออกคำสั่ง เสื้อเกราะที่สวมอยู่ ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเหนือคนธรรมดา ชวนให้ตื่นตะลึง อยู่ต่อหน้าเขาข้าก็เป็นดงไข่มุกมีตำหนิไร้ซึ่งแสงสว่าง ’ ฉินอี้ เหยามองอย่างใจลอย แววตาค่อยๆ มืดลง
“หึม? เหมือนคุณชายตระกูลมู่เลย!”
“ใช่คุณชายจริงๆ ด้วย!”
“คุณชายช่างเกรียงไกร! คุณชายช่างเกรียงไกร!”
ท่ามกลางชาวบ้านมีคนจำมู่ชิงเกอได้ ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นคำทักทายที่พร้อมเพรียงกัน
สิบเดือนก่อนหน้านี้ เรื่องที่มู่ชิงเกอบันดาลโทสะสังหารหานเซิ่งกลางตลาด ได้ถูกเหล่าประชาชนเล่าต่อๆ กันไปแล้ว ลบล้างภาพความเสเพลของนางไปจนหมด ทำให้นางกลับกลายเป็นวีรบุรุษในใจของเหล่าประชาชนในทันที
แม้ว่านางจะหายไปจากลั่วตูเป็นเวลานับสิบเดือน แต่ก็ไม่ทำให้ทุกคนลืมเลือนนางได้ลง
ยังคงเป็นตลาดแห่งเดิมและคุณชายที่ดูโดดเด่นสะดุดตามากกว่าเดิม ทำให้ภาพนองเลือดกลับเข้ามาในห้วงความคิดของทุกคนอีกครั้ง
ความกระตือรือร้นพร้อมใจกันส่งเสียงสรรเสริญของชาวบ้าน ทำให้ทหารที่เฝ้าประตูแคว้นรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ทั้งเป็นห่วงว่าท่ามกลางชาวบ้านที่ตื่นเต้นอยู่นี้จะมีคนออกมาก่อกวน ทั้งตกตะลึงในชื่อเสียงของมู่ชิงเกอที่มีต่อเหล่าชาวบ้าน
เสียงคำทักทายด้วยความยินดีของทุกคนลอยเข้าสู่โสตประสาทของมู่ชิงเกอ
ท่าทางของนางยังคงนิ่งสงบ ไร้ความเย่อหยิ่งและเร่งรีบ ค่อยๆ กวาดสายตามองกลุ่มคนที่ตื่นเต้นดีใจ ทุกที่ที่นางกวาดสายตามอง ต่างก็เงียบลงอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ภายในใจยังคงตื่นตระหนก
“นี่เป็นบารมีของตระกูลมู่ในแคว้นฉินอย่างนั้นหรือ? ช่างทำให้ได้เปิดหูเปิดตาเสียจริง! ในขณะที่ทูตอย่างข้า อยู่ในแคว้นถู ได้ยินเพียงแค่ว่าผู้สืบทอดของตระกูลมู่ได้ รับสมญานามว่าเป็นคนเสเพลเป็นคนไร้ค่า แต่ไม่คิดว่าผู้ชายเสเพลจะสามารถชนะใจและเป็นที่รักของเหล่าประชาราษฏ์ใด้มากถึงเพียงนี้ประชาชนของแคว้นฉิน ช่างเป็นผู้ที่มีความเที่ยงตรงเสียจริง!”
