Skip to content

พลิกปฐพี 88-4

ตอนที่ 88-4

ตาเฒ่าหัวไว!

นางยกมือขึ้น ปลายนิ้วสัมผัสตุ้มหูสีม่วงตรงติ่งหูซ้าย

เพียงแค่ดึงออกเบาๆ ตุ้มหูก็พลันหลุดออกมาและร่วงลงบนฝ่ามือ

มู่ชิงเกอสะบัดข้อมือเบาๆ ตุ้มหูสีม่วงก็เกิดแสงส่องประกายดั่งดาวตกแสงหนึ่ง จากนั้นก็ลอยไปที่ด้านหลังของนางและเข้าไปปักอยู่บนลำต้นของต้นเฟิง โผล่ออกมาให้เห็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ทันใดนั้น รูปลักษณ์ภายนอกของมู่ชิงเกอก็พลันเปลี่ยนไป

รูปร่างยังคงสูงโปร่ง แต่ส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูปชัดเจนน่าเย้ายวนมากขึ้น

ใบหน้ายังคงงดงามไร้ที่เปรียบ สง่างามดูภูมิฐาน เพียงแต่มีเสน่ห์และความอ่อนโยนแบบหญิงสาวเพิ่มเข้ามา

หญิงสาวชุดแดงตรงหน้า ทำให้ในสายตาของซือมั่วส่องประกายด้วยความตะลึง

ราวกับว่า บนโลกนี้มีเพียงนางที่สามารถอยู่ในสายตาและในใจของเขาได้

เสียงเต้นของหัวใจ ราวกับเกิดขึ้นที่ข้างหู เสียงกึกก้องดั่งกลองก็ไม่ปาน ชัดเจนทุกช่วงจังหวะ ทันใดนั้นซือมั่วก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว เห็นเพียงแค่นางที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ตนเอง

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…”

“ชู่ว~!”

นิ้วมือที่แฝงความเย็นยะเยือกจรดลงบนริมฝีปากได้รูปของเขา เพื่อหยุดคำพูดต่อไปของเขา มือทั้งสองข้างของมู่ชิงเกออ่อนราวกับไร้กระดูก โอบคล้องคอของเขาเอาไว้พูดเสียงต่ำว่า “เต้นกับข้าอีกสักเพลง” แววตาของมู่ชิงเกอสงบและสดใส ไร้ซึ่งความสับสนใดใด

คำพูดนี้ทำให้ได้สติกลับคืนมา

ราวกับว่า เขาสัมผัสได้ว่า มู่ชิงเกอเหมือนจะกำลังระลึกถึงอะไรจากการเต้นรำนี้

ระลึกถึงอะไรหรือ?

เขาไม่รู้ แต่ทว่าไม่ว่าจะระลึกถึงอะไรก็ยังมีเขาคอยอยู่เคียงข้างนาง

ซือมั่วพยักหน้า โอบไหล่ของมู่ชิงเกอไว้อีกครั้งและเริ่มเข้าสู่การเต้นรำต่อ

ครั้งนี้ การแสดงออกของมู่ชิงเกอชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าทุกท่วงท่าล้วนเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนและแรงดึงดูดอันเหลือล้น หากไม่ใช่เพราะแววตาของนางสว่างและสดใสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาจจะทำให้ซือมั่วตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว

เพราะการนำจังหวะของมู่ชิงเกอ ซือมั่วเองก็เริ่มเข้าถึงจังหวะการเต้นรำและค่อยๆ เข้าจังหวะกัน ราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวและจังหวะต่อไปของนาง เขารู้อยู่แล้ว ทั้งสองลืมทุกสิ่งรอบกาย กลับทำให้อีกสองคนที่แอบสังเกตอยู่รู้สึกหน้าร้อนปากคอแห้งผากไปหมด

ในใจนั้นอดที่จะรู้สึกปวดร้าวไม่ได้ บนโลกนี้มีการเต้นที่เย้ายวนถึงเพียงนี้เชียวหรือ คุณหนูแห่งตระกูลมู่ท่านนี้ช่างใจกล้าจริงๆ ไม่กลัวว่าจะไปกระตุ้นความต้องการของท่านประมุขบ้างหรือไร แม้ว่าท่านประมุขของพวกเขาจะไม่ได้ใกล้เคียงกับพวกบ้ากามประเภทนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะบกพร่องในด้านนั้นนะ!

ทันใดนั้น ขาข้างหนึ่งของมู่ชิงเกอสอดเข้าไปยังระหว่างขาของซือมั่ว พลางสะบัดเอวอย่างรุนแรง ทำให้กู่เย่และกู่หยารีบหุบขาตนเองอย่างไม่รู้ตัวทันที

ทั้งสองมองหน้ากันต่างตัดสินแล้วว่า ควรจะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

วินาทีต่อมาทั้งสองก็หายไปจากพื้นที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ท่าทางของมู่ชิงเกอ ทำให้แววตาของซือมั่วเกิดสั่นไหว ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะทะลุออกจากใต้พื้นดิน ทันใดนั้น นางก็ได้เปลี่ยนท่าเต้น เก็บเท้ากลับมา เพียงหมุนรอบตัว ก็เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอันกว้างใหญ่ของซือมั่ว ซือมั่วหายใจเข้าช้าๆ และกอดเอวของมู่ชิงเกอเอาไว้อย่างจงใจ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิกิริยาว่องไว ผลักตัว เองออกจากอ้อมกอดของเขา ยื่นขาออกไปเกี่ยวขาของเขาเอาไว้ ลูบขาของซือมั่วขึ้นลงก่อนที่จะปล่อยออกอย่างรวดเร็ว

แววตาของซือมั่วเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งและแดงกํ่า แววตาที่จ้องตาของมู่ชิงเกอแฝงความรู้สึกอดกลั้นอย่างสุดขีดชนิดหนึ่งไว้

แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับทำเหมือนไม่เห็น นิ้วมือเรียวยาวทั้งสิบประสานกับซือมั่วแน่นใช้พลังของร่างกายดีดตัวขึ้นและลอยอยู่กลางอากาศ

ซือมั่วหมุนตัวไปตามสัญชาตญาณ พานางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับผีเสื้อราตรี…

เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งซือมั่วราวกับตื่นจากความฝันอันแสนมหัศจรรย์การเต้นรำก็ได้สิ้นสุดลง มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงต้นเฟิงที่มีตุ้มหูปักอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางดึงตุ้มหูสีม่วงออกและใส่เข้าไปบนติ่งหูซ้ายของตนเองอีกครั้ง

ทันใดนั้น นางก็กลับไปเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานงดงามล่มเมืองดังเดิม

ซือมั่วเดินเข้ามาหาและจับติ่งหูซ้ายของนางเอาไว้ในทันที

ติ่งหูเป็นที่ๆ ไวต่อความรู้สึก ทำให้มู่ชิงเกอสะดุ้ง พอได้สติก็คิดจะหลีกหนี

แต่ทว่า คำพูดต่อไปของซือมั่วกลับทำให้นางล้มเลิกความคิดนั้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเครื่องมือมายาที่เจ้าครอบครองอยู่นั้นหายากมาก แต่ระดับขั้นของมันกลับไม่สูงนัก หากพบกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือฉกาจ พวกเขาก็จะรู้ในทันทีว่าเจ้าปลอมตัว” เขาไม่ได้บอกนางว่า คำว่า ‘ฉกาจ’ในที่นี้มันมากกว่าที่มู่ชิงเกอเข้าใจอีกมาก

“แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไร” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

การปลอมตัวในหนึ่งปีกว่ามานี้ทำให้นางคุ้นชินกับความสะดวกสบายที่มากับสถานะชายหนุ่มแล้ว นางไม่อยากจะให้สถานะที่แท้จริงของนางถูกจับได้ง่ายๆ หรอกนะ

“หาปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธให้พบและหลอมมันขึ้นมาใหม่ อีกอย่างปรมาจารย์หลอมอาวุธนั้นต้องเป็นปรมาจารย์ที่ได้รับสายเลือดแห่งการหลอมเครื่องมือมายาได้จึงจะสามารถปรับปรุงเครื่องมือมายาได้” ซือมั่วพูด

มู่ชิงเกอตาแวววาวเป็นประกาย แต่ไม่ได้พูดอะไร สายเลือดของการหลอมอาวุธที่ว่านั้น นางมี แต่ว่าหากต้องเป็นผู้ที่มีสายเลือดด้านการหลอมเครื่องมือมายาเฉพาะทางนั้น นางกลับไม่มั่นใจ

