ตอนที่ 123-4
เรื่องที่ข้าก่อเอาไว้ข้าจะรับผิดชอบแน่นอน!
จับเท้าขึ้นมาเล่นครู่หนึ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงมู่ชิงเกอที่ขมวดคิ้วท่ามกลางความหลับใหล เขาจึงวางเท้าที่ขาวดั่งหยกและน่าหลงใหลลงอย่างอาลัยอาวรณ์
ซือมั่วเอนตัวลงข้างกายมู่ชิงเกอ นิ้วมืออันเรียวยาวค่อย ๆ ลูบตุ้มหูอำพรางบนหูของนาง
“ความงดงามของเจ้า มีเพียงข้าคนเดียวที่มีสิทธิ์ชื่นชม” พึมพำข้างหูมู่ชิงเกอ เขาถอดอาวุธอำพรางลงอย่างแผ่วเบา
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นลูบติ่งหูทีหนึ่ง เหมือนยังไม่รู้ตัว ราวกับว่า หลังจากที่ได้กลิ่นของชายผู้นี้ ก็ทำให้นางหลับได้อย่างวางใจเป็นพิเศษ
ไม่มีเครื่องมือที่คอยอำพราง ใบหน้าของมู่ชิงเกอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ใบหน้ามีความอ่อนโยนมากขึ้น แฝงความน่าเย้ายวนของหญิงสาว
รูปร่างของหญิงสาวก็ค่อย ๆ ชัดเจนและได้รูปมากขึ้น เอวบางขายาว
นางนอนงอตัวอยู่บนที่นอน ผมสีดำเงากระจายเต็มเตียงราวกับพัด ท่าทางที่กำลังหลับใหลไร้เดียงสาราวกับเด็กทารก
ซือมั่วจ้องนาง ราวกับได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจของตนเองที่ดังกึกก้องราวกับกลอง
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาไม่สามารถวางมือลงได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ยิ่งไปกว่านั้น คือไม่ยอมให้ใครได้เชยชมความงามนี้
ท่ามกลางการหลับใหล เสียงหายใจอันเป็นจังหวะราวกับเป็นตัวนำการเต้นของหัวใจของเขา เขาจ้องนางนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ ความโดดเดี่ยวนับหมื่นปี ทำให้เขาคุ้นชินกับการยืนโต้ลมหนาวอยู่บนที่ที่สูงที่สุดโดยลำพัง
แต่ทว่า ในตอนนี้ เขากลับหวังว่าสักวันหนึ่ง หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจะมาอยู่เคียงข้างเขา และอยู่กับเขาไปตราบนานเท่านาน
เพื่อให้แน่ใจในความรู้สึกที่เขามีต่อนาง เขาเคยแอบสังเกตคู่ชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วน
สุดท้าย ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างคู่ชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วน เขาได้ข้อสรุปแล้ว
เขารู้สึกว่า นางควรจะเป็นภรรยาของเขา ภรรยาของเขา จะต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น!
ซือมั่วค่อย ๆ ล้มลง พลันจูบลงบนไรผมของมู่ชิงเกออย่างแผ่วเบา
และไล่ลงไปตามเส้นไรผม จากศีรษะลงไปที่หู อาจจะเพราะรู้สึกจั๊กจี้เพราะลมหายใจที่กระทบบนผิวหนัง มู่ชิงเกอจึงขยับคอทีหนึ่ง พลันยกมือขึ้นเกาหลังหู ของตนเอง
จากนั้น นางก็พลิกตัวและตกอยู่ในอ้อมอกของซือมั่วในทันที
มองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมอก ซือมั่วยิ้มอย่างรู้สึกขัน “เจ้าพุ่งเข้ามาเองนะ เข้ามาแล้วก็อย่าคิดหนีไปไหน”
“เจ้าปีศาจเหม็น ท่านพูดอันใดกัน สักวันข้าจะดึงท่านลงมา แล้วเหยียบท่าน ตบก้นท่านให้สาสม!” อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็พึมพำออกมา
ซือมั่วอึ้ง พลันก้มลงมอง จึงพบว่ามู่ชิงเกอได้หลับใหลอยู่ในความฝัน คำพูดเมื่อครู่นี้ ราวกับเป็นคำพึมพำในความฝันของนาง
“เหยียบข้าและตบข้าอย่างนั้นหรือ…” สายตาของซือมั่วแฝงรอยยิ้มโดยมีความอันตรายปะปนอยู่
ครู่หนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นอย่างเอ็นดูว่า “ได้ ข้าจะรอวันนั้น เจ้าตบข้าแล้ว ต้องรับผิดชอบในตัวข้านะ”
“ท่านรอดูเถิด อีกไม่นาน! วางใจเถิด เรื่องที่ข้าทำ แน่นอนว่าจะรับผิดชอบ” ใครคนหนึ่งที่ตกอยู่ในห้วงความฝันได้สัญญาที่จะทำให้ต้องเสียใจในภายหลังกับใครอีกคน ในขณะที่กำลังนอนอยู่อย่างไม่รู้สึกตัว
ตื่นจากความหลับใหล มู่ชิงเกอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และบิดขี้เกียจอย่างรู้สึกสบายตัว “หลับจนตื่นเองช่างเป็นความรู้สึกที่ดีนัก!”