กลางฝูงชน ท่ามกลางคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดแตกต่างไปจากคนทั่วไป มีนํ้าเสียงแปร่งๆ ดังออกมา
การแต่งกายของเขานั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ ในแคว้นฉินอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้สวมเครื่องประดับมากนัก เข็มขัดที่อยู่ตรงหน้ามีลวดลายสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประดับอยู่ บนศีรษะสวมหมวกที่ทำจากผ้าสักหลาด โครงหน้าคมเข้มมากกว่าคนแคว้นฉิน
คนพูดดูเป็นคนมีฐานะไม่ต่ำต้อยเลย เขาถูกทุกคนล้อมรอบเอาไว้ตรงกลาง คนที่อยู่ข้างๆ เขาสวมชุดธรรมดา ก็คือรัชทายาทและรุ่ยอ๋องของแคว้นฉิน ในวันนี้พวกเขาทั้งสองได้รับราชโองการให้พาราชทูตแห่งแคว้นถูมาพบปะประชาราษฎร์
แต่กลับไม่คิดว่า ในขณะที่ผ่านมาที่นี่จะพบเจอกับฉากที่มู่ชิงเกอกลับเข้าเมืองโดยบังเอิญ ความโดดเด่นเตะตาของมู่ชิงเกอทำให้ทั้งฉินจิ่นซิวและฉินจิ่นห้าวตกตะลึงไปเช่นกัน
ทว่า หลังจากที่สิ้นคำชื่นชมที่แฝงไปด้วยการเสียดสีจากราชทูตแห่งแคว้นถู ฉินจิ่นซิวก็สีหน้าดำคลํ้าลงในทันที สายตาที่มองมู่ชิงเกอนั้นทั้งอิจฉาและเปี่ยมล้นด้วยแรงอาฆาต
แต่แววตาของฉินจิ่นห้าวที่มองร่างของคนชุดสีแดงนั้นวูบไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากที่ราชทูตพูดจบ เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดอย่างมี เลศนัยว่า “ข่าวของหมานอ๋องนั้นเก่าไปแล้วจริงๆ คุณชายตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินเรา ไม่ได้เป็นจอมเสเพลไร้ค่าอีกแล้ว เขาไม่เพียงแต่เป็นยอดฝีมือสายเขียว และยังเคยเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้กับทหารที่สละชีพที่เมืองอี้โดยสังหารพระมาตุลาหานกลางตลาดด้วย”
“อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” หนวดยาวกระตุกหนหนึ่ง ราชทูตจากแคว้นถูมองรัชทายาทที่มีสีหน้าดำคลํ้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยั่วเย้า
ฉินจิ่นซิวแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่สามารถปั้นใบหน้าให้อ่อนโยนได้อีกต่อไป ทำได้เพียงอดทนต่อความโกรธที่อยู่ภายในใจพลางพูดว่า “หมานอ๋อง ท่านอยากจะไปชมทิวทัศน์สวนดอกท้อมิใช่หรือ ไยจะต้องเสียเวลากับคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นนี้ด้วยเล่า”
“รัชทายาทพูดถูก พวกเราไปชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม ของสวนดอกท้อกันเถิด ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ฉินจิ่นซิวโกรธจนอยากจะบันดาลโทสะออกมานัก
ฉินจิ่นห้าวกลับยืนเงียบอยู่ข้างๆ กระตุกยิ้มจางๆ
คนจำนวนหนึ่งจากไป ไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกแตกตื่นแต่อย่างใด จุดสนใจของทุกคนต่างก็มารวมกันมู่ชิงเกอและองครักษ์เขี้ยวมังกร มู่ชิงเกอที่อยู่ข้างหน้าสุด ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าตนเองได้ตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความซับซ้อน นางเคลื่อนสายตามองตามและหยุดลงตรงหน้าต่างชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สายตาสบประสานเข้ากับดวงตาเย็นชาดั่งน้ำแข็งที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนคู่หนึ่ง แทบจะในทันที มู่ชิงเกอก็จำได้ว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นคือใคร ดวงตาคู่ที่นางสบสายตาอยู่ นัยน์ตาสว่างไร้ซึ่งอารมณ์สั่นไหวใดๆ สุดท้ายในขณะที่อีกฝ่ายยังคงสบสายตา นางก็ค่อยๆ เบี่ยงสายตาออกไปและเดินผ่านโรงเตี๊ยมไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหลือไว้เพียงเงาร่างอันสูงสง่า
ไม่เห็นคนผู้นั้นอีกต่อไป ฉินอี้เหยาดึงสายตากลับมา หันหลังกลับไปพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ในใจแผ่ซ่านไปด้ว ความทุกข์ทรมาน
เขาเห็นนางแล้ว แต่ยังคงไร้ปฏิกิริยาใดๆ…
‘มู่ชิงเกอ หัวใจของเจ้าทำด้วยหินผาหริอไร? เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าจริงๆ หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบางที อีกไม่นาน เราก็จะไม่ได้เจอกันอีกต่อไปแล้ว’ ฉินอี้เหยาก้ม หน้าลง อยากจะกลั้นนํ้าตาที่เอ่อล้นออกมา แต่ทว่ามันกลับไม่สำเร็จ นํ้าตาใสที่นองอยู่ในดวงตาคู่สวยคู่นั้นไหลเอ่อลงจากดวงตา เหลือไว้เพียงรอยนํ้าตาสองสายที่ไหลอาบแก้ม
นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติอยู่ภายในห้อง เมื่อเห็นท่าทางอันเจ็บปวดทรมานของเจ้านายก็รู้สึกทุกข์ใจแทนเจ้านาย แล้วยิ่งโกรธเกลียดความเลือดเย็นของมู่ชิงเกอ
แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทำได้เพียงร้องไห้อย่างเงียบๆ อยู่กับเจ้านายของตนเอง