แม้ว่านางจะสามารถมั่นใจได้ว่า ท่านแม่ผู้มีที่มาอันลึกลับท่านนั้นของตนเองอาจจะเป็นปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องมาจากตระกูลแห่งปรมาจารย์การหลอมอาวุธเป็นแน่ แต่นางยังคงไม่มั่นใจว่าเครื่องมือมายาในครอบครองของนางนี้ เป็นอาวุธที่สร้างขึ้นโดยตระกูลนี้หรือไม่ ความเงียบของนางทำให้ซือมั่วคิดว่า นางกำลังกังวลใจกับเรื่องนี้จึงพูดต่อว่า “นี่เป็นการแก้ไขปัญหาจากสาเหตุ แต่ยังมีวิธีการแก้ไขปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ การที่ให้ข้าลงพลังคุ้มกันเอาไว้เพื่อป้องกันการมองเห็นของยอดฝีมือ”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา

ซือมั่วยิ้มพลางอธิบายว่า “นั่นก็คือให้ข้าลงม่านพลังเอาไว้บนตุ้มหูของเจ้า เพื่อไม่ให้คนที่มีพลังด้อยกว่าข้า เห็นตัวจริงของเจ้า เข้าใจหรือยัง”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

คำพูดของซือมั่วเกือบจะทำให้นางรู้สึกว่า การหลอมอาวุธซึ่งเป็นทักษะใหม่ที่นางกำลังฝึกอยู่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะเดียว

โชคดีที่ว่าจากที่ซือมั่วพูดเขาก็แค่ลงม่านพลังเอาไว้บนเครื่องมือมายาของนาง แต่ไม่ใช่การใช้การคาถาต้องห้ามต่างชนิดแบบนางในการเพิ่มคุณสมบัติให้กับอาวุธ ผูที่มีความสามารถด้อยกว่าเขาก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่านางปลอมตัว อย่างนั้นเหรอ?

ความสามารถของคุณตัวประหลาดนั้นควรจะเรียกได้ว่า เก่งกาจมาก!

หลังจากคิดทบทวนในใจ มู่ชิงเกอจึงยอมที่จะปลดตุ้มหูของตนเองออกมา แล้วส่งให้กับซือมั่ว คำตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว

ซือมั่วเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ข้อตกลงนี้ตนเองเป็นคนเสนอ ทำได้เพียงแค่ทำให้มันเป็นจริง

ใครใช้ให้เขาไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนที่นอกจากตัวเขา เห็นถึงความงดงามที่ซ่อนอยู่ของนางล่ะ

ความคิดไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก ซือมั่วลงม่านพลังต้องห้ามที่เป็นสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้บนตุ้มหูของมู่ชิงเกอ

“เสร็จแล้ว” ซือมั่วลงม่านพลังเสร็จอย่างรวดเร็วและยื่นตุ้มหูส่งกลับไป

เพียงแต่ว่า ครั้งนี้เขาไม่ได้ยื่นให้บนมือมู่ชิงเกอแต่อย่างใด กลับใส่ให้นางด้วยตนเองอย่างไม่เปิดโอกาสให้ต่อต้าน

มู่ชิงเกอจับตุ้มหูบนหูซ้ายของตนเอง มองเขาด้วยสายตา แปลกประหลาดชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงพูดว่า  “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

ซือมั่วพยักหน้า แต่กลับพูดต่ออีกว่า “หากมีอะไรให้ข้าช่วย ก็ขอให้บอก”

“ไม่ต้อง” มู่ชิงเกอปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด

นางรู้ว่าที่ซือมั่วพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่การจะทำให้ตระกูลมู่พ้นจากอันตรายได้นั้น คนที่นางต้องพึ่งก็คือตัวนางเอง ในบางเวลานางสามารถใช้อำนาจของซือมั่วในการเพิ่มอำนาจให้ตนเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงบางสถานการณ์ได้บ้าง

แต่ทว่า จะให้ซือมั่วเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องและแก้ไขบปัญหาทั้งหมดให้ไม่ได้ ท่าทางอันเข้มแข็งของมู่ชิงเกอ ทำให้ซือมั่วผุดรอยยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้ฝืนใจนางอีก และยังเคารพการตัดสินใจของนาง “หากเจ้าไม่ต้องการ ถ้าเช่นนั้นข้าก็

จะไปแล้ว”

“เจ้าจะไปแล้วหรือ?” มู่ชิงเกอถามด้วยความฉงนใจ

เจ้านี่เพิ่งมามิใช่หรือ?

