Skip to content

พลิกปฐพี 123-5

ตอนที่ 123-5

เรื่องที่ข้าก่อเอาไว้ข้าจะรับผิดชอบแน่นอน!

ท่าทางที่ไม่ใส่ใจของนาง ทำให้ฟู่เทียนหลงโกรธมาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่า สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือท่าทางเช่นนี้ของเจ้า ไม่เคยใส่ใจอะไร แม้เจ้าจะไม่สนใจใครเลย แต่กลับมีแต่คนสนใจเจ้า! ”

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างพินิจแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไร “ถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าระหว่างข้ากับลุ่ยหลิงมีอะไรกันอีกอย่างนั้นหรือ”

อยู่ ๆ ฟู่เทียนหลงก็เม้มปากแน่น พลันเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เชื่อเจ้า แต่เชื่อสุ่ยหลิง นางบอกว่าไม่มีอะไรกับเจ้า ข้าก็เชื่อ”

“หากเป็นเช่นนั้น ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” มู่ชิงเกอพูด

“สุ่ยหลิงเปลี่ยนไป” อยู่ ๆ ฟู่เทียนหลงก็พูดอย่างเศร้าใจ “ก่อนที่จะพบกับเจ้า นางร่าเริงไร้เดียงสา ตามข้าไปทุกที่ และเรียกข้าว่าพี่เทียนหลง ๆ อย่างไม่ขาดปาก ราวกับเป็นหางของข้าอย่างนั้น แม้ว่าจะโตแล้ว นอกจากข้า นางก็ไม่เคยไปใกล้ชิดกับชายใด แต่ทว่า ทันทีที่เจ้าปรากฏตัวขึ้น นางก็เอาใจใส่ในตัวเจ้า แม้ว่าในตอนนี้ นางและเจ้าจะจงใจเว้นระยะห่างระหว่างกัน แต่หัวใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน”

“เจ้าคิดว่า การกระทำของนางในตอนนี้ ล้วนเป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรหัวเราะ หรือร้องไห้ดี

เจ้าฟู่เทียนหลงช่างซื่อบื้ออย่างที่สุ่ยหลิงบอกไม่มีผิด!

“ไม่ใช่เจ้าแล้วเป็นใคร” ฟู่เทียนหลงพูดพร้อมความโกรธ แต่ทว่า หลังจากที่พูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง แล้วพูดกับมู่เกอว่า “ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพื่อมาทำตามสัญญา ไม่ได้จะมาเอาความอะไร ฟ่งอวี๋กุยมาหาข้า และให้ข้าร่วมมือจัดการกับเจ้า ก่อนที่เจ้าจะประลอง ยังได้ให้ยาเม็ดหนึ่งกับข้า เพื่อให้มาวางยาเจ้าก่อนที่เจ้าจะขึ้นเวทีประลอง”

“นี่คือเรื่องที่เจ้าจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง

ฟู่เทียนหลงยอมรับ พลันยื่นมือออกมา ยาเม็ดหนึ่งได้วางอยู่บนมือของเขาอย่างสงบ มู่ชิงเกอรับมาจากเขา ก่อนจะพินิจครู่หนึ่ง “ยาทำลายพลังจิต ผู้ที่กินเข้าไปแล้ว พลังจิตจะถูกทำลายลงทีละน้อย จนไม่สามารถใช้พลังจิตได้อีก”

ฟู่เทียนหลงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป พร้อมพูด อย่างเคียดแค้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าแซ่ฟ่งจะต้องใช้ของสกปรกเป็นแน่! ของสิ่งนี้เลวร้ายเกินกว่าที่คิด!”

มู่ชิงเกอกำยาเอาไว้ในมือและมองเขาอย่างเคร่งขรึม ราวกับกำลังถามว่า หากเจ้าเกลียดข้า และได้นัดหมายกับฟ่งอวี๋กุยแล้วเหตุใดจึงไม่วางยาข้า

ท่ามกลางสายตาของนาง ฟู่เทียนหลงหันกลับไปและพูดว่า “ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าข้าไม่อยากทำให้สุ่ยหลิงเสียใจ”

“…” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก

ฟู่เทียนหลงกลับพูดต่อว่า “ข้าคิดไว้แล้ว หากสุ่ยหลิงรักเจ้า อยู่กับเจ้าแล้วจะมีความสุขมากกว่า ข้าก็จะยอมปล่อยมือ แต่ว่า เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าจะดูแลนาง เป็นอย่างดี อย่าทำให้นางเสียใจและห้ามไปรักใครอีก มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”

มู่ชิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร พลันส่ายหน้าและถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ฟู่เทียนหลง เจ้าเห็นสุ่ยหลิงเป็นน้องสาวหรือเป็นคู่หมาย ความใส่ใจที่ เจ้ามีให้กับนางเป็นเพราะความรับผิดชอบหรือมาจากหัวใจ”