“ข้าฝันเห็นเจ้าปีศาจตนนั้นได้อย่างไรกันนะ” จ้องเสาในห้อง มู่ชิงเกอพูดอย่างสงสัย
นางจำได้อย่างเลือนรางว่า ในขณะที่ตนเองหลับสนิท ราวกับฝันถึงอะไรบางอย่าง
นางฝันว่าซือมั่วมาที่โรงโอสถและเข้ามาอยู่ในห้องของนาง พูดคุยกับนาง
แต่ทว่า พูดอะไรบ้างนั้น นางกลับจำไม่ได้แล้ว
“เป็นแค่ความฝันก็เท่านั้น คิดมากไปทำไม คิดว่าพื้นที่ว่างในหัวสมองของตนเองมากเกินไปหรือ เรื่องและคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ควรจะจัดการดั่งเช่นขยะ กำจัดทั้งหมด!”
มู่ชิงเกอพูดพร้อมเบะปาก
นางลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง และพบว่าเสื้อคลุมของตนเองได้ถูกถอดออก แม้กระทั้งรองเท้าก็เช่นกัน แต่บนร่างกายยังมีผ้าห่มคลุมอยู่
มู่ชิงเกออึ้ง นางจำได้ว่า ทันทีที่นางเข้ามาห้องมาก็นอนลงบนเตียงไม่ได้ถอดรองเท้าและเสื้อผ้าแน่นอน
กะพริบตาหลายที มู่ชิงเกอพยายามหวนคิดถึงลำดับเหตุการณ์ตอนที่ตนเองนอน
ท่ามกลางความฝันอันเลือนราง นางจำได้ลาง ๆ ว่า เจ้าปีศาจราวกับจะพูดว่า จะถอดเสื้อผ้าให้กับตนเอง…
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอพลันลืมตาโต และพูดอย่างประหลาดใจว่า “หรือนั้นไม่ใช่ความฝัน! เจ้านั้นเข้ามาในนี้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ”
ราวกับว่านอกจากการอธิบายเช่นนี้แล้ว ไม่มีคำตอบใด ที่จะสามารถอธิบายสภาพในตอนนี้ และความทรงจำที่อยู่ในหัวได้
ทันใดนั้น นางพลันจับตรงหูซ้ายของตนเอง สัมผัสได้ว่า ตุ้มหูยังอยู่ นางจึงโล่งอก
“ข้าพูดอะไรกับเขาบ้าง เหตุใดถึงจำไม่ได้เลย!” มู่ชิงเกอรู้สึกอึดอัดจนอยากจะเอาหัวชนกำแพง แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกการกระทำปัญญาอ่อนเช่นนี้
ลังเลอยู่ในห้องเป็นเวลานาน มู่ชิงเกอจึงเปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้าอันเย็นชา
เพิ่งจะเปิดประตูออกมา ก็เห็นอาหารที่เย็นแล้ววางอยู่หน้าห้องของตนเอง
แน่นอนว่า ห้องของนาง นอกจากเจ้านั้นที่เข้าออกอย่างไม่สนใจนางแล้ว คนอื่นๆล้วนไม่มีทางที่จะเสียมารยาทเช่นนั้น
แอบอุทานด้วยความเกลียดคำหนึ่ง อาหารตรงหน้า มู่ชิงเกอก็ไม่ได้อยากกินมากนัก
“มู่เกอ” ด้านล่างต้นไม้อยู่ ๆ เสียงของฟู่เทียนหลงก็ดังขึ้น
มู่ชิงเกอเดินไปอยู่หน้ารั้ว ก่อนจะข้ามออกไป
ฟู่เทียนหลงยืนอยู่ข้างล่างเพียงลำพัง และกำลังเงยหน้ามองนาง
“ตามข้ามา” ทันทีที่ฟู่เทียนหลงเห็นมู่ชิงเกอ ก็รีบหันหลังเตรียมจะเดินจากไป
มู่ชิงเกอหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงจากเรือนและจากไปพร้อมฟู่เทียนหลง
หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว สุ่ยหลิงก็ออกมาจากที่ซ่อน มองตามไปยังทิศที่ทั้งสองจากไป นางพลันเม้มปากไม่พูดอะไร
มู่ชิงเกอตามฟู่เทียนหลงไปยังที่สงบแห่งหนึ่ง
เมื่อแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีคน ฟู่เทียนหลงก็หันกลับมาหามู่ชิงเกอ แล้วพูดด้วยนํ้าเสียงที่ทั้งอึดอัดและแฝงความเย็นเยียบ “มู่เกอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดเจ้า มาก”
มู่ชิงเกอยักคิ้วและพยักหน้า “รู้”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนที่เกลียดเจ้ามีไม่น้อย” ฟู่เทียนหลงพูดขึ้นอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา แต่มู่ชิงเกอยังคงรักษาความแนบนิ่ง “เรื่องนี้ ข้าเองก็รู้”
คนที่ชอบนาง ไม่ได้น้อย ส่วนคนที่เกลียดนางและหวังให้นางตาย ๆ ไปเสียก็พูดไม่ได้ว่าน้อย
แต่ว่า คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนถูกนางส่งไปอยู่ในนรก อืม เมื่อเห็นหน้ากันแล้วเกิดความเกลียดแค้นก็อย่าพบเจอกันอีกเลยดีกว่า จากนี้ เจ้าอยู่ในขุมนรกของเจ้า ข้าอยู่บนโลกของข้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก!