Skip to content

พลิกปฐพี 89-1

ตอนที่ 89-1

ราชาผู้หวนกลับมา!

ณ ลั่วตู บริเวณประตูแคว้นทิศเหนือ

ถนนหลักที่เชื่อมกับประตูเมืองทั้งกว้างและเป็นระเบียบเรียบร้อย เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านนํ้าชาและร้านเหล้า เสียงตะโกนเรียกลูกค้า เสียงแห่งความคึกคัก ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

บนห้องส่วนตัวชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังม่านหน้าต่างที่หันหน้าเข้าหาถนน ราวกับมีคนกำลังคอยเฝ้ามอง

“องค์หญิงเพคะ นี่ก็เป็นวันที่สามแล้วที่เรามาที่นี่และก็ไม่รู้ว่าคุณชายจะเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ องค์หญิงจะรออีกวันหรือเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งเดินไปยังบริเวณข้างเตียงที่มีหญิงสาวผู้ที่เอาผ้าคลุมปิดบังใบหน้าและนั่งหันหลังอยู่ แล้วถามเบาๆ ภายในนํ้าเสียงที่แฝงด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมและตัดพ้อ

“หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ก็ไปได้เลย” นํ้าเสียงอันเย็นเยียบของฉินอี้เหยาเอ่ยดังขึ้น ดั่งลมหนาวที่ถูกพัดผ่านจากภูเขานํ้าแข็ง

นางกำนัลในชุดกระโปรงสีฟ้ารีบคุกเข่าลงพลางกล่าวขออภัย “บ่าวผิดไปแล้ว องค์หญิงทรงอภัยให้บ่าวด้วย บ่าวเพียงแค่เป็นห่วงองค์หญิงเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นให้บ่าว ส่งคนไปสืบเรื่องที่คุณชายจะเดินทางกลับมาจากจวนตระกูลเถอะเพคะองค์หญิง”

“ไม่ต้อง” ฉินอี้เหยาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว นํ้าเสียงแฝงด้วยสับสนวุ่นวาย

ดูเหมือนว่า ทุกอย่างที่นางทำ นางไม่ต้องการให้มู่ชิงเกอรับรู้

นางกำนัลกัดริมฝีปากและนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองใบหน้าอันงดงามและแฝงความเยือกเย็นของฉินอี้เหยา นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย นางไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าองค์หญิงของพวกนางแสนดีถึงเพียงนี้ มิหนำซํ้ายังเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมที่สุดในหล้า เหตุใดคุณชายยังจะถอนหมั้นอีก?

จะถอนหมั้นก็ช่างเถอะ แต่เวลาก็ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว องค์หญิงก็ยังคงหักพระทัยไม่ได้เสียที

ช่วงที่ผ่านมานี้ องค์หญิงราวกับถูกนํ้าแข็งปกคลุมอยู่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้

ราวกับว่า มีเพียงเรื่องของคุณชายเท่านั้นถึงจะทำให้ความรู้สึกที่แอบซ่อนอยู่ของพระองค์แสดงออกมาได้ องค์หญิงทรงเป็นถึงเพียงนี้แล้ว แต่พระสนมกุ้ยเฟยและ รุ่ยอ๋องที่อยู่ในวังหลวงก็ไม่เคยมาใส่ใจเลย

ยิ่งคิด นางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจแทนเจ้านาย นัยน์ตาพลันแดงรื่นเปียกชื้นขึ้นมา

ทันใดนั้นเสียงของฉินอี้เหยาก็ดังขึ้นอีกหน ด้วยคำพูดที่เป็นทั้งคำถามและบอกเล่าในขณะเดียวกัน “ราชทูตแห่งแคว้นถูจะมาถึงในอีกสามวันข้างหน้า ได้ข่าวว่า

พวกเขาได้พูดถึงเรื่องการอภิเษกสมรสกับเสด็จพ่อ” นางกำนัลเงยหน้าขึ้น มองเจ้านายของตนเองด้วยความตกใจ

คำพูดนี้นางเข้าใจดี แต่เป็นเพราะเข้าใจนี่ละถึงทำให้นางรู้สึกกลัว

ขออภิเษกสมรสอย่างนั้นรึ?

จะยกองค์หญิงแห่งแคว้นฉินให้กับแคว้นถูอย่างนั้นหรือ?

แต่ว่า องค์หญิงที่มีพระชันษาเหมาะแก่การอภิเษกสมรสภายในแคว้นฉินนั้นมีเพียงองค์หญิงของนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น!

ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า จะยกองค์หญิงฉางเล่อให้ไปอยู่ในแคว้นถูที่อยู่ห่างไกลอย่างนั้นหรือ

“องค์หญิง บ่าวได้ยินมาว่าสภาพอากาศของแคว้นถูนั้นเลวร้ายยิ่งนัก ผู้คนก็ดุร้ายป่าเถื่อน ราวกับพวกไร้อารยธรรมก็ไม่ปาน อีกทั้งพื้นดินส่วนมากก็แห้งแล้งปลูก อะไรก็ไม่ขึ้น เหล่าประชาราษฎรทุกข์ร้อนยากแค้น แม้ว่าจะเป็นตระกูลที่สูงส่งแต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้รับการศึกษา หญิงสาวที่เพียบพร้อมสูงส่งอย่างพระองค์จะไปอยู่ในที่เช่นนั้นได้อย่างไรกันเพคะ?ไม่สู้พวกเราไปขอร้องกุ้ยเฟยหรือรุ๋ยอ๋องเถิดเพคะ…พวกพระองค์ทรงเป็นเสด็จแม่และพระเชษฐาแท้ๆ ขององค์หญิง จะต้องไม่ยอมให้ท่านต้องไปทุกข์ทรมานเช่นนั้นเป็นแน่” นางกำนัลรีบพูดอย่างร้อนรน