ฟู่เทียนหลงอึ้งและทำอะไรไม่ถูก

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “คำถามนี้ เจ้าไม่ต้องตอบข้า หลังจากที่เจ้าคิดได้แล้ว ก็ไปบอกสุ่ยหลิงด้วยตนเอง ข้าเพียงจะบอกเจ้าว่า ระหว่างข้ากับสุ่ยหลิงไม่มี ทางเป็นไปได้นางไม่มีวันอยากแต่งงานกับข้า ข้าเองก็เช่นกัน”

พูดจบ มู่ชิงเกอก็หันหลังและเดินจากไป

ฟู่เทียนหลงรีบตามไปถาม “เดี๋ยวก่อน ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”

มู่ชิงเกอกลับไม่อยากจะเสวนากับเขามากนัก จึงก้าวเท้า ยาวๆ ตรงไปทางบ้านไม้

ฟู่เทียนหลงรู้สึกทุกข์ใจ คำถามของมู่เกอได้วนเวียนอยู่ในหัวของเขา เขารู้สึกว่า นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ ระหว่างเขาและสุ่ยหลิง

หากไม่กระจ่างในปัญหานี้บางทีแม้จะไม่มีมู่เกอ เขาและสุ่ยหลิงก็ราวกับจะมีแม่นํ้าอันกว้างใหญ่คั่นกลางเอาไว้ ทำให้ทั้งสองห่างกันแสนไกล

ทั้งสองเดินตามกันไปทางบ้านไม้

ยังไม่ถึง ก็เห็นพี่น้องตระกูลเว่ยที่วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ รวมทั้งห้าคนนั้นก็ตามมาด้วย

บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสถึงความผิดปกติ สายตาของนางฉายความประหลาดใจ และรีบเดินเข้าไปถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างเป็นกังวลว่า “สุ่ยหลิงถูกคนลักพาตัวไปแล้ว!”

“อะไรนะ เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ฟู่เทียนหลงที่เดินตามมา ได้ยินคำพูดของเว่ยกว่านกว่านพอดี

“ฟู่เทียนหลง เจ้าไปไหนมา ตอนที่สุ่ยหลิงถูกลักพาตัวได้ พยายามเรียกชื่อเจ้าอย่างสุดชีวิต!” เว่ยฉีพุ่งออกมา ชกหน้าอกของฟู่เทียนหลงทีหนึ่ง ฟู่เทียนหลงถูกต่อยจนเซไปข้างหลัง แต่ไม่มีท่าทีที่จะตอบโต้

ในหัว มีเพียงคำพูดของพี่น้องตระกูลเว่ยดังอย่างไม่รู้หยุด

สุ่ยหลิงถูกลักพาตัว!

ในขณะที่นางถูกลักพาตัว ได้ตะโกนเรียกตนเองอย่างสุดชีวิต แต่เขากลับไม่อยู่!

ฟู่เทียนหลงราวกับถูกฟ้าผ่า แม้แต่ยืนยังยืนไม่นิ่ง

เขาหันหลังกำลังจะเดินจากไป แต่กลับถูกมู่ชิงเกอขวางเอาไว้

“เจ้าถอยไป! ข้าจะไปช่วยสุ่ยหลิง!” ฟู่เทียนหลงพูด พร้อมดวงตาที่แดงกํ่า

มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาอันเย็นเยียบ  “เจ้าจะไปช่วยที่ไหน”

คำพูดนี้ทำให้ฟู่เทียนหลงอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

ใช่ เขาไม่รู้ด้วยซํ้าว่าใครลักพาตัวสุ่ยหลิงไป จะไปช่วยที่ไหนเล่า

เมื่อเห็นว่าฟู่เทียนหลงสงบลง มู่ชิงเกอจึงถามคนอื่นๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้ละเอียดอย่าได้ตกหล่น”

เว่ยฉีก้าวออกมาและพูดว่า “ตอนแรกเราต่างอยู่ในบ้านไม้ของตนเอง อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงสุ่ยหลิงเรียกฟู่เทียนหลง” หยุดมองใบหน้าที่ฉายความปวดร้าวของฟู่เทียนหลงครู่หนึ่ง เว่ยฉีจึงพูดต่อว่า “เสียงนั่นแฝงความตื่นตระหนก และความหวาดกลัว เราจึงพุ่งออกมา แต่ว่า เพิ่งจะออกมา ก็เห็นสุ่ยหลิงถูกชายชุดดำลักพาตัวไป และทิ้งคำพูดเหล่านี้เอาไว้”

“คำพูดอะไร” มู่ชิงเกอหรี่ตา และจ้องเว่ยฉีเขม็ง

เว่ยฉีเม้มปากก่อนจะพูดว่า “พวกเขาบอกว่าหากอยากจะช่วยสุ่ยหลิง ก็ให้ฟู่เทียนหลงไปที่หน้าผาตัดลำไส้แห่งผืนป่าหมีเมิ่งโดยลำพัง”

“หน้าผาตัดลำไส้อย่างนั้นหรือ ที่นั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของโรงโอสถนี่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่น

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version