ซือมั่วพยักหน้า “บนแผ่นดินใหญ่มีเรื่องต้องไปจัดการ แคว้นฉินนั้นถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเจ้าเท่านั้น ข้าจะรอเจ้า”

คำพูดแปลกๆ เหล่านี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว แต่ทว่าซือมั่วกลับไม่ได้พูดต่อ พลันเปลี่ยนเรื่องว่า “ข้าจะยังให้กู่หยาอยู่ที่นี่กับเจ้า อย่างไรเสีย เจ้าก็รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขาแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็หาเหตุผลให้เขาสามารถปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เจ้าได้อย่างเปิดเผยเพื่อคอยช่วยงานเจ้าเถอะ” “อย่าดีกว่า เขาเคยเปิดเผยใบหน้าในวังหลวงแคว้นฉินแล้ว” มู่ชิงเกอไม่มีความคิดนี้เลยแม้แต่น้อย

การที่นางมีกู่หยาคอยรับใช้ ก็เท่ากับกำลังบอกกับทุกคนว่านาง มีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ามิใช่รึ หากมีคนรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ จะทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกผูกมัด

“หากเจ้าไม่ยอม ก็ช่างเถิด ให้เขาคอยดูแลอยู่ห่างๆ เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันสุดท้ายให้แก่เจ้าแล้วกัน” ซือมั่วเองก็ไม่ฝืน

“เจ้าช่างมั่นใจในความสามารถของเขายิ่งนัก” มู่ชิงเกอพูดพลางขมวดคิ้ว แม้ว่า นางเองก็เชื่อมั่นว่ากู่หยา เก่งกาจ แต่ว่านางกลับขัดหูขัดตากับท่าทางสูงส่งวางตัวเหนือทุกคนของชายผู้นั้น

ใครจะรู้ว่า ซือมั่วกลับพยักหน้า “ความสามารถของกู่หยาข้านั้นข้ารู้ดี ในหลินชวนแห่งนี้ยากจะมีผู้ต่อกร” ท่าทางสงบนิ่งนั้น ราวกับให้ความรู้สึกที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น เพราะประเมินความสามารถของกู่หยาให้มา

เป็นเพียงผู้อารักขาเท่านั้น มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มเบาๆ สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

แม้ว่าที่นี่เป็นส่วนลึกของเทือกเขาฉิน แต่นางกลับรู้ว่าในสายตาของชายผู้นี้เทือกเขาฉินอันโหดเหี้ยมนี้กลับเป็นเพียงทุ่งดอกไม้ที่ไม่มีอันตรายใดๆ ปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

“ข้าจะส่งเจ้ากลับไป” ด้านหลังเสียงของซือมั่วเอ่ยดังขึ้น จากนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างของตนเองเบาราวกับอยู่ในสุญญากาศ พลันถูกดูดขึ้นไปกลางอากาศและหายไปจากเทือกเขาฉิน

หลังจากที่มู่ชิงเกอกลับไปครู่ใหญ่ ซือทั่วก็ยังคงไม่ไปไหน

จนกระทั่งกู่เย่กลับมา เขาก็ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางต้นเฟิง ดั่งรูปปั้นอันสูงส่งและสง่างาม

“ท่านประมุข” หลังจากที่กู่เย่มาอยู่ข้างๆ ซือมั่ว เขาก็พูดอย่างนอบน้อม

ซือมั่วไม่มีการตอบกลับใดๆ เลย ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “กู่เย่ เหตุใดข้าถึงได้ไม่ชอบใจที่จะให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์จากไปเลย? ข้าอยากจะนำนางมาอยู่เคียงข้างข้า ให้ข้าได้เห็นนางแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าเป็นเพราะนางไม่ชอบ ข้าจึงจำเป็นต้องฝืนใจตนเองแล้วปล่อยให้นางจากไป”

กู่เย่ตะลึง ปากกระตุกและตอบเสียงเบาว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจ”

“เจ้าเองก็ไม่เข้าใจหรือ?” ซือมั่วพูดเสียงตํ่า ขนตาอันยาวงอน ปกปิดความรู้สึกในแววตา ทันใดนั้น เขาก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นดั่งธารนํ้าแข็งที่ละลายลง “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็ไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้น ข้าคงจะต้องพยายามจนกว่าจะเข้าใจ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version