“ขอร้องพวกเขารึ?” ฉินอี้เหยาพึมพำด้วยความทุกข์ใจ

บางทีในตอนนี้พวกเขาอาจจะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะยกตัวนางให้กับแคว้นถูไปเสีย เพราะถ้าเช่นนั้นอำนาจทางทหารที่เสด็จพี่ปรารถนามาแสนนานก็จะมาได้มาแล้วไม่ใช่หรือ

การแย่งชิงระหว่างเสด็จพี่และรัชทายาทนั้น นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากมีอำนาจทางทหารของแคว้นถูคอยช่วยก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสชนะได้บ้าง

อีกทั้ง หากนางอภิเษกสมรสกับรัชทายาทแคว้นถูและกลายเป็นพระชายา หากวันหนึ่งฮ่องเต้แคว้นถูสวรรคตลง นางก็จะได้ขึ้นนั่งในตำแหน่งฮองเฮา ถึงตอนนั้น แคว้นฉินก็จะต้องเกรงกลัวในแสนยานุภาพทางการทหารของแคว้นถู ตำแหน่งของเสด็จแม่และเสด็จพี่ของนางก็จะยิ่งมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ฉินอี้เหยามองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้จะไม่ได้ไปเข้าร่วมกับการแก่งแย่งเหล่านั้น แต่กลับเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

และยิ่งรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น สำหรับความปรารถนาในอำนาจของเสด็จแม่และเสด็จพี่ การกระทำของนางนั้นเป็นเพียงการเสียสละเพื่อการใหญ่ของพวกเขาเท่านั้น

เชื้อพระวงศ์นั้นไร้ซึ่งความปรานี คำๆ นี้นางกระจ่างแล้วตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ก็เพราะเข้าใจในเรื่องนี้นางจึงใช้ความเย็นชาห่อหุ้มตัวเอง แช่แข็งผนึกใจตนเองเอาไว้ในตอนแรกนางคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่กลับไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะสามารถทำให้นางเปิดใจได้โดยไม่รู้ตัว และในขณะที่นางเริ่มเปิดใจและสัมผัสถึงความรู้สึกและความปรารถนานั้น เขากลับจากไปอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่เหลือแม้เพียงเงา นางควรจะโกรธเกลียดเขามิใช่หรือ ?

แต่ทว่า นางกลับเกลียดเขาไม่ลง ตรงกันข้ามเขากลับกลายเป็นความอ่อนโยนที่ไม่อาจจับต้องได้ภายใต้จิตใจของนางและกลายเป็นความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียว ฉินอี้เหยาหลุบตาลง ขนตายาวงอนกะพริบอยู่หลายที นางเพียงหวังว่าจะได้แอบมองเขาอีกสักชั่วครู่

ฮี้—

เสียงม้าร้องพลันดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ฉินอี้เหยาดึงสติของตนเองกลับมาจากห้วงความคิดและค่อยๆ เอนตัวไปข้างหน้ามองสถานการณ์ภายนอกหน้าต่างผ่านช่องว่างที่มีอยู่

ยังไม่ทันที่นางจะเห็นภาพถนนแห่งนี้ชัดเจน ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าอันทรงพลังดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เป็นเสียงฮือฮาด้วยความตกใจของเหล่าชาว บ้าน

พวกชาวบ้านดูเหมือนจะเริ่มอลหม่านกันขึ้นมา ฉินอี้เหยากวาดสายตามองชาวบ้านที่วิ่งแตกตื่นกระจาย ออกไปด้านข้างเหลือพื้นที่กลางถนนสายหลักเอาไว้ พวกเขาต่างก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว

“สวรรค์! นั่นมันอะไรน่ะ? ดูเหมือนจะเป็นสัตว์วิญญาณนะ!”

“ความรู้เจ้าช่างตื้นเขินเสียจริง นั่นมันอาชาเพลิง เป็นสัตว์วิญญาณที่เก่งกาจมากเชียวนา”

“มีคนนั่งอยู่บนหลังอาชาเพลิงรึ ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน!”

“หล่อรึ? ข้าว่าเราหลบไปไกลๆ จะดีกว่า อาชาเพสิงนั้นเป็นสัตว์วิญญาณ สัตว์วิญญาณสามารถกินคนได้นะ!”

เสียงคำวิพากษํวิจารณ์ลอยมากับสายลมและเข้าหูของฉินอี้เหยา นางเงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นขบวนของกลุ่มคนที่แต่งกายแบบเดียวกัน ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามราวกับเปลวเพลิงอันร้อนแรง เคลื่อนเข้าสู่ภายในเมือง

โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นร้านที่นางเลือกสรรมาเป็นอย่างดี เพราะชั้นสองที่เป็นห้องส่วนตัวนี้สามารถเห็นภาพทั้งหมดของถนนหลักที่เชื่อมต่อกับประตูเมืองได้

ในขณะนี้ กลุ่มคนในขบวนจำนวนหลายร้อยคนที่ขี่อาชาเพลิงสีดำทมิฬทั้งตัว แผงขนลีดำเงาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าเมืองมา

บนร่างกายของทุกคนต่างก็สวมเสื้อเกราะสีดำอันงดงามละเอียดลออ ชุดออกศึกสีแดง บนไหล่มีผ้าคลุมกันลมสีดำ หมวกเกราะบดบังใบหน้าของพวกเขาไว้ แต่ก็กลับยิ่งฉายให้เห็นถึงแววตาแน่วแน่และเปล่งประกายของพวกเขา

บนเสื้อเกราะนั้นยังมีลวดลายอันลึกลับคล้ายมีคล้ายไม่มีสีทอง ราวกับเป็นยันต์และเป็นเหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version